“เซียวอู๋ เราอย่าทะเลาะกันอย่างนี้ได้ไหม คุณบอกมา ว่าสรุปแล้วคุณคิดจะทำอะไร?คุณให้ฉันมาที่กองทัพ แต่วันๆเห็นฉันก็ขัดหูขัดตา ฉันบอกว่าปี๋ไคเป็นเพื่อนของฉัน คุณก็ไม่เชื่อ สรุปคุณจะเอายังไง?ฉันเหนื่อยมากเลยนะ” ซูหย่าตวาดใส่เซียวอู๋
“เหนื่อยเหรอ?หึหึ คุณไม่ไม่ได้บอกเหรอว่าต้องการใช้ชีวิตทั้งชีวิตกับฉัน?นี่เพิ่งเริ่มต้น ก็เหนื่อยแล้วเหรอ?” เขามองเธอแล้วพูดถากถาง
เธอจ้องมองเขาเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดก็ประนีประนอม
ความกลัวที่ใหญ่ที่สุดของการแต่งงานคือการไม่มีความไว้วางใจ ไม่พูดภาษาเดียวกัน เขาไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด และเขาจะไม่พูดในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ บางทีเธออาจจะคิดผิด เธอกับเซียวอู๋ไม่เหมาะสมกันจริงๆ
ประตูปิดเสียงดัง”ปัง”
จากนั้นจนกระทั่งนอนหลับ เซียวอู๋ก็ไม่กลับมาอีกเลย
เช้าวันต่อมา เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เตียงข้างๆก็ว่างเปล่า เธอลูบๆผ้าปูเตียง ยังอุ่นๆเล็กน้อย แสดงว่าเขากลับมานอน
ตื่นขึ้นมาอาบน้ำล้างหน้าแล้ว เล่อจยาก็โทรเข้ามา
“ซูหย่า เราอยู่หน้าค่ายทหารของคุณ คุณเสร็จแล้วก็ออกมา อย่ารีบร้อนนะ ค่อยๆออกมา”
“เรา?”
“ฉันจะมาคนเดียวได้อย่างไร?สถานที่ลำบากลำบนของคุณอย่างนี้ ฉันเรียกให้ปี๋ไคพาฉันมา เดิมทีฉันอยากให้เกาไห่มาส่งฉันที่นี่ กลัวเขาจะมาซักถามเรื่องท้องของคุณ ฉะนั้น ฉันจึงไม่บอก”
“ปี๋ไคก็มาเหรอ?”
“น้ำเสียงคุณแหบๆเล็กน้อย คุณร้องไห้เหรอ?” เล่อจยาขมวดคิ้ว แล้วมองหน้ากันกับปี๋ไค
“เปล่า ฉันเพิ่งตื่น อย่างนั้นพวกคุณรอฉันก่อน สักพักฉันจะออกไป”
เมื่อซูหย่าลงมาจากตึก ก็เจอเข้ากับโอวหยางเฟิงที่เหมือนออกมาจากห้องครัวพอดี ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเขาไปในเมือง กลับมาแล้ว ก็ไม่ได้เจอเขาอีก เธออยากจะอธิบายเรื่องวันนั้นกับเขา ก็ไม่มีโอกาส
“โอวหยางเฟิง ครั้งที่แล้วฉัน……”
ลมพัดผ่านไปข้างๆเธอ เมื่อเธอได้สติกลับมา ชายคนนั้นเดินห่างออกไปสองสามเมตรแล้ว โดยที่ไม่สนใจเธอเลย
เธอขมวดคิ้ว “โอวหยางเฟิง ฉันพูดกับคุณอยู่นะ?”
โอวหยางเฟิงสูดลมหายใจเข้า หันกลับมามองเธอ “คุณหนูซู คนอย่างคุณนี่ ฉันไม่อาจเอื้อม ไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคุยด้วยหรอก”
ได้ยินน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเขา ซูหย่าก็หรี่ตาขึ้น “ที่คุณพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร?ฉันมีอะไรที่ทำให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า?”
โอวหยางเฟิงหัวเราะเยาะ “เปล่า ไปก่อนนะ”
พูดจบก็ขึ้นชั้นบนไป ไม่หันกลับมาเลย
เล่อจยายืนอยู่หน้าประตูทางเข้า เธอเห็นหน้าซูหย่าหน้าดำคร่ำเครียดมาแต่ไกล
“นี่เป็นอะไรไป ไม่ดีใจเหรอ?”
ปี๋ไคนั่งอยู่บนรถ ไม่ได้ลงมา ได้ยินทั้งสองคนคุยกัน ก็เอียงหน้าไปมองซูหย่า
“เปล่า ไปกันเถอะ”
“อยู่ที่นี่แล้วไม่มีความสุขแบบนี้ คุณก็บอกกับเสี่ยวอู๋ ว่ากลับเมือง C เถอะ”
ซูหย่าไม่พูดอะไร เมื่อคืนเธอก็ยังคิดเรื่องนี้อยู่นาน แต่สมองบอกเธอว่า ถ้าเธอกลับเมือง C ระหว่างเธอกับเซียวอู๋ บางทีอาจจะยิ่งยากมากขึ้น
เธอไม่อยากพูด เล่อจยากับปี๋ไคก็ไม่บังคับ ทั้งสามคนเงียบมาตลอดจนถึงโรงพยาบาล
“คุณว่าโรงพยาบาลเล็กขนาดนี้ ผลการตรวจจะใช้ได้ไหม?ไม่อย่างนั้นกลับเมืองCกันไหม?คุณโทรหาเซียวอู๋ บอกว่าจะกลับเมืองCไม่เยี่ยมพ่อกับแม่ เสร็จแล้ว พวกเราค่อยส่งคุณกลับมา”
ซูหย่ามองเล่อจยา “ไม่ต้องหรอก ตรวจที่โรงพยาบาลนี้แหละ คนตั้งมากมายในเมืองนี้ ก็ไม่ตรวจเหมือนกันเหรอ”
“เสี่ยวหย่า คุณไม่ได้เป็นคนแบบนี้นี่”
รู้จักซูหย่ามาตั้งหลายปี เธอคนนี้ ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก ถึงแม้เวลานั้นเธอจะมาช่วยร้านอาหารริมทางของเธอ แต่ก็แต่งตัวเก่งอย่างมาก การกินดื่มปกติ ก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดภายในขอบเขตความสามารถ การคลอดลูกครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิต แต่เธอจะทำแบบขอไปที
ซูหย่ามองไปยังเล่อจยา “คุณไม่ไปได้ที่ค่ายทหาร คุณไม่รู้จักคำว่าขอไปทีคำนี้หรอก” กินข้าวแบบขอไปที อาบน้ำแบบขอไปที นอนหลับแบบขอไปที เธอรู้สึกว่าช่วงเวลานี้เปลี่ยนแปลงนิสัยที่มีมากว่า20ปีของเธอไปจริงๆ
พูดพลาง ลงจากรถ ดึงมือของเล่อจยาเดินไปยังโรงพยาบาล “เดี๋ยวก่อน”
จู่ๆ ปี๋ไคก็ร้องเรียกมาจากในรถ
“ทำไมเหรอ?” เล่อจยากล่าวถาม
“พวกคุณทั้งสองคนไปที่ร้านขายของเล็กๆข้างโรงพยาบาลซื้อน้ำขวดหนึ่ง หลังจากนั้นก็มาขึ้นรถ มีคนสะกดรอยตามมา”
คนทั้งสองนิ่งอึ้งไป เล่อจยายิ้มเล็กน้อย “โอเค” แล้วดึงซูหย่าไปที่ร้านขายของเล็กๆ
พอกลับมา ก็ส่งน้ำขวดหนึ่งให้ปี๋ไค “ตนที่สะกดรอยตามล่ะ?”
ปี๋ไคส่งมือถือไปยังที่นั่งด้านหลัง “คุณสองคนแกล้งทำเป็นถ่ายรูป มองมุมขวา60°จากกล้องโทรศัพท์มือถือของพวกคุณ”
คนทั้งสองทำตาม มองผ่านกระจกด้านหน้า รถทหารคันหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของคนทั้งสอง
“นั่นคือรถของเซียวอู๋” ซูหย่าวางมือถือลง กุมหน้าอก “ยังดีนะ”
“เขาสะกดรอยตามคุณ หมายความว่าอะไร?”
“เขาสงสัยว่าฉันจะเป็นชู้กับไคไค ครั้งที่แล้วเราเดินหยอกล้อกันข้างถนน เขาก็เห็น เมื่อวานตอนเย็น ฉันบอกว่าต้องการออกมากับคุณ เขาก็สงสัยว่าฉันนัดพบกับไคไค” พูดถึงสุดท้าย ซูหย่ายิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจ “คุณว่า พวกเราใช้ชีวิตกันไปแบบนี้ น่าจะเจ็บปวดทรมานมากไหม?”
เล่อจยาแล้วปี๋ไคไม่ตอบ เรื่องแบบนี้ พวกเขาจะโน้มน้าวให้อยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่ จะโน้มน้าวให้แยกจากกันก็ไม่เชิง
“ทีหลัง ฉันจะรักษาระยะห่างกับคุณ” ปี๋ไคกล่าว
ซูหย่าตบเบาๆที่หลังของเขาเล็กน้อย “พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยห๊ะ?”
“อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ?ไม่อย่างนั้น ฉันจะไปเบี่ยงเบนความสนใจเขา คุณไปตรวจกับปี๋ไค?”
“ไม่ต้องหรอก ฉันไปเอง อีกเดี๋ยวพวกเราไปแล้ว พวกคุณสองคนก็เข้าไปนะ” ปี๋ไคพูดพลาง ปลดเข็มขัดนิรภัย
ซูหย่าดึงเขาเอาไว้ “ไคไค คุณอย่าไปลงมือกับเขานะ คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
ปี๋ไคมองเธออย่างดูหมิ่น “ฉันเป็นสุภาพบุรุษ”
ไม่รู้ว่าปี๋ไคพูดอะไรกับเซียวอู๋ข้างหน้าต่างรถ แล้วเห็นเขาดึงเปิดประตูแล้วขึ้นรถไป
หลังจากรถขับออกไปพ้นสายตา เล่อจยาก็รีบดึงซูหย่าเข้าไปในโรงพยาบาล
โชคดีที่คนมาตรวจไม่มาก
“เด็กแข็งแรงมาก การพัฒนาการของร่างกายก็ไม่เลว ถึงแม้สามเดือนจะผ่านช่วงที่อันตรายมาแล้ว คุณแม่ก็ยังต้องระมัดระวังนะคะ”
พูดจบ ก็เซ็นชื่อบนใบอัลตราซาวนด์ แล้วส่งให้ซูหย่า
“จุดดำๆนี้ ก็คือลูกของฉันใช่ไหม?”
คุณหมอผู้หญิงวัยกลางคน ยิ้มเล็กน้อย “อื้ม อีกไม่นาน เด็กก็จะเคลื่อนไหวแล้ว มีเวลาก็พูดกับเขาให้มากๆ แล้วก็ต้องดูแลอารมณ์ของแม่ให้ดี”
“ได้ยินแล้วหรือยัง อารมณ์ต้องดี” เล่อจยาที่อยู่ข้างๆดึงชายเสื้อของซูหย่า
ซูหย่าพยักหน้า เซียวอู๋ทรมานเธอขนาดนี้ เขายังสามารถแข็งแรงได้ เป็นเรื่องประหลาด
เมื่อคนทั้งสองออกมาจากโรงพยาบาล ซูหย่าก็ถ่ายรูปผลการตรวจแล้ว จึงส่งให้เล่อจยา “สิ่งเหล่านี้เอาไว้ที่คุณ ต่อไปตอนคลอด คุณก็ค่อยเอามาให้ฉัน”
“เสี่ยวหย่า ทางนี้” คือปี๋ไค ซูหย่าหันตัวกลับ มองไปโดยรอบ ไม่พบรถคันสีเขียวคันนั้นแล้ว
“เสี่ยวอู๋ล่ะ?”
“เขามีธุระที่ค่ายทหาร กลับไปแล้ว”
“พวกคุณ….ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ปี๋ไคหันกลับมามอง “เห็นเหมือนคนมีปัญหาเหรอ?วางใจเถอะ พวกเราเป็นคนมีอารยธรรม ไม่ใช้กำลังตัดสินปัญหาหรอก”
“อย่างนั้นคุณ พูดอะไรกับเขาเหรอ?แล้วเขาฟังคำพูดของคุณด้วยเหรอ?”
ปี๋ไคยิ้มๆ แต่ไม่ได้ตอบกลับ
นำซูหย่าไปส่งค่ายทหารแล้ว คนทั้งสองก็จากไป
“เสี่ยวหย่า คุณจะต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ ถ้าไม่มีความสุขจริงๆ ก็ไม่ต้องฝืนใจจนเกินไป เข้าใจไหม?”
ซูหย่าพยักหน้า
เมื่อกลับถึงห้องพัก ประตูยังล็อกกุญแจอยู่ มู่ซือยืนอยู่หน้าประตูห้องของพวกเขา เห็นเธอกลับมา จึงรีบเข้าไปหา “พี่สะใภ้ คุณรีบไปโน้มน้าวหัวหน้าเร็วเข้า”