วันต่อมา
ฉิวจือเฉียนตื่นแต่เช้าเหมือนอย่างเคย และได้ลุกไปทำอาหารเช้าแสนอร่อย
ซึ่งตามปกติแล้ว หวงหลิงก็เป็นคนที่ตื่นเช้าเหมือนกัน
แต่เธอมักจะรอให้หลินฟานออกไปจากบ้านก่อน ถึงจะยอมออกมาจากห้องของตัวเอง
ไม่เหมือนกับตอนนี้ ที่เธอกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นกับหลินฟาน
หลินฟานแกะเปลือกไข่ลวกแล้ววางลงในชามของหวงหลิง พร้อมกับพูดว่า “ ฉันชดเชยให้ เมื่อคืนฉันทำให้เธอเหนื่อยมาก ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หวงหลิงก็เหมือนจะนึกถึงฉากอะไรบางอย่างขึ้นมา มันทำให้ใบหน้าที่สวยงามของเธอถึงกับแดงก่ำขึ้นมาในทันที
เธอรู้สึกเขินจนแทบจะเอาหัวมุดลงไปในชามข้าว
ฉิวจือเฉียนที่ฉากนี้ ก็รู้สึกมีความสุขจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
จากนั้นหลินฟานก็ได้กินก๋วยเตี๋ยวทั้งชามจนหมดเกลี้ยง
พอกินเสร็จ หลินฟานก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเล่นอยู่ซักครู่หนึ่ง
ผ่านไปไม่นานนัก โทรศัพท์มือถือของหวงหลิงก็ได้ส่งเสียงขึ้นมา
“เงินเข้า 1 ล้านหยวน”
ในตอนนี้ หวงหลิงได้กระโดดไปมาอย่างมีความสุข หัวใจของเธอเต้นแรง และเธอก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเธอจะเคยเห็นด้วยตาของเธอเองแล้วในตอนนั้น ที่หลินฟานได้ทำการโอน 1 ล้านหยวนให้กับฉิวจือเฉียน
และตอนที่ฉันตัดสินใจว่าจะเป็นผู้หญิงของหลินฟาน ฉันก็คาดหวังไว้แล้วว่าจะต้องได้อะไรแบบนี้ด้วยเช่นกัน
แต่พอเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นจริงๆกับฉัน มันก็อดไม่ได้ที่จะไม่ให้รู้สึกตื่นเต้น
จากนั้นหลินฟานก็ยิ้มและพูดว่า “พอใช้หรือเปล่า ให้ฉันโอนให้อีกมั้ย”
หวงหลิงรีบพูดว่า “พอ…พอแล้ว…”
“กริ๊งงง!”
ในขณะเดียวกันนั้น โทรศัพท์มือถือของฉิวจือเฉียนก็ได้มีเสียงโทรเข้าดังขึ้นมา
ฉิวจือเฉียนจึงได้เหลือบสายตาไปดูที่โทรศัพท์ของเธอ และจากนั้นเธอก็รีบกดรับสายในทันที
“แม่คะ ทำไมวันนี้โทรมาเร็วจัง แม่ได้กินข้าวเช้าหรือยัง” ฉิวจือเฉียนถาม
หวางฮุ่ยที่โทรมาหา ไม่ได้ตอบคำถามของฉิวซิเฉียนก่อนจะพูดขึ้นมา “จือเฉียน ตอนนี้ลูกพอจะมีเงินสัก 2 ล้านไหม”
ฉิวจือเฉียนถึงกับขมวดคิ้วในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น และเธอก็พูดว่า “ทำไมแม่ถึงได้ต้องการเงินมากมายขนาดนั้น”
“ตอนนี้พ่อของลูกได้ถูกใครก็ไม่รู้กักขังเอาไว้ ซึ่งตอนนี้พ่อได้ขาหักไปแล้ว และหากไม่นำเงินไปให้พวกมัน มันก็จะทำการหักแขนหักขาที่เหลือของพ่อ” ขณะที่หวางฮุ่ยพูด เสียงของเธอก็ค่อยๆแหบแห้งลงไปเรื่อยๆ
“อะไรกัน มันเกิดขึ้นได้ยังไง” ฉิวจือเฉียนรู้สึกมึนงงและก็ตกใจเป็นอย่างมาก ” รอก่อนนะแม่ ฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ”
พ่อแม่คือคนที่สำคัญมากๆสำหรับเธอ
และถ้าหากพ่อเป็นอะไรไป เธอจะทนได้ยังไง?
เนื่องจากหลินฟานได้นั่งอยู่ข้างๆเธอ เขาจึงได้ยินการสนทนาของทั้งสองอย่างชัดเจน
จากนั้นหลินฟานก็จับไปที่เอวของฉิวจือเฉียนแล้วพูดว่า “ผมจะกลับไปที่บ้านกับคุณเอง”
ฉิวจือเฉียนรู้สึกลังเลอยู่บ้าง แต่สุดท้ายเธอก็พยักหน้าขึ้นลง
จริงๆแล้วเธอก็ไม่อยากจะรบกวนหลินฟานเท่าไหร่หรอก
แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะจำเป็นที่จะต้องให้หลินฟานมาช่วยด้วย
หวงหลิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามนั้น ไม่ได้ยินว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เมื่อมองไปยังท่าทางที่โศกเศร้าของฉิวจือเฉียน เธอก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
หวงหลิงพยายามปลอบเธอ ” ไม่ต้องเสียใจหรอกนะ หลินฟานต้องช่วยเธอแก้ปัญหาได้แน่นอน…”
และจากนั้นเธอก็พูดต่อ “ต้องการให้ฉันไปด้วยหรือเปล่า ”
หลินฟานจึงพูด “วันนี้เธอพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ ฉันขับลัมโบร์กินี่มา มันไม่สามารถนั่งได้ถึงสามคน”
“โอเค” หวางหลิงพูด
ถ้าหากหวงหลิงได้ไปกับพวกเขาจริงๆ
เธอก็คงไม่กล้าเผชิญหน้ากับพ่อแม่ของฉิวจือเฉียน
หลังจากที่หลินฟานและฉิวจือเฉียนขึ้นรถแล้ว พวกเขาก็เหยียบคันเร่งและพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
บ้านเกิดของฉิวจือเฉียนตั้งอยู่ในหนานจิงของมณฑลเจียงซู และห่างจากแม่น้ำลี่เจียง ไปทางเหนือประมาณ 300 กิโลเมตร
สองชั่วโมงครึ่งต่อมา พวกเขาก็ได้มาถึงยังชุมชนที่ค่อนข้างจะเก่าและทรุดโทรม
บ้านของฉิวจือเฉียนอยู่ที่นี่
หน้าบ้านที่สร้างมาหลายสิบปีแล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายกับจือเฉียนกำลังยืนอยู่
และเมื่อเธอเห็นฉิวจือเฉียนก้าวลงมาจากรถซุปเปอร์คาร์สุดเท่ ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเธอก็แสดงความตื่นเต้นออกมาทันที
“จือเฉียน ลูกกลับมาแล้ว!” หวางฮุ่ยตะโกน
ซึ่งจากนั้นเธอก็มองไปที่หลินฟานด้วยสายตาที่ไม่ค่อยแน่ใจ “เขาใช่แฟนของลูกหรือเปล่า?”
ขณะที่ฉิวจือเฉียนกำลังจะอธิบาย หลินฟานก็ชิงพูดตอบกลับไปก่อน ” ใช่ครับคุณป้า ผมเป็นแฟนของจือเฉียน ชื่อหลินฟานครับ”
คำพูดของหลินฟาน ทำให้ฉิวจือเฉียนรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก
และคำตอบนั้น ก็ทำให้ดวงตาที่มืดหม่นของหวางฮุ่ย เปร่งประกายออกมาเล็กน้อย
จากนั้นเธอจึงถามต่อว่า “หนุ่มน้อย เธอรู้จักกับจือเฉียนมานานแค่ไหนแล้วหรอ?”
ฉิวจือเฉียนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แม่ มันไม่ใช่เวลาที่จะมาถามนะ แม่รีบบอกรายละเอียดให้ฉันฟังสักที ว่าทำไมพ่อถึงจับตัว และทำไม… ขาของพ่อถึงหักได้?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ตาของหวางฮุ่ยก็เริ่มแดงขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อวาน พ่อเขาได้เดินทางไปยังร้านขายของเก่า แล้วบังเอิญไปทำของโบราณของคนอื่นพังเข้า…”
“จากนั้นเขาก็บอกให้พ่อจ่ายเงินมา แต่พ่อไม่มีเงินพอที่จะจ่ายได้ เขาก็เลยหักขาของพ่อ…”
“และต่อมาก็มีคนโทรมาบอก ว่าถ้ายังไม่เอาเงินมาให้อีก เขาจะ…หักแขนหักขาที่ยังเหลืออยู่ทิ้ง…”
“ถ้าเขาใช้ขาไม่ได้อีก เราจะทำยังไงดี”
“จือเฉียน, หลินฟาน ลูกต้องช่วยพ่อนะ!”
หวางฮุ่ยพูดออกมาพร้อมน้ำตา
หลินฟานพูดปลอบโยน “คุณป้า ไม่ต้องกังวล เราจะช่วยคุณลุงออกมาให้ได้ ยิ่งทุกวันนี้ทักษะทางการแพทย์ก็ก้าวหน้าไปมากแล้ว จะต้องรักษาขาของคุณลุงให้หายได้อย่างแน่นอน”
หลังจากพูดปลอบใจหวางฮุ่ยไปอีกสักพัก หลินฟานและฉิวจือเฉียนก็ขับลัมโบร์กินี่ ไปยังที่ที่หวางฮุ่ยบอก
ในตอนนั้น ที่ร้านขายของเก่า
ชายหัวล้านที่ใส่ฟันทองกำลังยกขาของเขาขึ้นพาดอยู่ที่โต๊ะ เขากินเมล็ดแตงโมพร้อมกับฮัมเพลงอย่างสบายใจ
“บูม!”
ในขณะนี้ก็มีเสียงคำรามดังมาจากระยะไกล
จากนั้น ลัมโบร์กินี่ที่ดูเท่ก็หยุดอยู่หน้าร้านอย่างมั่นคง เมื่อชายหัวโล้นเห็นมัน ตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย และเขาก็รีบลุกขึ้นไปต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับทั้งสองสู่ ร้านขายของเก่าชิงเฟิง เรามีทุกอย่างจากทุกราชวงศ์ในร้านของเรา… คุณต้องการให้ฉันแนะนำอะไรมั้ย”
หลินฟานพูดอย่างเฉยเมย “ร้านของนาย กักตัวคนไว้ตั้งแต่เมื่อวานใช่ไหม”
“โอ้? นายมาที่นี่เพื่อไถ่ใครบางคนสินะ?” ความกระตือรือร้นที่มีบนใบหน้าของชายหัวโล้นหายไปทันที
จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งแล้วยกขาของเขาพาดไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม
“เขาเป็นอะไรกับพวกนาย” ชายหัวล้านเคาะเมล็ดแตงโมงแล้วพูดอย่างเร่งรีบ
“เขาเป็นพ่อของฉัน!”ฉิวจือเฉียนพูด
ชายหัวล้านพูดว่า “ไม่เป็นไร! เมื่อวานนี้ พ่อของเธอทำแจกันกระเบื้องเคลือบในสมัยราชวงศ์ซ่งตกลงพื้น!”
“ถ้าทำอะไรเสียหาย ก็ต้องชดใช้! พ่อของเธอไม่มีเงิน แน่นอนว่าฉันก็ต้องหักขาของเขา!”
“ถ้าอยากได้ตัวพ่อคืนก็ง่ายๆ แค่จ่ายมา 2 ล้าน! หรืออีกทางก็จ่ายด้วยมือทั้งสองข้าง”
ฉิวจือเฉียนตะโกนอย่างไม่พอใจ “นี่มันแบล็กเมล์กันชัดๆ!”
“แบล็กเมล์อะไร ห๊ะ! สาวน้อย อย่าพูดไร้สาระน่า!” ชายหัวล้านพูด
“คุณไม่กลัวว่าเราจะเรียกตำรวจมาจับคุณเลยหรอ?” ฉิวจือเฉียนพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็แจ้งมาเลยสิ! ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่า… เมื่อถึงตอนนั้น ตำรวจจะจับฉันหรือจับเธอกันแน่?” ชายหัวล้านหัวเราะเยาะ
“คุณ……”
ฉิวจือเฉียนอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่หลินฟานก็พูดขัดขึ้นมาซะก่อน “2 ล้านเหรอ เราจะจ่าย!”
หลังจากพูดจบ หลินฟานก็หยิบบัตรธนาคารออกมา
ชายหัวล้านยิ้มแล้วพูด “นายนี่คุยง่ายกว่าตั้งเยอะ”
เขายิ้มแล้วเผยให้เห็นฟันสีทองสว่างวาบ ก่อนจะหยิบบัตรธนาคารแล้วรูดบนเครื่อง POS