เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 – เล่มที่ 3 ตอนที่ 62 เตรียมการไปหยางเฉิง

เล่มที่ 3 ตอนที่ 62 เตรียมการไปหยางเฉิง

เซี่ยเสี่ยวหลานจะทำธุรกิจอื่น

หลี่เฟิ่งเหมยได้แต่คิด เด็กคนนี้ช่างหาเรื่องเก่งเสียเหลือเกิน

 พอปลาไหลขายไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังมีกากน้ำมันอยู่ หลานจะทำธุรกิจอะไรต่ออีกเล่า

อยู่บ้านทบทวนบทเรียนสบายๆ เถอะ สอบเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้าถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดต่างหาก 

ธุรกิจกากน้ำมันทำเงินไม่ดีเท่าปลาไหล แต่ชนะธุรกิจปลาไหลเพราะมั่นคงกว่า

ขนกากน้ำมันหลายร้อยชั่งไปตลาดในชนบทสามารถขายหมดได้อย่างง่ายดายทุกวัน

กำไรที่ได้คือเงินค่าเหนื่อย ทว่าเกษตรกรผู้หาอาหารกับผืนดิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรเช่นหลิวเฟินที่ถึกทนดั่งวัวแก่

สิ่งที่ไม่กลัวเลยสักนิดก็คือความเหนื่อยยากนั่นเอง

ต่อให้เหน็ดเหนื่อยกว่านี้ แต่มันก็คุ้มค่ายิ่งนัก ทุกเดือนสามารถทำเงินได้หลายร้อยหยวน

รายได้มากกว่าคนงานเสียอีก

แม้แต่หลี่เฟิ่งเหมยก็คิดว่าธุรกิจประเภทนี้ดีเยี่ยมเหลือเกิน!

รายได้หลายร้อยหยวนในปี 83 ถือเป็นมโนภาพที่ไม่มีวันเป็นจริงแค่ไหนน่ะหรือ?

หากยึดตามประสบการณ์และความรู้ของหลี่เฟิ่งเหมย เธอไม่เคยพบเจออาชีพที่ทำรายได้ที่มากกว่านี้แล้ว

ขนาดสามีของเธออย่างหลิวหย่งบอกว่าหาเงินจำนวนมากได้จากข้างนอก

แต่เงินส่วนใหญ่ล้วนลงไว้กับ ‘ธุรกิจ’ แล้ว เงินที่นำกลับบ้านต่อเดือนมีเพียงไม่กี่ร้อยหยวนเท่านั้น

หากใช้รายได้ส่วนนี้ส่งเสียเซี่ยเสี่ยวหลานเล่าเรียนย่อมไม่มีปัญหา

เมื่อใดที่หลิวเฟินยืนหยัดต่อไปไม่ไหว มิใช่ยังมีหลิวหย่งและหลี่เฟิ่งเหมยหรอกหรือ

เซี่ยเสี่ยวหลานคิดถี่ถ้วนแล้วจึงไม่ปิดบัง

 ป้า ฉันจะจัดการตารางเวลาของตัวเองอย่างสมเหตุสมผลแน่นอน

อันที่จริงฉันเองทบทวนบทเรียนเองได้ดีทีเดียว ถ้าต้องเรียนหนังสือกับคนอื่นในห้องเรียน

ใจฉันคงสงบไม่ลงแน่… เรื่องธุรกิจขายกากน้ำมันฉันอยากส่งต่อให้แม่

และไม่ต้องการให้แม่หาเงินได้มากมายขนาดนั้น แค่มีอะไรสักอย่างให้ทำก็พอ ส่วนธุรกิจใหม่ที่ฉันอยากทำตอนนี้คือขายเสื้อผ้า 

เซี่ยเสี่ยวหลานเล่าถึงสิ่งที่ตนเองได้ยินได้เห็นจากตลาดสินค้าเกษตรในซางตูให้เธอฟังหนึ่งรอบ

ช่วงนี้เธอวิ่งวุ่นไปมาในซางตู

ย่อมถามไถ่ถึงข้อมูลที่มีประโยชน์มากยิ่งขึ้นเป็นธรรมดา ควรนำเข้าเสื้อผ้ารูปแบบใด

ขายในราคาเท่าไร ตั้งแผงที่ไหน เซี่ยเสี่ยวหลานมีแผนไว้หมดแล้ว เธอเร่งร้อนอยากโดดเด่นเหนือใครในยุค 80 และต้องการพิสูจน์ตนเองด้วยเช่นกัน การสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง

เป้าหมายการพิสูจน์ตนข้อนี้เธอลุล่วงไปตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว

ตอนนั้นแม้ฝ่าฟันจนได้หน้าที่การงานตำแหน่งสูงมา แต่ท้ายที่สุดก็ยังเป็นการทำงานให้ผู้อื่นอยู่ดี

เซี่ยเสี่ยวหลานอยากมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตนเองบ้าง!

เซี่ยเสี่ยวหลานอธิบายอย่างกระจ่างและมีตรรกะ

หลี่เฟิ่งเหมยฟังแล้วถึงกับเหม่อลอย

สิ่งเหล่านี้จะมีสาวชนบทสักกี่คนที่รู้กัน? ชนเสาครั้งนั้น ช่างนำมาซึ่งความสุขในภายภาคหน้าโดยแท้

เซี่ยเสี่ยวหลานได้รู้แจ้งแล้ว

เซี่ยเสี่ยวหลานมีจุดยืนของตนเองเป็นอย่างยิ่ง

หลี่เฟิ่งเหมยกังวลว่าตัวเองจะเป็นห่วงหลานสาวมากเกินไปจนเกิดผลลัพธ์ตรงกันข้าม สุดท้ายจึงทำได้เพียงตั้งกฎร่วมกัน

 ถ้าคะแนนสอบที่โรงเรียนถดถอย ไม่ว่าจะธุรกิจอะไรก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น! 

เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมตกลงด้วยความยินดีแน่นอน

หลี่เฟิ่งเหมยไม่ต้องการเอาเปรียบเรื่องร่วมหุ้นลงทุน  50 หยวนจะซื้อเสื้อผ้าได้สักกี่ชุดกัน? เงินแค่นี้หลานเก็บไว้เถอะ อีกอย่างถ้าลงทุนด้วยกัน ลุงของหลานยังทำกำไรจากการค้านี้ได้อีก

เป็นผู้ใหญ่มีประสบการณ์มากกว่า จะปล่อยให้หลานขาดทุนได้อย่างไร? 

แต่ค้าขายเสื้อผ้าเก็งกำไร

เสื้อผ้าสำเร็จรูปในตัวเมืองราคาแพงแค่ไหน? หลี่เฟิ่งเหมยคิดว่าแม้แต่เสื้อผ้าสักสองชุดก็ซื้อไม่ได้ จะมาลงทุนอะไรกันเล่า

วงการค้าขายเสื้อผ้ามีกำไรฉับพลันมหาศาล อย่าว่าแต่ยุค 80 เลย ผ่านไปอีกสามสิบปี เสื้อผ้าราคาโรงงาน ราคาขายส่ง

ไปจนถึงจุดสิ้นสุดที่ราคาขายปลีกล้วนห่างกันหลายเท่าตัว

เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่คิดจะพูดกล่อมหลี่เฟิ่งเหมย

เธอต้องการเพียงถ้าหาเงินได้เมื่อไร

ไม่ว่าอย่างไรจะต้องนำกำไรส่วนนี้แบ่งแก่ครอบครัวของลุงให้ได้

สิ่งที่เธอต้องการคือการสนับสนุนของหลี่เฟิ่งเหมย

ในบ้านมีกันแค่สี่คน เทาเทาเด็กเกินไปจึงไม่มีสิทธิ์ออกเสียง

เธอและหลี่เฟิ่งเหมยรวมหลิวเฟินหากเทียบแล้วย่อมมีเสียงเป็น 2:1 เมื่อหลิวเฟินออกปากจริงจังแม้แต่หลี่เฟิ่งเหมยยังเอาชนะไม่ได้

พูดได้ไม่กี่ประโยคก็ตะลึงงันเสียแล้ว

เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังตริตรองจะไปหยางเฉิงสักรอบ

หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยกังวลอย่างเป็นที่สุด  ซางตูก็มีตลาดค้าส่งของตัวเอง เรารับสินค้าที่ซางตูมาขายในอันชิ่งไม่ได้หรือ? !

เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายศีรษะปฏิเสธ  แบบที่ขายอยู่ในซางตูไม่แปลกใหม่เลยสักนิดเดียว

แผงร้านอื่นก็รับของจากตลาดค้าส่งซางตู ของที่เหมือนกันจะไร้การแข่งขัน

ในเมื่อจะขายแล้วก็ต้องขายของที่มีเอกลักษณ์หาเจ้าอื่นเปรียบไม่ได้

ไม่ใช่ยอมให้ลูกค้าเลือกสินค้า แต่ฉันจะเป็นคนเลือกลูกค้าเอง 

อย่างแผงเสื้อผ้าที่เธอเห็นในตลาดสินค้าเกษตรนั้น

ราคาขายก็ไม่เรียกว่าย่อมเยา แต่รูปแบบกลับดึงดูดลูกค้าสตรีไม่ได้

สินค้าค้างอยู่ในมือจะไปได้กำไรอะไร? เงินต้นทุนของเธอยังไม่หนา

ไปหยางเฉิงรับสินค้าครั้งเดียวก็นำมาได้ไม่กี่ชุด ถ้ารูปแบบเสื้อผ้าแปลกใหม่สวยงาม

ทุกชุดที่ขายได้ย่อมเป็นเงิน! สินค้าต้องคุณภาพดีเพียงพอ

เธอถึงจะมีคุณสมบัติเลือกเฟ้นลูกค้า หากมีคนรู้สึกว่าแพงเกินไป? ก็ไม่เป็นไร คุณไม่ซื้อ ย่อมมีคนอื่นรอซื้อต่ออยู่ดี

ปัจจุบันนี้ในมือของผู้คนล้วนพร่องเงินทอง และขาดแคลนสินค้าต่างๆ

นานาเช่นกัน

เสื้อผ้าที่ดูดีถึงจะล้วงเงินออกจากกระเป๋าของลูกค้าได้!

หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินไม่เข้าใจ พวกเธอรู้แค่เพียงหญิงสาวที่สวยสะพรั่งคนหนึ่งออกจากบ้านไปรับด้วยตนเองย่อมไม่ค่อยเหมาะสม

ตอนนี้เธอเข้าใจข้อเสียของครอบครัวที่มีสมาชิกน้อยนิดแล้ว บ้านหลิวเป็นครอบครัวที่ย้ายมาจากต่างถิ่น

ไม่มีญาติมิตรที่ช่วยเหลือได้

หลิวเฟินต้องส่งปลาไหลเข้าเมืองและขนกากน้ำมันกลับมาขาย

หลี่เฟิ่งเหมยดูแลงานในไร่นาและในบ้านควบคู่กัน อีกทั้งต้องดูแลเทาเทาด้วย

ในบ้านแยกคนออกไปหยางเฉิงกับเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้จริงๆ

ไหว้วานใครไปหยางเฉิงกับเซี่ยเสี่ยวหลานดีเล่า?

หลี่เฟิ่งเหมยลำบากใจยิ่งนัก สามพี่น้องตระกูลหลิว

หลิวหย่งมีน้องสาวทั้งหมดสองคน

เป็นเรื่องจริงที่เมื่อก่อนหลี่เฟิ่งเหมยรู้สึกว่าน้องสาวคนเล็กของสามีอย่างหลิวเฟินซื่อบื้อพูดน้อยไม่น่าคบหา

น้องสาวอีกคนของหลิวหย่งผู้ออกเรือนไปอยู่เขตหลินกลับไม่ไปมาหาสู่กับบ้านแม่เท่าไร

แทบจะตัดการติดต่อกันแล้วด้วยซ้ำ

หลี่เฟิ่งเหมยแต่งงานเข้ามาเจ็ดแปดปี

ยังไม่เคยเห็นว่าอาหญิงรองของเทาเทา หลิวฟาง หน้าตาเป็นอย่างไร

ญาติมิตรเช่นนี้ จะหวังพึ่งได้หรือ?

สำหรับบ้านแม่ของเธอเองยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลย

อีกอย่างก็ไม่มีเหตุผลสำหรับการวานญาติของเธอไปช่วยงานเซี่ยเสี่ยวหลาน

ตัวหลี่เฟิ่งเหมยเองไม่เชื่อมั่นในคนบ้านแม่ของเธออีกแล้ว

อย่าได้มองว่าเซี่ยเสี่ยวหลานทำเงินเยอะแล้วจะริษยาจนแย่งชิงลู่ทางหาเงินของเซี่ยเสี่ยวหลานไปดื้อๆ

อย่างนี้เชียว!

เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดว่าเดินทางด้วยตัวเองจะมีปัญหา

ใช่ เธอหน้าตาสะสวย สถานีรถไฟและบนรถไฟย่อมเป็นเขตแดนซับซ้อนซึ่งมีคนดีและคนเลวอยู่ปะปนกันเสมอมา

แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่ ‘สาวบ้านนอก’ ผู้ไม่เคยออกไปไกลบ้านมาก่อน หากสามารถยึดมั่นจิตใจระแวดระวังให้เพียงพอ

ไม่ต้องสนใจริเริ่มสนทนากับคนแปลกหน้า อย่าเดินตอนดึกดื่นค่ำมืดคนเดียว

ห้ามรับประทานเครื่องดื่มหรืออาหารที่คนแปลกหน้าส่งมาให้

คนเลวไม่มีทางฉุดเธอไปในสถานการณ์ที่ผู้คนกำลังจับจ้องได้อยู่เป็นแน่!

ดูท่าทางอากาศใกล้จะเริ่มเย็นลงแล้ว

ถ้าไม่รีบใช้เวลานี้ขายเสื้อผ้าฤดูหนาว ก็เท่ากับพลาดโอกาสทางธุรกิจดีๆ นี่เอง

เซี่ยเสี่ยวหลานตรวจเงินเก็บที่เก็บไว้กับตัวอย่างละเอียด

ตัดส่วนเล็กน้อยซึ่งลงไว้ในธุรกิจปลาไหลออกไป เธอมีเงินสดรวม 600 หยวน นี่มิใช่ธนบัตรหกใบบางจ๋อยเหมือนในอนาคต เพราะธนบัตรมูลค่าที่มากที่สุดในยุคนี้คือธนบัตรสิบหยวน

เงิน 600 หยวนจึงมีความหนาพอสมควร

อยู่นอกบ้านต้องดูแลของมีค่าที่อยู่ตัวไว้ให้ดี หลิวเฟินจึงคิดจะเย็บกระเป๋าติดด้านนอกกางเกงชั้นในแนบเนื้อของเซี่ยเสี่ยวหลานให้

ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานอึ้งกิมกี่เพราะวิธีเก็บรักษาเงินเช่นนี้อยู่นานโข

เมื่อชาติก่อนเธอติดต่องานก็ต้องนั่งรถไฟออกไปต่างถิ่นคนเดียวอยู่บ่อยครั้ง

แต่ไม่เคยนำเงินสดก้อนใหญ่ติดตัวออกไปด้วย มักเป็นการต่อรองธุรกิจให้ลงตัวก่อนแล้วทั้งสองฝ่ายค่อยโอนเงินโดยตรง

เก็บเงิน 600 หยวนไว้ในกระเป๋ากางเกงใน?

เซี่ยเสี่ยวหลานรับไม่ได้โดยเด็ดขาด

เลยขอให้หลิวเฟินเย็บกระเป๋าสองลูกติดซับข้างในเสื้อแทน

 เงินน่ะแยกกันเก็บดีกว่า 

คงไม่ดวงซวยถึงขั้นเงินทั้งสองที่โดนขโมยไปหรอกนะ?

หลี่เฟิ่งเหมยไม่รับเงินของเซี่ยเสี่ยวหลาน อีกทั้งนำเงินอีก 300 หยวนยัดใส่มือเธอ  ให้หลานยืม

ไม่นับว่าลงทุนร่วมอะไรหรอก 

หลิวหย่งไม่ได้ทิ้งเงินไว้ที่บ้านมากเท่าไร หลี่เฟิ่งเหมยจะต้องเหลือเงินไว้ในมือบ้าง

พอคิดแล้วเงินที่หมุนได้ก็คือเงิน 300 หยวนนี้เอง ออกไประหกระเหินคนเดียวข้างนอก

เซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งเป็นหญิงสาวสะสวย หากเป็นชายหนุ่มไม่มีเงินจ่ายค่าที่พักก็ยังสามารถซุกหัวนอนอยู่ใต้เสาสะพานสักคืนได้

แต่เปลี่ยนเป็นเซี่ยเสี่ยวหลานย่อมทำเช่นนั้นไม่ได้แน่นอน

เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ปฏิเสธน้ำใจ มีเงินเพิ่มมาอีกสามร้อยก็ถือว่าป้าสะใภ้ได้เข้าร่วมหุ้นด้วยอีกคน

จะเดินทางไกลบ้าน ย่อมขาด ‘จดหมายแนะนำ’ ไม่ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานไปที่ทำการหมู่บ้านทำเรื่องขอจดหมายแนะนำ

บุรุษไปรษณีย์กำลังส่งจดหมายพอดี

 มีโทรเลขของคุณเซี่ยเสี่ยวหลานครับ 

คนส่งโทรเลขนำซองจดหมายหนึ่งซองยื่นให้เซี่ยเสี่ยวหลาน

สายตาสงสัยใคร่รู้มองติดตามเธอไปอย่างใกล้ชิด

โทรเลขที่ประชาชนทั่วไปใช้มีราคาเจ็ดเฟินต่อหนึ่งตัวอักษร

ต้องการส่งโทรเลขย่อมเป็นธุระสำคัญแน่นอน เกลาแล้วเกลาอีกจนได้ข้อความหนึ่งประโยค

คนส่งโทรเลขแค่ส่งบันทึกสั้นสักฉบับก็ถือว่าทำงานเสร็จสิ้นแล้ว… นี่เป็นครั้งแรกในการส่งโทรเลขที่ต้องใช้ซองจดหมายบรรจุไว้!

นั่นต้องมีตัวอักษรเท่าไรกัน?

แล้วนั่นต้องเป็นเงินเท่าไรกัน?

ไม่เคยพบเจอการฟุ่มเฟือยเงินทองเช่นนี้มาก่อน

บุรุษไปรษณีย์แนะนำว่าเขียนจดหมายเอาไม่ดีกว่าหรือ!พ

 

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เธอคือประธานเซี่ย หญิงผู้แข็งแกร่ง และยังเกิดใหม่เป็น เซี่ยเสี่ยวหลาน หญิงสาวชื่อแซ่เดียวกับเธอที่ฆ่าตัวตายท่ามกลางคำนินทาในยุค 80 เธอมีโอกาสได้เกิดใหม่อีกครั้ง ทำไมต้องมาอยู่อย่างอดสูแบบนี้ด้วยเล่า?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท