เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 – เล่มที่ 4 ตอนที่ 98 หุ้นส่วนจากหยางเฉิง

เล่มที่ 4 ตอนที่ 98 หุ้นส่วนจากหยางเฉิง

 เอามาให้พี่กินนั่นแหละ ฉันยังขายเสื้อผ้าอยู่นะ 

หา?

มากมายขนาดนี้คงรับประทานไม่หมดแน่

ไป๋เจินจูรู้สึกอับอาย

แต่เรื่องนี้ไว้คิดทีหลังได้ เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินคือแขกที่มาเยี่ยมเยือน

ไป๋เจินจูจึงต้องเก็บแผงพาทั้งสองคนกลับบ้าน ธุรกิจแผงผลไม้ของเธอธรรมดามาก

ขายผักผลไม้ก็เป็นเช่นนี้ เมื่อธุรกิจไปได้ไม่ดี

ผักผลไม้ทิ้งไว้สองสามวันก็ไม่สดใหม่ ย่อมกำเนิดวงจรอุบาทว์ขึ้น ยิ่งขายยิ่งไม่ดี

เซี่ยเสี่ยวหลานข้องใจ มาหยางเฉิงครั้งแรกได้ฟังไป๋เจินจูเล่าว่าธุรกิจไม่เลวทีเดียว

นี่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือน การค้าซบเซาลงกะทันหันและร้ายแรงถึงขนาดนี้เชียว?

ไป๋เจินจูราวกับรู้สึกไม่ยี่หระ  เมื่อก่อนขายอยู่ที่อื่น

ต่อมามีศิษย์น้องคนหนึ่งแต่งภรรยา ชีวิตไม่มีแหล่งรายได้มั่นคง ฉันจึงยอมปล่อยที่ตั้งแผงให้พวกเขาสองสามีภรรยา

ส่วนตัวเองก็เปลี่ยนที่ขายใหม่ 

ขนาดเธอบอกเล่าเรื่องราวโดยคร่าวๆ เซี่ยเสี่ยวหลานยังตะลึงพรึงเพริด

นี่ช่างยึดมั่นในคุณธรรมมากกว่าเงินทองเกินไปแล้วหรือเปล่า?

อันที่จริงระหว่างนั้นยังมีเรื่องราวอีกมาก

อย่างเช่นแผงลอยดั้งเดิมของไป๋เจินจูถือว่าเป็นท่าเรือทองคำ ต้องมีพวกค้าเร่มากมายหวังแย่งชิงอยู่แล้ว

ทว่าด้วยหมัดและเท้าของไป๋เจินจูจึงสู้จนคนอื่นไม่กล้าแย่งชิง

ไป๋เจินจูร้ายกาจกับคนนอก ทว่าอ่อนข้อต่อคนของตนเองทีเดียว

ศิษย์น้องต้องการที่ตั้งแผงนั้น ภรรยาแสร้งทำตัวน่าสงสารน้ำตาร่วงสองสามหยดก็หลอกเอาไปได้แล้ว

ผู้หญิงตัวคนเดียวเช่นเธอทำธุรกิจเป็นรูปร่างด้วยความยากเย็น แต่คู่สามีภรรยากลับสุขสบายไปกับความสำเร็จที่ไม่ได้ไขว่คว้ามาเอง

เรื่องราวพวกนี้ไป๋เจินจูไม่คิดว่าควรจะเล่าอะไรมากนัก

จากนั้นพาเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดากลับบ้าน บ้านเรือนของตระกูลไป๋ขนาดไม่เล็ก

แต่ทั้งบ้านมีเพียงผนังสี่ด้าน [1]

ยังมีคุณย่าอีกคนที่อาศัยอยู่กับไป๋เจินจู เมื่อเห็นคนอื่นนอกจากศิษย์พี่ศิษย์น้องมาเยือน

อีกทั้งเป็นสตรีอายุน้อย ย่าไป๋จึงดีใจยิ่งนัก

หลิวเฟินพูดภาษาจีนกลางไม่ได้ เวลาพูดจึงเต็มไปด้วยสำเนียงมณฑลอวี้หนานอย่างเข้มข้น

แต่ถ้าเธอลดความเร็วในการพูดอย่างน้อยก็สามารถฟังเข้าใจได้ คุณย่าไป๋พูดได้เพียงภาษาถิ่นหยางเฉิง

เซี่ยเสี่ยวหลานพอฟังรู้เรื่อง ส่วนหลิวเฟินนั้นฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว

จึงสื่อสารกับย่าไป๋โดยการบุ้ยใบ้

ไป๋เจินจูวาจาตรงไปตรงมาไม่น้อย

ถามไถ่เซี่ยเสี่ยวหลานว่าต้องการความช่วยเหลือใช่หรือไม่

เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางมาสองหน อาจบอกไม่ได้ว่าคุ้นเคยกับหยางเฉิงมาก

ทว่าเรื่องการค้าส่งเสื้อผ้าต้องคุ้นเคยกว่าไป๋เจินจูแน่นอน

เดิมทีเธอไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใด

เมื่อเห็นธุรกิจแผงลอยผลไม้ของไป๋เจินจูเงียบเหงา

เซี่ยเสี่ยวหลานกลับมีความคิดใหม่

 พี่ไป๋ ธุรกิจพี่จะซบเซาตลอดไปก็ไม่ได้ ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนบ้างหรือ? 

ไป๋เจินจูก็กำลังพิจารณาเกี่ยวกับปัญหานี้เช่นกัน

เธออุตส่าห์ทำธุรกิจอิสระแล้ว ไม่รู้สึกขายหน้าใครด้วย

ทว่าเธอมีประสบการณ์ในการขายผลไม้ ต้องนำเข้าสินค้าจากที่ไหน สินค้าควรขายอย่างไรเธอล้วนรู้ดี

หากเปลี่ยนธุรกิจไปเธอจะทำอะไรได้อีก

ค้าขายผลไม้ทำเงินได้แน่นอน

ภายหลังผู้คนยุคอนาคตมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

ลังเลอยู่ระหว่างความอยากอาหารและโภชนาการที่สมดุล ผลไม้ยิ่งรับประทานยิ่งแพง

บางคนถึงขั้นใช้ผลไม้แทนอาหารหลักเป็นนิสัย แต่ธุรกิจผลไม้ในปี 83 แค่พอไปไหวเท่านั้น ต่อให้สภาพเศรษฐกิจในหยางเฉิงจะมั่งคั่งกว่าเมืองตอนในของประเทศก็ตาม

โลกภายนอกก็เป็นเช่นนี้ ค้าขายสินค้าประเภทอาหารได้เพียงเงินทองเล็กๆ

น้อยๆ

กำไรจากการที่เซี่ยเสี่ยวหลานขายเสื้อผ้าสองตัว หนึ่งวันของแผงลอยผลไม้ไป๋เจินจูก็อาจทำไม่ได้

กำไรของเสื้อผ้าสตรียังไม่สู้การขายเครื่องใช้ไฟฟ้า

เซี่ยเสี่ยวหลานถามไป๋เจินจูว่าเคยอยากเปลี่ยนธุรกิจหรือไม่ ไป๋เจินจูพยักหน้าด้วยความสัตย์จริง

 เคยคิดอยากจะเปิดร้านเนื้อหมู !

ร้านค้าเนื้อหมู?

แผงหมูไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้ ไม่รับประทานผลไม้ได้

แต่ไม่เจอเนื้อสัตว์เป็นเวลานานไม่ได้

ดูเหมือนไป๋เจินจูมีความตั้งใจไว้นานแล้ว เห็นว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็นคนฉลาดหลักแหลม

เธอจึงเอ่ยปากชวนให้เซี่ยเสี่ยวหลานพิจารณาเสียหน่อย  ฉันจะไปรับหมูเป็นจากชนบท

เชือดเองขายเอง หมูหนึ่งตัวก็ขายได้ราคาบ้าง หนึ่งวันขายได้สองตัว

กำไรไม่น้อยกว่าแผงผลไม้ก่อนหน้านี้ของฉันสักเท่าไรหรอก 

หมูเป็นราคารับซื้อไม่กี่เหมา อัตราการให้เนื้อของหมูหนึ่งตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 65 ทว่าราคาขายกลับสามารถสูงกว่าราคารับซื้อถึงครึ่งหนึ่ง

กำไรก็คือส่วนต่างตรงกลาง ด้วยราคาเนื้อหมูปัจจุบัน

ไป๋เจินจูเชือดหมูหนึ่งตัวต่อวัน หากขายหมดจะทำเงินได้ราว 20 หยวน ขายสองตัวก็ได้ 40 หยวน

มิใช่ทุกคนจะมีจิตใจทะเยอทะยานอย่างเซี่ยเสี่ยวหลาน

สำหรับไป๋เจินจูผู้อยู่ในปี 83 แล้ว

เดือนละเกือบหนึ่งพันหยวน ก็สามารถพาคุณย่าของเธอใช้ชีวิตสุขสบายในหยางเฉิงได้แล้ว

เงื่อนไขล่วงหน้าของรายรับนี้คือเธอต้องการันตีว่าจะสามารถรับซื้อหมูเป็นสองตัวทุกวัน

นอกจากนั้นต้องเชือดเสร็จเรียบร้อย ขายพวกมันทั้งหมดออกไป!

คิดแล้วก็เป็นไปไม่ได้ การรับซื้อหมูเป็นต้องเสียเวลา ส่วนการเชือดก็ต้องใช้เวลา

รายรับ 40 หยวนต่อวันอาจไม่ถึงกับหั่นออกครึ่งหนึ่ง

แต่น้อยลงหนึ่งในนามอย่างไม่ต้องสงสัย

หนึ่งเดือนทำเงินได้ราว 600-800 หยวน

เซี่ยเสี่ยวหลานคำนวณกำไรของธุรกิจนี้ออกมาไวดุจแสง

ชาติก่อนเธอไม่เคยสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ ทว่าความรู้ที่กักเก็บไว้ทำให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ

ตั้งแต่เซี่ยเสี่ยวหลานริเริ่มค้าขายกากน้ำมัน

ก็สอบถามเกี่ยวกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั้งสายมาบ้างแล้ว การเลี้ยงสุกรจำนวนมากมีความเป็นไปได้หรือไม่

การทำโรงงานค้าเนื้อสัตว์มีความก้าวหน้าหรือไม่

เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถวางแผนธุรกิจออกมาได้เลย แต่ไม่มีประโยชน์อะไรสักเท่าไร

ลงทุนขนาดใหญ่ทำกำไรช้า เวลาในการทำสิ่งเหล่านี้เธอไม่รู้ว่าค้าขายสินค้าเก็งกำไรไปกี่มือแล้วด้วยซ้ำ

ไป๋เจินจูสุดยอดเสียจริง เชือดหมูด้วยตนเองได้!

เซี่ยเสี่ยวหลานเดาะลิ้น หญิงสาวคนไหนจะกล้าทำแผงเนื้อหมูกัน คงมีเพียงไป๋เจินจูผู้เก่งกาจคนนี้

ไป๋เจินจูที่กล้าและสามารถเชือดหมู จะทำอย่างอื่นสักหน่อยได้หรือไม่นะ?

 พี่ไป๋ พี่เคยคิดอยากไปหาลู่ทางที่เขตพิเศษบ้างหรือไม่? 

 เธอหมายถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิง [2] ? 

เซี่ยเสี่ยวหลานตอบอืมเบาๆ

ปี 1979 เพิ่งมีระบบเมือง

รัฐอนุมัติสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงในปี 80 ที่นั่นพัฒนาได้รวดเร็วเหลือเกิน

บริษัทข้ามชาติที่เซี่ยเสี่ยวหลานดำรงตำแหน่งงานในชาติก่อนนั้น

สำนักงานใหญ่ประจำประเทศจีนก็ตั้งอยู่ ณ เผิงเฉิง

เธอจึงถือว่าคุ้นเคยกับเผิงเฉิงมานานแล้ว หากต้องการสร้างความร่ำรวย

ซางตูเทียบกับเผิงเฉิงได้ที่ไหน!

แม้แต่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ตอนนี้ก็พัฒนาไม่รวดเร็วเท่ากับเผิงเชิงในแง่เศรษฐกิจ

ด้วยการสนับสนุนจากนโยบายประเทศ โรงงานประเภทต่างๆ ในเขตพิเศษเผิงเฉิงจึงได้เปิดทำการและมีความรุ่งโรจน์

ผลิตอะไรออกมาล้วนทำกำไรได้

เซี่ยเสี่ยวหลานคิดถึงพวกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาโรงงานย่อมเยาก็คันยุบยิบในใจขึ้นมา

ย่าไป๋และหลิวเฟินสื่อสารกันด้วยภาษากายอยู่ในครัวต่อไป

ไป๋เจินจูครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างเถรตรง

 เธออยากให้ฉันทำอะไร? 

ไป๋เจินจูไม่ได้ซื่อบื้อจริงๆ ใครหลอกลวงเธอเหมือนเป็นคนโง่

ผู้นั้นคือคนโง่

ไม่ช้าก็เร็วศิษย์น้องที่ทำให้ไป๋เจินจูปล่อยแผงผลไม้ไปจะต้องเสียใจ

แผงผลไม้หนึ่งแห่ง ไป๋เจินจูให้แล้วก็ให้เลย ทว่ามิตรภาพระหว่างสองคนก็หมดสิ้นด้วยเช่นกัน!

 พี่ไป๋ ก่อนอื่นพี่ต้องทำหนังสือขอผ่านแดนสักเล่ม 

ไป๋เจินจูมีทะเบียนบ้านเมืองอยู่ในหยางเฉิง แม้การที่เธอจะทำ ‘หนังสือข้ามแดน’ ไปเขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงจะไม่ง่ายดายนัก

แต่ก็ไม่ถึงขั้นไร้หนทาง เซี่ยเสี่ยวหลานคือคนมณฑลอวี้หนานคนหนึ่ง

ไม่มีหน่วยงานเป็นทางการสำหรับคนทะเบียนบ้านชนบท อยากทำหนังสือข้ามแดนไปเขตพิเศษเผิงเฉิงสักเล่มจึงยากเย็นเหลือเกิน

ต้องผ่านการรับรองเป็นขั้นตอนจากหมู่บ้าน ท้องถิ่น และเขต

ยุ่งยากกว่าการทำหนังสือผ่านแดนฮ่องกงมาเก๊าในอนาคตยิ่งนัก!

เธอคงไม่สามารถเลียนแบบเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์สักคนได้เสมอไป

ถ้าทำหนังสือขอข้ามแดนไม่ได้ ก็อาศัยมุดรั้วลวดเหล็กแอบหนีเข้าเขตพิเศษเผิงเฉิงเถอะ

เมื่อถึงเวลาเข้าตาจนต้องการประสบความสำเร็จ เซี่ยเสี่ยวหลานยินดีมุดรั้วตะแกรงเหล็ก

แต่ตอนนี้เธอยังคาดหวังกับไป๋เจินจูได้

ทุกวันนี้เธอเดินทางเหนือใต้ออกตกทั่วทุกสารทิศจริงๆ ไม่ได้

หากต้องการหาเงิน เซี่ยเสี่ยวหลานจำเป็นต้องมีหุ้นส่วนตัวแทนสักคนในหยางเฉิง

ไป๋เจินจูจะเป็นตัวแทนที่ตรงตามคุณสมบัติได้ไหมนะ?

เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่รู้

นี่เป็นเพียงการพบกันครั้งที่สองของเธอและไป๋เจินจู

เธอหวังว่าแววตาของตนเองอย่าได้ย่ำแย่เกินไป และหวังว่าไป๋เจินจูจะเป็นคนฉลาดหลักแหลมเช่นกัน

  

  

 

เชิงอรรถ

[1]家徒四壁 ทั้งบ้านมีเพียงผนังสี่ด้าน หมายถึง ในบ้านไม่มีอะไรเลยนอกจากผนังสี่ด้าน

เป็นการเปรียบเปรยว่า ยากจนมาก

[2]鹏城 เผิงเฉิง หมายถึง เขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น

เนื่องจากเซินเจิ้นมีอีกชื่อหนึ่งคือเผิงเฉิง

 

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80

เธอคือประธานเซี่ย หญิงผู้แข็งแกร่ง และยังเกิดใหม่เป็น เซี่ยเสี่ยวหลาน หญิงสาวชื่อแซ่เดียวกับเธอที่ฆ่าตัวตายท่ามกลางคำนินทาในยุค 80 เธอมีโอกาสได้เกิดใหม่อีกครั้ง ทำไมต้องมาอยู่อย่างอดสูแบบนี้ด้วยเล่า?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท