เล่มที่ 4 ตอนที่ 104 ภาวะเลือดเป็นกรด
ซี่โครงหมูน้ำแดงย่อมรับประทานไม่ทันแล้ว
ท้ายจักรยานให้คนที่ไร้สตินั่งไม่ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงวานหลิวเฟินขี่รถ ส่วนตัวเธอหาเชือกเส้นหนึ่งมารัดย่าอวี๋และหลิวเฟินไว้ด้วยกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานใช้มือช่วยดันด้านหลังอีกที หลิวเฟินขี่รถไป
เธอก็ดันรถพลางวิ่งเหยาะตามด้านหลังเกือบยี่สิบนาทีกว่าจะถึงโรงพยาบาลประชาชนเมืองซางตู
โชคดีที่อาศัยในเมืองซางตู หากอยู่ในชนบทห่างไกล การส่งคนไปโรงพยาบาลในสถานการณ์เช่นนี้อาจไม่ทันการเสียแล้ว!
คราวก่อนสองแม่ลูกเคยมาเป็นเพื่อนหลิวหย่ง
จึงคุ้นเคยกับโรงพยาบาลประชาชนเมืองซางตูทีเดียว พวกเธอนำตัวย่าอวี๋ลงจากจักรยานแล้วตะโกนร้องเรียกช่วยด้วย
มีแพทย์สวมเสื้อกาวน์ประจำเวรพาพยาบาลวิ่งตามมา
ผู้ป่วยมีอาการอย่างไร?
เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินตอบไม่ได้สักอย่าง
พวกเธอสองคนไม่คุ้นกับภาวะสุขภาพของย่าอวี๋
เซี่ยเสี่ยวหลานจึงบอกสิ่งที่ตนรู้เท่านั้น หมอติทั้งสองว่างุ่มง่าม
จากนั้นรีบเร่งเริ่มการช่วยชีวิต
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง พยาบาลคนหนึ่งออกมาตำหนิเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดายกใหญ่
พวกคุณเป็นครอบครัวประสาอะไร คุณป้าช็อคจากภาวะเลือดเป็นกรด
เธอเป็นเบาหวาน ปกติพวกคุณไม่ใส่ใจกันสักหน่อยหรือ?
ภาวะเลือดเป็นกรด?
หลิวเฟินไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียว ยังนึกว่าย่าอวี๋ท้องเสียด้วยซ้ำ
เซี่ยเสี่ยวหลานตกใจจริงๆ ย่าอวี๋เป็นโรคเบาหวานหรอกหรือ? ปกติเธอไม่เคยเห็นย่าอวี๋รับประทานยาและฉีดยาเลย เหมือนเหล่าเพื่อนบ้านเองก็ไม่เคยกล่าวถึงเช่นกัน
นอกจากร่างกายที่ผ่ายผอมเหลือเกินของย่าอวี๋ ก็ดูไม่ออกว่ามีความผิดปกติใดๆ
คนอายุมากในยุคสมัยนี้ เดิมทีที่ขาวผ่องอ้วนท้วนมีอยู่น้อยนิด
ต้องซูบผอมถึงจะเป็นลักษณะตามกระแสหลัก
ขอโทษ ขอโทษค่ะ คราวหลังพวกเราจะใส่ใจให้มากขึ้น
รบกวนช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ด้วยเถอะค่ะ จ่ายเงินเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานแสดงความจริงใจ อารมณ์ของพยาบาลจึงผ่อนคลายลง
พวกเราจะช่วยอย่างสุดความสามารถแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานสอบถามว่าชำระเงินตรงไหน พยาบาลกลับไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย
ปี 83 นั้นไม่เหมือนยุคหลัง ช่วยคนไข้ก่อนชำระเงินทีหลัง
ทว่าการค้างชำระค่ารักษาพยาบาลได้กลายเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งมีการไม่ชำระเป็นจำนวนมาก
กดดันให้โรงพยาบาลค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์… การปฏิรูปเศรษฐกิจพัฒนาให้เศรษฐกิจดีขึ้น
แต่ทำจิตใจคนให้ตกต่ำลง ความสัมพันธ์ผู้ป่วยและแพทย์กลายเป็นย่ำแย่ โรงพยาบาลกับผู้เข้ารับบริการต่างไม่เชื่อมั่นต่อกันและกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงเตรียมค่ารักษาพยาบาลไว้ 200 หยวน
แม้ย่าอวี๋ไม่ใช่คนอัธยาศัยดี ทว่าตอนนี้หาเช่าบ้านได้ยากเย็นนัก
จะไปหาบ้านที่เหมาะขนาดนี้จากที่ไหน?
เซี่ยเสี่ยวหลานยอมอ่อนให้หญิงชราผู้โดดเดี่ยวทีเดียว
เธอหวังว่าย่าอวี๋จะอาการดีขึ้นในเร็ววัน จากนั้นก็จะสามารถเป็นเจ้าของบ้านและผู้เช่าที่ไม่ก้าวก่ายกันต่อไปได้!
หลิวเฟินตกใจอย่างยิ่ง ชะเง้อจากหน้าประตูอยู่หลายหน
กระวนกระวายนั่งไม่ติด
ย่าอวี๋ไร้ญาติ เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ถูกโรคกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้เลยว่าควรแจ้งใคร มีแค่พวกเธอสองแม่ลูกที่คอยเฝ้า
ตกกลางคืนก็งีบหลับในทางเดินของโรงพยาบาล ตื่นมายามเช้าจึงรู้สึกคัดจมูก
หลัง 7 โมงเช้าผ่านไป
ในที่สุดก็มีหมอมาแจ้งพวกเธอ
อาการดีขึ้นบ้างแล้ว ภายในร่างกายมีการอักเสบอย่างรุนแรง ต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลอีกสักพัก
พวกคุณไปจัดการเอกสารเถอะ
ย่าอวี๋ได้สติตอน 11 โมง โดยมีเซี่ยเสี่ยวหลานเฝ้าอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย
ส่วนหลิวเฟินกลับไปทำอาหาร ย่าอวี๋ขยับตัว เซี่ยเสี่ยวหลานจึงสะดุ้งตื่น
คุณตื่นแล้ว? ฉันไปเรียกหมอให้!
ย่าอวี๋ยังไม่ทันจับต้นชนปลาย เซี่ยเสี่ยวหลานก็ได้วิ่งออกจากห้องพักไปราวกับสายลมแล้ว
ผู้ป่วยเตียงถัดไปทักทายกับย่าอวี๋ คุณป้า
หลานคุณสินะ? เด็กสาวทั้งสะสวยและกตัญญู
เฝ้าคุณอยู่ทั้งคืนเลย
ย่าอวี๋อ่อนเพลีย ยังคงสีหน้าเฉยเมยส่ายศีรษะด้วยความแข็งกระด้าง!
ไม่ใช่
ไม่ใช่อะไรน่ะหรือ? ย่าอวี๋ไม่ยอมเอ่ยแม้อีกเพียงสองคำ
เตียงข้างๆ รนหาเรื่องสร้างความกระอักกระอ่วนให้ตนเอง
กับคนอย่างย่าอวี๋นี้หากไม่มีวิธีสนทนาด้วย จะทำบทสนทนากร่อยได้อย่างง่ายดาย!
ย่าอวี๋พักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นวันที่สาม คนอื่นถึงรู้เรื่อง
งานทำความสะอาดถนนดูแลโดยสำนักงานท้องถิ่น
ส่วนถนนที่ย่าอวี๋รับผิดชอบไม่มีคนมาทำความสะอาดสามวัน
คนของสำนักงานท้องถิ่นย่อมไปเยือนถึงบ้าน ถึงทำให้รู้ว่าย่าอวี๋เข้าโรงพยาบาล…
คนมากมายเล็งบ้านของตระกูลอวี๋เอาไว้ แม้ย่าอวี๋จะปล่อยบ้านให้เซี่ยเสี่ยวหลานกับมารดาเช่าอาศัย
ทว่ากลับบอกต่อคนภายนอกว่าเป็นญาติพี่น้องจากที่ห่างไกลมาขออาศัยเท่านั้น
คนของสำนักงานท้องถิ่นถอนใจด้วยความสะเทือนอารมณ์ ดีที่ยังมีญาติห่างๆ อย่างพวกคุณนะ ไม่เช่นนั้นใครจะดูแลคุณหญิงชราคนนี้เล่า?
ย่อมต้องเป็นสำนักงานท้องถิ่นจัดคนมาดูแล
แต่ตอนนี้ดีแล้ว นี่ก็คืองานในนามของเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดา
บ้านหูหย่งไฉเพิ่งรู้เรื่อง
ภรรยาหูหย่งไฉคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานประสบเคราะห์ดีเหลือเกิน
อาศัยบ้านได้ไม่นานเท่าไร ย่าอวี๋ก็ล้มป่วย
หากไม่ได้เซี่ยเสี่ยวหลานพาส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที คราวนี้ย่าอวี๋คงมีแนวโน้มพบหายนะมากกว่าเป็นแน่แท้
หญิงชราไม่ไปมาหาสู่กับใครทั้งสิ้น ทำงานกวาดถนน คนจากสำนักงานท้องถิ่นก็รับผิดชอบเพียงจ่ายเงินเดือนให้เธอทุกเดือน
จะสามารถสังเกตว่าเธอไม่เข้างานได้ที่ไหน หญิงชราโดดเดี่ยวใช้ชีวิตคนเดียวอันตรายไม่น้อย
ย่าอวี๋คนนี้ช่างใจแข็งนัก เธอรู้ว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน
พบแพทย์ที่โรงพยาบาลทุกครั้งล้วนแอบไปเอง รับประทานยาที่บ้านก็ไม่ให้เซี่ยเสี่ยวหลานและมารดารู้เห็น
คนอื่นไม่สนิทสนมกับเธอ ย่อมไม่รู้อะไรสักอย่างเช่นกัน
ภรรยาหูหย่งไฉลองคิด แบบนี้ย่าอวี๋คงต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติแล้วสินะ?
ใช่ที่ไหนเล่า ใบหน้าแข็งทื่อของเธอยังคงเฉยเมยดั่งเดิม
ราวกับคนที่เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินช่วยในคืนนั้นไม่ใช่เธอ
หลายวันมานี้แม่ลูกคอยวิ่งวุ่นดูแลที่โรงพยาบาล
แต่ไม่ได้รับความซาบซึ้งจากเธอแม้แต่น้อย—บ้านหูรับรู้เรื่องราวที่แท้จริง
พวกเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่ญาติห่างไกล ทว่าเป็นเพียงผู้ขออาศัย ค่าเช่าบ้าน 20 หยวนต่อเดือนไม่เคยขาด ไม่ได้ติดค้างย่าอวี๋เสียหน่อย
แต่หญิงชราก็เป็นคนเช่นนี้ จะทำอะไรเธอได้?
โชคดีว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ทำดีเพราะประสงค์สิ่งอื่นใดตอนแทน ไม่อย่างนั้นคงเกรี้ยวโกรธจนตายเอาจริงๆ
วันที่ย่าอวี๋ออกจากโรงพยาบาล ก็ควักค่ารักษาพยาบาลจ่ายด้วยตนเองเรียบร้อย
คุณหมอนึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินคือสมาชิกครอบครัว
ก่อนออกจากโรงพยาบาลจึงไล่ตามกำชับหลิวเฟิน
อาหารเครื่องดื่มต้องห้ามของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
และปกติต้องรับประทานยาตรงเวลาเพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด หลิวเฟินขอให้หมอบอกอยู่หลายรอบกว่าจะจำขึ้นใจได้
หลังจากย่าอวี๋ออกจากโรงพยาบาล หลิวเฟินไม่สนว่าสีหน้าของหญิงชราสบอารมณ์หรือไม่
ทุกวันจะจับจ้องอาหารการกินของย่าอวี๋ราวกับขโมย พบหน้าทักทายก็เอาแต่ ‘วันนี้คุณกินยาหรือยังคะ’ คนละเอียดอ่อนพื้นเพเป็นหญิงสูงศักดิ์ในสังคมเก่าเช่นย่าอวี๋
รู้สึกพูดไม่ออกกับหลิวเฟินโดยสิ้นเชิง
วันนี้คุณกินยาหรือยังคะ?
มีการทักทายแบบนี้ด้วยหรือ!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ไปสอพลอย่าอวี๋ผู้เย็นชาเด็ดขาด อาจเพราะทำดีได้ดี ย่าอวี๋ออกจากโรงพยาบาลวันที่สอง เมืองซางตูอุณหภูมิลดลงฮวบฮาบ
สภาพอากาศฝนปนหิมะทำให้คนสัญจรบนถนนพากันหดคอเพราะความหนาว
อากาศยิ่งหนาวเย็น เซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งยินดี
เธอซื้อผ้าใบกันน้ำหนึ่งผืนใหญ่ ตอกแท่งไม้สี่ด้าน มุงเป็นเพิงขนาดเล็ก
ลมหนาวพัดกระพือ แม้สามด้านล้อมไว้ด้วยผ้าใบ ลมก็จะเข้ามาทางด้านที่หันออกถนนอยู่ดี
หลี่เฟิ่งเหมยเรียนรู้วิธีการขายสินค้ากับเซี่ยเสี่ยวหลาน สองคนใส่เสื้อขนเป็ด
ทั้งนุ่มนิ่มและอบอุ่น หากสามารถคลุมเข่าด้วย หลี่เฟิ่งเหมยสาบานว่าตลอดฤดูหนาวต้องทำใจถอดเสื้อนี้ออกไม่ได้แน่นอน
อุ่นเหลือเกิน!
ใช่แล้ว อุ่นเหลือเกิน
ฤดูหนาวของซางตูมาเยือนจริงๆ แล้ว
อุณหภูมิต่ำลงกะทันหันทำเอาทุกคนรับมือไม่ทัน
เทียบกับเสื้อกันหนาวทั่วไปรวมถึงเสื้อนอกทหาร สีสันเสื้อกันลมและเสื้อขนเป็ดบนแผงลอยของเซี่ยเสี่ยวหลานสดใสสวยงามกว่า
ในหมู่เสื้อนอกทหารและเสื้ออ่าวสีเข้ม
สีแดงแรงฤทธิ์กับสีเหลืองสุกสกาวจะดึงดูดสายตาผู้คน
สภาพอากาศฝนปนหิมะไม่แผ่วลงเลย พวกเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งแผงเสร็จตอนเช้า
กลางวันก็มียอดแรกแล้ว
ราคา 48 หยวนต่อหนึ่งตัว
ตัวที่ขายไปคือเสื้อกันลมสีสลับแดงน้ำเงินของผู้ชาย
ชายคนหนึ่งซื้อเสื้อวิ่งกลับไปมาสามรอบในสองชั่วโมงถึงจ่ายเงินในท้ายที่สุด
เขาอาจวิ่งไปถามราคาในห้างสรรพสินค้า เซี่ยเสี่ยวหลานก็เคยถามเช่นกัน
เสื้อแบบคล้ายกันอยู่ที่ 58 หยวน
เห็นได้ชัดว่าราคาขายของเธอมีศักยภาพการแข่งขันมากกว่าพ
ยอดแรกของวันนี้เหมือนกับเปิดกล่องสมบัติสักกล่องออก
ไม่ว่าใครจะมาสอบถามราคา
เซี่ยเสี่ยวหลานจะอนุญาตให้อีกฝ่ายลองสวมใส่เสื้อผ้าได้
ในสายลมเยือกเย็นที่มีหยาดฝนและหิมะ สวมเสื้อแบบนี้แล้วช่างไม่อยากถอดออกเลยเสียจริง…
ราคาแพงเอาเรื่อง แต่ถูกกว่าของร้านค้าสิบกว่าหยวน เงินทองบ้านในบ้านมิได้พัดมากับลม
ถ้าประหยัดได้สัก 10 หยวน
ก็เพียงพอเป็นเงินยังชีพหนึ่งเดือนแล้ว