เล่มที่ 4 ตอนที่ 115 ญาติของนักเรียนเซี่ยล้วนน่ารำคาญเหลือทน
ได้เวลาที่เซี่ยเสี่ยวหลานควรจะมาถึงโรงเรียนแล้ว
เธอไม่ได้จงใจปิดบังตำแหน่งที่อยู่ของตนเอง เซี่ยเสี่ยวหลานเดินผ่านถนนหน้าประตูโรงเรียนเส้นนั้นอย่างเนิบนาบ
มิใช่ต้องผ่านจางจี้หรือ?
จางชุ่ยเฝ้าคอยด้วยความกระวนกระวาย เฝ้าตอรอกระต่าย [1] ตั้งหลายวันกว่าจะเจอเซี่ยเสี่ยวหลาน
หลายวันมานี้เธอจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขนาดตอนที่ทำของกินยังรวบรวมสติไม่ได้
ลูกค้าพูดว่าไส้ซาลาเปาไม่เค็มก็จืด
จางชุ่ยจึงมอบหมายงานนี้ให้เจียงเหลียนเซียงเสียเลย
ในร้านจางจี้อาหารว่าง ผู้ที่ฝีมือดีสุดเป็นจางชุ่ย
เธอตั้งแผงลอยอาหารว่างในอันชิ่งถึงสามปี จากตอนแรกที่ทำไม่อร่อยก็ค่อยๆ
ฝึกฝนฝีมือจนชำนาญ
เมื่อคำนึงถึงผลประโยชน์ของร้าน
จางชุ่ยเป็นเถ้าแก่แล้วแต่ยังไม่กล้าหย่อนยาน น้องชายเธอจางหม่านฝูรับผิดชอบนวดแป้ง
เจียงเหลียนเซียงจัดการงานกระจุกกระจิก จางชุ่ยคุมรสชาติ
ไม่ว่าเครื่องปรุงต้องใส่เท่าไร รวมไปถึงอัตราส่วนของผักและเนื้อสัตว์
จางชุ่ยเชี่ยวชาญมากที่สุด… ทว่าตอนนี้ จิตใจของเธอวิ่งวุ่นไปติดกับเซี่ยเสี่ยวหลานเสียแล้ว
เดิมทีนึกว่าเข้าหาอาจารย์ใหญ่ซุน มั่นใจว่าเซี่ยเสี่ยวหลานต้องถูกไล่ออกแน่นอน
ที่ไหนได้แม้มอบของฝากไม่เคยขาดมือ ทว่าคราวก่อนภรรยาอาจารย์ใหญ่กลับมาเทศนาพวกเธอเสียยกใหญ่
เซี่ยเสี่ยวหลานกลายเป็นนักเรียนดีเด่นแล้ว?
ทั้งยังเล่าถึงความลำบากต่างๆ นานาในการศึกษาของเซี่ยเสี่ยวหลาน
คนตระกูลเซี่ยควรปล่อยวางอคติช่วยเหลือเธอให้มาก
จางชุ่ยโมโหจนเส้นเลือดในสมองแทบแตกแล้ว!
ช่วยเซี่ยเสี่ยวหลาน? เธอต้องบ้าไปก่อน
ในใจกังวลแต่กับเรื่องนี้ จางชุ่ยกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยได้จริงหรือ
เธอขอให้เซี่ยฉางเจิงคิดหาหนทาง เซี่ยฉางเจิงก็โกรธเคืองเช่นกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินย้ายไปกระทั่งทะเบียนบ้าน ตระกูลเซี่ยควบคุมเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้แม้แต่น้อย
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่พึงพาการเลี้ยงดูของตระกูลเซี่ย
และไม่ต้องการให้ตระกูลเซี่ยช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนด้วย
เซี่ยฉางเจิงและจางชุ่ยจึงไร้ซึ่งอุบายจัดการเธอ
ให้ต้าจวินออกโรง?
เซี่ยฉางเจิงส่ายหน้า น้องชายรองของเขาไม่ฉลาดเฉลียว แต่ก็ไม่โง่งมขนาดนี้
เซี่ยเสี่ยวหลานเล่าเรียนได้โดยไม่ต้องให้ตระกูลเซี่ยส่งเสีย
พอสอบติดมหาวิทยาลัยบิดาแท้ๆ อาจพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย
แม้เซี่ยต้าจวินจะเป็นท่อนไม้ ทว่าเขาไม่ได้จิตบกพร่อง ทำไมจะไม่อนุญาตให้เซี่ยเสี่ยวหลานเรียนหนังสือกัน—อีกอย่างต้าจวินก็คุมเซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยู่หรอก เด็กนั่นดื้อรั้นไม่น้อย
จางเสเพลจากหมู่บ้านสือพัวจื่อโดนตัดสินจำคุกตลอดชีวิต…
เซี่ยฉางเจิงเสียใจยิ่งนัก จางเสเพลปรารถนาในตัวเซี่ยเสี่ยวหลานมานานนม
หากใช้เขาไปก่อความวุ่นวายที่โรงเรียน บอกเล่าเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ
ระหว่างเขาและเซี่ยเสี่ยวหลาน บางทีเซี่ยเสี่ยวหลานอาจอับอายที่จะอยู่ในเซี่ยนอีจงต่อไปก็ได้!
นอกจากจางเสเพล จะไปหาคนที่เหมาะสมได้จากไหน?
สถานการณ์การปราบปรามยังไม่ผ่านพ้นไป
ร้านค้าเร่บนถนนหนทางล้วนปฏิบัติซื่อสัตย์สุจริตเพราะกลัวโดนคนรายงาน
นับประสาอะไรกับอันธพาลที่คุกคามข่มเหงสตรีพวกนั้น แต่ละรายพากันหลบซ่อน
กลัวโดนสำนักงานสันติบาลจับไปเป็นเป้าหมายที่ต้องการปราบปราม
ลองถามความเห็นของจื่ออวี้ดีไหม?
ตอนแรกเซี่ยฉางเจิงและภรรยาต้องการจัดการปัญหานี้ด้วยตนเอง
พวกเขาเชื่อมั่นว่าตัวเองไม่ใช่คนโง่ สามีภรรยาอายุอานามรวมกันตั้งเท่าไร เพียงเด็กสาวเหลวไหลคนหนึ่งเช่นเซี่ยเสี่ยวหลานยังต่อกรไม่ได้เชียวหรือ
ทว่าเรื่องราวมันลามมาถึงขนาดนี้
ตั้งแต่เซี่ยจื่ออวี้ลาจากบ้านเกิดไปศึกษาต่อที่ปักกิ่ง ไม่มีลูกสาวคอยบงการ
พวกเขาทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย
ฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากอำนาจของอาจารย์ใหญ่ซุนเหมือนกัน
แต่ตอนนั้นเซี่ยจื่ออวี้ไม่ได้มอบสินน้ำใจใด เป็นอาจารย์ใหญ่ซุนเสนอตัวเอ่ยปากช่วยเหลือเอง
เซี่ยฉางเจิงมอบของขวัญมากมายแด่บ้านซุน
กลับกลายเป็นว่าโดนภรรยาอาจารย์ใหญ่ซุนติเตียนอบรมเข้า
จางชุ่ยเรียนรู้ทักษะจากลูกสาวเซี่ยจื่ออวี้มาบ้าง สุดท้ายก็เพราะวาดเสือจบที่สุนัข [2] นั่นแหละ เสแสร้งแกล้งทำว่าในบ้านเซี่ยนั้นไร้ปัญหา
พอห่างจากหมู่บ้านต้าเหอเล่ห์กลของเธอก็ไม่ได้ผลแล้ว
รออีกหน่อย เธอถามจื่ออวี้ก่อนว่าปิดภาคเรียนฤดูหนาวจะกลับมาหรือไม่
โทรเลขหนึ่งฉบับเล่าเรื่องราวได้ไม่ชัดเจน ถ้าเซี่ยจื่ออวี้ไม่กลับมาเจอด้วยตนเอง
จะรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของเซี่ยเสี่ยวหลานได้อย่างไร?
จางชุ่ยพยายามข่มอารมณ์ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะยุแยงเซี่ยหงเซี๋ย
ช่วงนี้เซี่ยหงเซี๋ยจดจ้องหน้าประตูเซี่ยนอีจงไม่วางตาทั้งวัน
ในที่สุดก็มองเห็นเงาเซี่ยเสี่ยวหลานจนได้ เซี่ยหงเซี๋ยรีบร้อนคาบข่าวไปรายงาน
ป้าสะใภ้ เธอมาโรงเรียนแล้ว!
คนที่อุ้มหนังสืออยู่ตรงนั้น ก็คือเซี่ยเสี่ยวหลาน!
แต่งตัวไม่ใหม่ไม่เก่า ทว่ากลับต่างไปจากเดิม
ปราศจากความโง่เขลาในอดีตที่ใกล้เคียงกับเซี่ยหงเซี๋ย เธอดูสุขุมขึ้นมาก ลักษณะเหลาะแหละและอารมณ์ร้อนสลายสิ้น
หวนคืนความงามหนึ่งร้อยส่วนแก่เซี่ยเสี่ยวหลาน
เด็กคนนี้พริ้มเพราเหลือเกิน
นัยน์ตาของจางชุ่ยปรากฏความอับเฉาขึ้นแวบหนึ่ง
ไม่ว่าผู้ใหญ่โปรดปรานหรือไม่ อย่างไรเสียการที่เหล่าบุรุษชื่นชอบจิ้งจอกสาวนั้นเป็นความจริงที่ไร้ขอกังขา
เซี่ยจื่ออวี้กำลังระแวดระวังว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะคว้าหัวใจของหวังเจี้ยนหัวไป
ทัศนคติแบบนี้ได้ส่งอิทธิพลต่อจางชุ่ยเช่นกัน หากเซี่ยเสี่ยวหลานสอบติดมหาวิทยาลัย
หวังเจี้ยนหัวจะเปลี่ยนใจหรือไม่?
จางชุ่ยถอดผ้ากันเปื้อนบนตัวออก หงเซี๋ย
หลานอยู่ร้านตั้งใจช่วยงาน ป้าไปคุยกับเสี่ยวหลานสักหน่อย
นังเด็กนี่คิดอะไรกันแน่ จางชุ่ยต้องการรู้ด้วยตนเอง
เสี่ยวหลานมาแล้วหรือ?
เหล่าจ้าวยามเฝ้าประตูเซี่ยนอีจงได้รับของคนเขามาแล้วมือไม้อ่อน [3] อีกทั้งเซี่ยเสี่ยวหลานสุภาพต่อเขาเสมอ มอบท้อคืนพลัม [4] เขาจึงมีไมตรีต่อเธอเช่นกัน
เหล่าจ้าวแจ้งเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยความเป็นห่วง
ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นของเธอวนเวียนหน้าประตูโรงเรียนตลอดเวลา
ท่าทางยังต้องการดักเธออยู่
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ได้โดยไม่ต้องอธิบาย จากนั้นนำ ‘ไฉ่เตี๋ย’ ที่พกติดกระเป๋ายัดให้ยามหนึ่งซอง
เหล่าจ้าวเบาเสียงลง ครั้งก่อนฉันเห็นภรรยาของอาจารย์ใหญ่ซุนกินข้าวที่จางจี้
เซี่ยเสี่ยวหลานสายตาเป็นประกาย แถวนี้มีแค่จางจี้ร้านเดียว
เหล่าจ้าวกล่าวเช่นนี้มิใช้ไร้จุดประสงค์
ดูแคลนใครก็ได้แต่อย่าดูแคลนยามเฝ้าประตูประจำหน่วยงาน ทุกวันมีคนเข้าๆ ออกๆ
ยามหน้าประตูเฝ้ามองไว้ในสายตาทั้งหมด ความสามารถในการสืบเสาะและซุบซิบแนบเคียงมาด้วยกัน
เขาพูดว่าภรรยาอาจารย์ใหญ่ไปกินข้าวที่จางจี้
คือการบอกใบ้เซี่ยเสี่ยวหลานว่าจางจี้และอาจารย์ใหญ่ซุนมีความสัมพันธ์กัน
ที่แท้ก็เข้าทางอาจารย์ใหญ่ซุนนี่เอง
เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ถึงว่าทำไมคราวก่อนอาจารย์ใหญ่ซุนต้องการพบเธอด้วยตนเอง…
ทว่าเห็นแก่คะแนนสอบของเธอ ในฐานะอาจารย์ใหญ่อาจบอกไม่ได้ว่าโปรดปรานเธอ
อย่างน้อยก็ไม่แสดงความรังเกียจบนใบหน้า เซี่ยเสี่ยวหลานกอดหนังสือในอกไว้แน่น
ผลการเรียนก็คือยันต์กันภัย ถ้าศักยภาพของเธอสมบูรณ์แบบ ข่าวลือเล็กน้อยจากคนปากเปราะจะทำร้ายเธอได้หรือ?
เสี่ยวหลาน เป็นหลานจริงๆ หรือ?
เท้าหนึ่งข้างของเซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ทันย่างเข้าโรงเรียน
สุ้มเสียงอัศจรรย์ใจก็ปรากฏขึ้นด้านหลัง
เธอไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำ ตระกูลเซี่ยมีพวกน่ารำคาญเหลือทนอยู่มากมาย
จางชุ่ยไม่ใช่ท่อนไม้ แต่เธอคือราชินีการละคร—ทั่วโลกยังติดค้างรางวัลตุ๊กตาทองจางชุ่ยอยู่
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับไม่ต้องการสยบต่อเธอ เธอจึงทำเป็นไม่ได้ยินเสียดื้อๆ
ไปต่อไม่กี่ก้าวแล้ววิ่งเข้าโรงเรียน
จางชุ่ยตระเตรียมคำพูดไว้เป็นกระบุง แต่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานถึงไม่เดินตามอุบายเล่า?
นั่นเป็นหลานสาวฉัน… น่าสงสารทีเดียว
ภายใต้การคุมเชิงของเหล่าจ้าว จางชุ่ยไม่ยอมเสียท่าที
ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจต่อเซี่ยเสี่ยวหลาน
เหล่าจ้าวจ้องเธออยู่ครู่ใหญ่ นึกถึงบุหรี่ไฉ่เตี๋ยในกระเป๋า
แล้วพยักศีรษะแสดงความเห็นด้วย
น่าสงสารทีเดียวนั่นแหละ อยากเรียนหนังสืออย่างสงบสุขก็ไม่ได้
ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ แต่อันที่จริงถ่อมาเพื่อว่าร้ายคนเขา
คุณเป็นญาติคนไหนของนักเรียนเซี่ยอีกเล่า?
สีหน้าของจางชุ่ยแดงช้ำก่ำม่วง
เซี่ยนอีจงจ้างยามเฝ้าประตูจากที่ไหน ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน!
ถ้าจื่ออวี้อยู่ด้วย ต้องไล่ยามน่าโมโหคนนี้ไปได้แน่ จางชุ่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
พระหนีรอดแต่วัดหนีไม่รอด เธอจึงดักรอที่เดิม
เซี่ยเสี่ยวหลานต้องออกมาจากโรงเรียนอยู่ดี
เชิงอรรถพ
[1]守株待兔 เฝ้าตอรอกระต่าย หมายถึง
ไม่คิดลงมือทำสิ่งใดแต่เฝ้ารอคอยถึงผลลัพธ์ หวังลมๆ แล้งๆ
มีที่มาจากเรื่องราวของชาวนาคนหนึ่งที่เห็นกระต่ายวิ่งเข้าชนตอไม้อย่างจัง
กระต่ายคอหักตาย เขาจึงได้มันไปประทังชีวิต ต่อมาเขาจึงละทิ้งงานเกษตรของตน
เอาแต่เฝ้าคอยที่ตอไม้ หวังว่ากระต่ายจะพุ่งเข้าชนตอไม้ตายอีก
แต่รอนานเท่าไรก็ไม่มีกระต่ายโผล่มาให้เขาอยู่ดี
[2]画虎不成反类犬 วาดเสือจบที่สุนัข หมายถึง ทะเยอทะยานมากเกินไป ทว่าความสามารถไม่อำนวย
จบลงที่ผลลัพธ์ไม่เป็นดั่งใจหวัง
[3]拿人手短 รับของแล้วมือไม้อ่อน หมายถึง รับผลประโยชน์จากผู้อื่นมา
ย่อมทำอะไรเพื่อคนๆ นั้นบ้าง แม้ว่าจะเห็นถึงข้อเสียหรือความผิด
ก็ยอมทำไม่รู้ไม่ชี้
[4]投桃报李 มอบท้อคืนพลัม หรือ มอบลูกท้อคืนลูกพลัม หมายถึง
แลกเปลี่ยนน้ำใจไมตรีต่อกันและกัน