เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] – ตอนที่ 23.2

ตอนที่ 23.2

เธอแง้มหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อยเหมือนที่ทำเป็นประจำ นั่งพิงขอบหน้าต่างดื่มด่ำกับความผ่อนคลาย

สายลมพัดพาเอาความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยามกลางวันผ่านเข้ามาจั้กจี้ใบหน้าของเธอ

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ เมื่อท่านพ่อกลับมาหลังจากเสร็จงานช่วงเช้า พวกเราก็จะออกเดินทางไปยังพระราชวังกันในทันที

หากเดินทางด้วยรถม้าจากที่นี่ไปยังเขตแดนใต้การปกครองของจักรพรรดิจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง และจากชานเมืองไปจนถึงตัวพระราชวังก็จะใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ

ท่านพ่อก็บอกว่าจะออกเดินทางโดยเผื่อเวลาให้มากเสียหน่อย จะได้พาเธอที่เพิ่งเคยมาพระราชวังเป็นครั้งแรกเที่ยวชมวังหลวง

งานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินีจะเริ่มขึ้นเมื่อยามพระอาทิตย์ตกดิน

ทั้งๆ ที่คืนนี้ตารางงานคงจะยุ่งน่าดูแท้ๆ แต่ช่วงเวลายามกลางวันกลับค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า

แต่แล้วในจังหวะที่กำลังเคลิ้มจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 เข้ามาเลยค่ะ 

พอเธอเอ่ยตอบออกไป ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เอสทีร่าจะเดินเข้ามา

 สวัสดีค่ะ เอสทีร่า! 

เป็นแขกน่ายินดีที่เธอกำลังรออยู่เชียวเธอรีบลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ เข้ามาเพื่อให้เอสทีร่านั่ง

 เอาของที่ไหว้วานมาให้แล้วค่ะยานี่เสร็จสมบูรณ์ไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว แต่คุณหนูสั่งให้นำมาวันนี้ก็เลย… 

 อื้อๆ ใช่แล้ว! ขอบใจนะ! 

 นี่ค่ะ 

สิ่งที่เอสทีร่ายื่นมาให้คือ ขวดแก้วขนาดเล็กพอที่จะถือเอาไว้ในมือของเธอได้สบายๆ

ขวดแก้วใส่อยู่ในถุงที่ทำจากผ้าผืนหนาเพื่อไม่ให้เห็นของข้างใน เมื่อเธอคลายเชือกออกอย่างระมัดระวัง ก็สามารถตรวจเช็กได้ว่ามียาเมลคอนสีทองใส่อยู่เต็มขวด

 ว่าแล้วเชียว สมแล้วที่เป็นเอสทีร่า ช่วยเตรียมให้อย่างสมบูรณ์แบบตามที่ข้าขอร้องเลย ขอบใจนะ!  

เธอเก็บมันใส่ลงในกระเป๋าถือใบเล็กที่วางอยู่ข้างๆ ด้วยความระมัดระวัง

มันเป็นของที่เธอตั้งใจจะพกไปที่พระราชวังด้วย

 คือว่า คุณหนู… 

 หืม? ทำไมเหรอ 

เอสทีร่าที่เฝ้ามองพฤติกรรมของเธออยู่นิ่งๆ เอ่ยเรียกเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล

 จะใช้ยาเมลคอนเป็นยาแก้พิษหรือคะ 

 … 

เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไปแค่มองจ้องนัยน์ตาของเอสทีร่าเท่านั้น

ช่างเป็นนัยน์ตาที่กระจ่างใสเสียจริงใสมากเสียจนรับรู้ได้ว่า เหตุผลที่เอ่ยถามคำถามแบบนี้กับเธอ เป็นเพราะนางเป็นห่วงเธออย่างบริสุทธิ์ใจ

 ไม่ใช่เพื่อตัวข้าหรอก เพราะฉะนั้นอย่ากังวลมากเลย! 

เธอตั้งใจหัวเราะให้สดใสยิ่งขึ้น

 ถ้าอย่างนั้น… 

 ขอโทษนะ แต่คงบอกอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ แต่ก็จะเอาไปพระราชวังอย่างที่เอสทีร่าคาดเดาเอาไว้นั่นแหละ 

พอคำว่าพระราชวังหลุดออกมา สีหน้าของเอสทีร่าก็มืดครึ้มลงไปอีกระดับ

ไม่ว่ายังไงสำหรับคนทั่วไปแล้ว พระราชวังก็เป็นสถานที่ที่ลำบากและน่ากลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุดอยู่ดี

 ที่นั่นมีใครบางคนอยู่น่ะ คนที่จำเป็นต้องใช้ยาตัวนี้ ข้าจะมอบมันให้เขาคนนั้น 

 …ระวังตัวด้วยนะคะคุณหนู ข้าเป็นห่วงเพราะดูเหมือนคุณหนูที่ยังเด็กจะคิดทำเรื่องใหญ่เกินตัวน่ะค่ะ 

 ขอบใจนะที่เป็นห่วง เอสทีร่า อ๊ะ และก็… 

เธอโน้มกายเข้าหาเอสทีร่า กระซิบเสียงแผ่ว

 เรื่องนี้เป็นความลับของเราสองคนนะ เข้าใจมั้ย 

เสียงกระซิบแฝงความหยอกล้อเล็กน้อยของเธอ ทำให้เอสทีร่าพยักหน้าหนักแน่น ถึงแม้เธอจะพูดความจริงออกไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องกังวล แต่เธอไม่ระแวงว่าเอสทีร่าจะเล่าเรื่องของเธอให้ใครฟังหรอกเพราะเอสทีร่าเป็นคนรักษาสัญญา

ชาติที่แล้ว เธอรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายของนางอย่างไร้เงื่อนไข

 อ่า ถ้าท่านพ่อกลับมาไวๆ ก็คงจะดีสิ 

เธอพึมพำไปพลาง เหม่อมองถนนว่างเปล่าที่ไม่มีรถม้าขับผ่านแม้แต่คันเดียว

 ไม่ต้องเครียดมากนะ เทีย 

แคลอฮันเอ่ยพูดกับเทียเป็นรอบที่สิบในขณะที่นั่งอยู่ข้างในรถม้าที่เขย่าไปมา

 ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อยนี่คะ 

 เหรอ ค่อยโล่งอกหน่อย 

ลูกสาวตอบกลับอย่างห้าวหาญ แต่แคลอฮันทำได้เพียงแค่ยิ้มจางเท่านั้น

 พ่อไม่เป็นอะไรนะคะ? หน้าซีดไปหมดแล้ว 

 ไม่เป็นไร พ่อก็แค่ตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะ 

 โธ่ 

เทียตบหลังมือเย็นเฉียบของแคลอฮันด้วยมือเล็ก

มือเล็กคู่นั้นช่วยให้แคลอฮันรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้เล็กน้อย

 ว่าแต่กระเป๋านั่นอะไรหรือเทีย ท่าทางจะหนักน่าดู พ่อช่วยถือให้เอามั้ย 

แคลอฮันจงใจเบี่ยงเบนความสนใจ พยายามไม่คิดถึงงานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินี

 ไม่หนักเลยค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ 

 ปกติก็ไม่เห็นจะถือกระเป๋าไปไหนมาไหนเลยข้างในใส่อะไรอยู่เหรอ 

กระเป๋าถือทรงกลมสีน้ำตาลเข้ากันกับชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่เทียใส่อยู่ พอถูกถืออยู่ในมือเล็กก็ยิ่งขับให้ดูน่ารักมากขึ้นไปอีก

 ของขวัญค่ะ! 

 ของขวัญ? 

 ค่ะ! ให้เจ้าชายน่ะค่ะ! 

ฟีเรนเทียตอบด้วยเสียงสดใส

 ให้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งงั้นเหรอ 

เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ได้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่กลับหัวเราะแหะๆ แทนและใบหน้าสดใสนั่น ก็ทำให้แคลอฮันรู้สึกราวกับก้อนหินก้อนใหญ่ตกลงมาบนหน้าอก

 ใช่แล้ว เทียเองก็ถึงวัยแล้วสินะ นี่มันช่าง ก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรวันแบบนี้ก็ต้องมาถึงสักวัน แต่ว่า… 

 ไม่นะ ไม่ใช่แบบนั้น… 

แต่แล้วในจังหวะที่ฟีเรนเทียพยายามจะพูดอะไรบางอย่างจู่ๆ รถม้าที่ขับเคลื่อนมาได้อย่างราบรื่นตลอดทางก็หยุดชะงักส่งเสียงดังเอี๊ยด

 มีเรื่องอะไรกัน 

แคลอฮันเอ่ยถามสารถีรถม้า

 ระ…เรื่องนั้น…ทหารยามประจำพระราชวังสั่งให้จอดรถม้า เพราะต้องทำการตรวจสอบ 

 เป็นไปได้ยังไง 

เดิมทีเพราะรถม้าติดตราสัญลักษณ์ลอมบาร์เดีย ตั้งแต่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียมาจนถึงพระราชวัง สองพ่อลูกก็เดินทางอย่างราบรื่นไม่มีเรื่องให้ต้องหยุดชะงักเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

เขาแหวกผ้าม่านรถม้ามองไปด้านนอก และขณะที่แคลอฮันขมวดคิ้วแน่น พยายามประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประตูรถม้าก็ถูกเปิดออกพรวด

 จะทำการตรวจค้นสักครู่ครับ กรุณาลงมาด้วยครับ 

คนที่เป็นประตูคืออัศวินส่วนพระองค์สวมชุดเกราะแวววาวสองนายนั่นเอง

 รถม้าตระกูลลอมบาร์เดียครับ ข้าแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย ได้รับเชิญจากองค์จักรพรรดินีให้มาที่นี่ 

แต่อัศวินกลับไม่แม้แต่จะหยุดฟังคำอธิบายทั้งหมดของแคลอฮัน พวกเขาเปิดประตูรถม้าออกให้กว้างขึ้น

 ขออภัยด้วยครับ กรุณาให้ความร่วมมือด้วย 

มีอะไรบางอย่างแปลกๆ

แคลอฮันเบิกตากว้าง หันกลับไปมองฟีเรนเทียที่นั่งอยู่เงียบๆ ตั้งใจจะลงจากรถม้าเพียงคนเดียวถ้าหากเกิดการกระทบกระทั่งกันที่นี่ อาจจะทำให้ลูกสาวของเขาตกใจมากก็เป็นได้

 คุณหนูเองก็ลงมาด้วยสิครับ 

 จะตรวจค้นแม้กระทั่งเด็กด้วยอย่างนั้นหรือ 

แคลอฮันขึ้นเสียงสูง คล้ายกับว่าตอนนี้เขาโมโหสุดขีดแล้วจริงๆ

 …ขออภัยด้วยครับ 

เท่าที่สังเกตเห็น อัศวินเองก็ไม่ได้ต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้เช่นกัน

แคลอฮันไม่ได้เก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้

พระราชวังที่หากติดสัญลักษณ์ตระกูลลอมบาร์เดียเอาไว้ พวกเขาควรที่จะผ่านทางไปได้จนถึงห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ กลับมาบอกว่าจะตรวจค้นกันแบบนี้ เหตุผลย่อมมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น

คิดเป็นปรปักษ์

ไม่ว่าคนออกคำสั่งจะเป็นจักรพรรดินีหรือจักรพรรดิก็ตาม แต่คนพวกนั้นตั้งใจที่จะบั่นทอนอำนาจของพวกเขาเป็นแน่

 คำสั่งของจักรพรรดินีอย่างนั้นหรือ 

แคลอฮันถามตรงๆ

 … 

อัศวินได้แต่หลบสายตา ไม่อาจตอบอะไรออกไปได้

ช่วยไม่ได้สินะ

แคลอฮันถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยพูด

 ปล่อยเด็กไว้ 

เสียงทุ้มต่ำราวกับเอ่ยเตือนนั้น ทำให้อัศวินลอบแลกเปลี่ยนสายตากับเพื่อนร่วมงานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าตกลง

แคลอฮันก้าวลงจากรถม้า

พอหันไปมองรอบๆ ถึงได้พบว่าสถานที่ที่รถม้าหยุดจอดคือพระราชวังส่วนในซึ่งเป็นที่ตั้งวังของจักรพรรดินี

มันเป็นเพียงแค่หัวมุมถนนธรรมดาว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งป้อมยามรักษาการณ์ของอัศวินด้วยซ้ำ

ผ่านจุดแรกอย่างวังส่วนกลางที่มีสายตาคนมองอยู่มากมายมาแล้ว แต่เพิ่งจะมาสั่งให้หยุดรถม้าที่กำลังวิ่งมาตามปกติเพื่อขอตรวจค้นเอาตอนนี้

‘น่าจะพาอัศวินประจำตระกูลมาด้วยสักหลายนายหน่อย’

แคลอฮันเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลังเสียแล้ว

 ถ้าอย่างนั้นรบกวนสักครู่… 

อัศวินเดินเข้ามาตั้งใจจะตรวจค้นตามตัวของแคลอฮัน

ความอัปยศที่ไม่เคยต้องเผชิญแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ที่เกิดมา ทำให้แคลอฮันต้องพยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้บิดเบี้ยวไม่น่ามอง ก่อนจะเอ่ยพูด

 ไม่แตะต้องตัวข้าน่าจะดีกว่านะ 

อัศวินที่เดินเข้าไปใกล้เผลอผงะไปชั่วครู่

 ถ้าหากไม่อยากเสียตำแหน่งของเจ้าไป เพราะเลือกปฏิบัติจงใจมาตรวจค้นตัวข้า 

 อะแฮ่ม 

อัศวินก้าวถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวเมื่อเผชิญกับแรงกดดันของแคลอฮัน เขาเหลือบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแอมไอพลางพยักหน้าตกลง

 ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ตรวจค้นเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เชิญกลับขึ้นรถม้าได้เลยครับ 

มันเป็นสถานการณ์น่าทุเรศที่ทำให้โมโหจนพูดอะไรไม่ออก

หลังจากที่จ้องเหล่าอัศวินด้วยนัยน์ตาเย็นชาเป็นครั้งสุดท้าย แคลอฮันก็เดินกลับขึ้นรถม้า

ไม่สิ ตั้งใจจะทำเช่นนั้นต่างหาก

แต่เมื่อมองเห็นข้างในรถม้าว่างเปล่า กับประตูรถม้าที่ถูกเปิดเคว้งทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ต้องหยุดชะงักตัวเกร็งมันทั้งอย่างนั้น

 ฟีเรนเทีย? 

ลูกสาวของเขาหายตัวไปแล้ว

Related

Related

 

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

Status: Ongoing

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 이번 생은 가주가 되겠습니다 I shall master this family 김로아 คิมโรอา เขียน หนทางการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลของหญิงสาวผู้กลับมาชาติมาเกิดใหม่ถึงสองครั้งสองครา เมื่อ ฟีเรนเทีย ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และได้มาเกิดใหม่ในตระกูลลอมบาร์เดียที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแลมบลู ในฐานะหลานสาวของเจ้าตระกูลที่เกิดจากมารดาสามัญชนทำให้โดนรังเกียจจากคนในตระกูล เมื่อพ่อและปู่ขอเธอตายจากไป เธอถูกขับไล่ออกจากตระกูล สองปีหลังจากนั้น ตระกูลลอมบาร์เดียก็ล่มสลาย แต่แล้ว เมื่อเธอประสบอุบัติเหตุอีกครั้งและมีโอกาสได้ย้อนกลับมาเมื่อตอน 7 ขวบ ครั้งนี้เธอจึงตั้งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตและตั้งใจจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้ หนทางแห่งการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลจะลำบากยากเย็นเพียงไหน มาเอาใจช่วย ฟีเรนเทียได้ใน “ชาตินี้ข้าจะเป็นเจ้าตระกูล”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท