เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] – เล่ม 4 บทที่ 139.1

เล่ม 4 บทที่ 139.1

ตอนที่ 139

ณ สำนักงานกิจการก่อสร้างลอมบาร์เดียซึ่งมีตระกูลวิลเคย์เป็นผู้บริหารจัดการ

เลอมาเบาว์ วิลเคย์ อายุได้สี่สิบปี ถือว่ามีอายุค่อนข้างน้อยในหมู่เจ้าตระกูล เขากำลังสนทนาอยู่กับคลังก์ เดวอนที่ปกติแล้วสนิทสนมใกล้ชิดกันดี

 ขนาดนั้นเลยหรือ 

 ท่านเป็นอัจฉริยะจริงๆ 

คลังก์เอ่ยตอบคำถามของเลอมาเบาว์ด้วยใบหน้านิ่งขรึมเหมือนก้อนหิน

 รู้มั้ยว่าตอนที่เตรียมงานคราวนี้น่ะ เกิดเรื่องยุ่งยากอะไรขึ้นมากมายเลยละ แต่ท่านฟีเรนเทีย… 

 ก็ได้ยินคนเขาพูดกันอยู่หรอกว่าฉลาดมาตั้งแต่เด็ก 

 ท่านนั้นอยู่คนละระดับกับคำว่า ‘ฉลาด’ ไปแล้วละมั้ง ให้ตายเถอะ ดูแค่ที่คิดเรื่องไปรษณีย์นั่นออกมาได้ ก็รู้ได้แล้วไม่ใช่เหรอ 

 ก็นั่นน่ะสิ 

 แต่อาวุธที่แท้จริงของท่านไม่ใช่สมองอันชาญฉลาดหรอก 

 ถ้างั้น 

 ว่าไงดีล่ะ คล้ายกับมีนัยน์ตามองภาพที่ใหญ่กว่าที่คนทั่วไปจะสามารถมองได้หรือเปล่านะ 

คลังก์ได้แต่สาปแช่งความสามารถในการสื่อความรู้สึกของตัวเอง เพราะเขาไม่อาจจะเรียบเรียงคำพูดอธิบายความรู้สึกที่แท้จริงออกไปได้อย่างเหมาะสม

แต่ดูเหมือนเลอมาเบาว์จะเข้าใจได้ว่า คำพูดของเขานั้นมีความหมายว่ายังไง

 คนที่มองไม่เห็นป่ากว้างใหญ่ เอาแต่มองเฉพาะต้นไม้ตรงหน้า มีแต่จะทำให้คนอื่นๆ ที่เดินตามหลังต้องหมดหนทางหาทางออกไม่เจอไปด้วย 

 ใช่แล้ว!นั่นแหละที่ข้าต้องการจะพูด! ทำงานกับท่านฟีเรนเทีย ร่างกายอาจจะเหนื่อยล้าก็จริง แต่ใจมันสบายมากเลยละ! 

คลังก์ตบเข่าเสียงดังฉาด พลางเอ่ยขึ้นว่า

 ข้าเองก็ถามท่านนะว่า ทำไมไม่ใช้อำนาจของทายาทออกคำสั่งข้ามาเลย แต่กลับเกลี้ยกล่อมขอให้ข้ายอมร่วมมือด้วย ตอนนั้นท่านฟีเรนเทียกล่าวกับข้าแบบนี้ 

คลังก์มีสีหน้าราวกับกำลังเพ้อฝันไปไกล

 ข้ามีวิธีมากมายในการพัฒนาลอมบาร์เดีย ข้าไม่อยากให้ตระกูลที่ฝืนใจไม่อยากทำงานร่วมกันประสบความสำเร็จไปด้วยหรอก 

คลังก์ครุ่นคิดถึงความทรงจำจากเรื่องราวในวันนั้น เพียงไม่นานก็ระเบิดหัวเราะฮ่าๆๆ ออกมาเสียงดังลั่น

 คุณหนูฟีเรนเทียเท่มากเลยไม่ใช่หรือ! 

เลอมาเบาว์มองคลังก์ที่ฉีกยิ้มกว้างเหมือนคนที่ไม่ต้องกังวลเรื่องใดในโลกนี้ทั้งสิ้น แล้วก็ได้แต่รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา

ใครกันล่ะที่ต้องลำบากขนาดนี้เพราะต้องเข้ามาพัวพันกับเบเจอร์ ใครกันล่ะ

ถึงแม้จะสนิทสนมกันมานาน แต่ตอนนี้เขาเกลียดท่าทางของคลังก์เสียจริง

เขาเกลียดเบเจอร์ที่จู่ๆ ก็ดันใช้อำนาจเข้ามายุ่งกับกิจการก่อสร้างลอมบาร์เดียมากถึงขนาดนั้น

เดิมทีเบเจอร์ก็รับผิดชอบดูแลกิจการอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลอยู่แล้ว เขาเองก็เคยคาดการณ์เอาไว้บ้างเหมือนกันว่าสักวันอาจจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ได้ แต่ว่า

 เฮ้อ… 

สุดท้ายเลอมาเบาว์ วิลเคย์ก็ได้แต่พ่นลมหายใจเสียงหนักอึ้งออกมา

ในตอนนั้นเองใครบางคนก็เปิดประตูห้องทำงานออก ก่อนจะเดินพรวดเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต

 ตอนนี้งานที่ต้องทำมีกองท่วมเท่าภูเขา แต่กลับมีเวลามานั่งพูดคุยกันแบบนี้อีกหรือ 

เบเจอร์ขมวดคิ้วทำหน้าบึ้งตึง

เดิมทีก็ไม่เคยมีสีหน้าดีเท่าไหร่นักหรอก แต่วันนี้เหมือนยิ่งดูอารมณ์เสียมากกว่าเดิม

เหตุผลนั่นก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้ว

คงจะเจ็บใจที่เห็นความสำเร็จของฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียนั่นแหละ

 มาแล้วหรือครับ ท่านเบเจอร์ 

คลังก์ เดวอนเองก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่ง กล่าวทักทายอีกฝ่ายทันที แต่เบเจอร์กลับเมินเฉย ทั้งยังจงใจเดินชนไหล่เขาไปหาเลอมาเบาว์ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

 มีเรื่องจะประชุม ไปเรียกพวกผู้บริหารทั้งหมดมา 

การเรียกตัวผู้คนที่ทำงานกันเป็นปกติได้ราบรื่นดีมานั่งประชุม เป็นเรื่องที่น่ารำคาญทั้งยังมีแต่จะยิ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานตกต่ำลงเปล่าๆ

 …ครับ ทราบแล้วครับ 

เลอมาเบาว์ วิลเคย์กลืนคำพูดที่ขึ้นมาจุกอยู่บริเวณลูกกระเดือกกลับลงคอ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป

* * *

เฟเรสนั่งลงบนเก้าอี้ข้างองค์จักรพรรดิ เฝ้ารอการประชุมเริ่มต้นขึ้น แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันนึกถึงบทสนทนาที่คุยกับโนเชียร์วันนี้ขึ้นมา

มันเป็นบทสนทนาที่พวกเขาคุยกันก่อนเดินทางมาร่วมประชุมวันนี้

 เพิ่มราคาต้นทรีบ้าขึ้นอีก 

 อีกครั้งหรือ…เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะเพิ่มราคาไป ไม่รู้ว่าทางอังเกนัสจะยอมคล้อยตามหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ 

โนเชียร์กล่าวอย่างเป็นกังวล แต่เฟเรสกลับส่ายหน้า

พวกนั้นได้ลงทุนเงินจำนวนมหาศาลในการกว้านซื้อต้นทรีบ้าไปแล้ว

ถ้าจะหยุดกว้านซื้อเพียงเท่านี้ย่อมไม่ต่างอันใดจากการทำให้โครงการทั้งหมดสูญสิ้น

ในเมื่อไม่มีท่อนไม้ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุด การก่อสร้างก็จะหยุดชะงัก อังเกนัสก็มีแต่จะต้องสูญเงินจำนวนมหาศาลไปอย่างเปล่าประโยชน์

เมื่อไม่นานมานี้จักรพรรดินีราวีนี่ถึงกับจ้างกลุ่มก่อสร้างลอมบาร์เดียให้มาช่วยจัดการงานให้ นางย่อมไม่มีทางยอมหยุดแค่นี้แน่

ราคาระดับนี้เขาเชื่อว่าพวกนั้นจะต้องยอมจ่าย

แต่แล้วจู่ๆ เฟเรสก็นึกสงสัยขึ้นมา

 ร้านค้าเพลเลสล่ะ ขายต้นทรีบ้าไปมากแค่ไหน 

ในอาณาจักรจะแบ่งเป็นสามเจ้าใหญ่ๆ ที่ครอบครองต้นทรีบ้าอยู่ในตอนนี้

กลุ่มแรกคือ ตระกูลไอบันซึ่งส่งออกต้นทรีบ้าอยู่เป็นประจำ

กลุ่มที่สองคือ กลุ่มการค้าโมนัคของเฟเรส

และกลุ่มสุดท้ายคือ ร้านค้าเพลเลส

ถ้าคิดคำนวณจากจำนวนต้นทรีบ้าที่เก็บไว้ในโกดังแล้วละก็ ในบรรดากลุ่มเหล่านั้นร้านค้าเพลเลสเป็นกลุ่มที่เก็บสำรองท่อนไม้เอาไว้มากที่สุด

เพราะตระกูลไอบันจะปลูกต้นทรีบ้าในเขตแดนของตัวเอง แล้วจัดการตัดมันเป็นท่อน ส่งออกไปยังเขตแดนอื่นเสียส่วนใหญ่

กว่าจะตัดไม้ผึ่งจนแห้ง จำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก

แต่เทียบกับทางนั้นแล้ว ร้านค้าเพลเลสนั้นแตกต่างออกไป

พวกนั้นกว้านซื้อต้นทรีบ้ามาได้สักพักแล้ว จึงครอบครองท่อนไม้ที่ถูกตัดแต่งพร้อมใช้งานในปริมาณมากพอสมควร

ร้านค้าเพลเลสที่ครอบครองต้นทรีบ้าไม่ยอมขายออกไป ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นทำให้เขาชักอยากรู้ขึ้นมาเสียแล้วว่าพวกเขาจะขายให้อังเกนัสไปมากแค่ไหน

 ร้านค้าเพลเลส… ยังไม่ได้ขายออกไปแม้แต่ชิ้นเดียวพ่ะย่ะค่ะ 

 …ว่าไงนะ 

นัยน์ตาของเฟเรสหรี่ลง

แปลก มันมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล

ตระกูลอังเกนัสปรากฏตัวขึ้น บอกจะซื้อท่อนไม้ทั้งหมดที่ได้แต่เก็บไว้ในโกดังเสียค่าจัดการดูแลไปเปล่าๆ นั่นในคราวเดียวด้วยราคาที่สูงมาก

ดังนั้นพวกเขาเองก็สมควรที่จะขายให้แก่อังเกนัสถึงจะเป็นแค่ปริมาณน้อยเหมือนอย่างกลุ่มการค้าโมนัคก็ตาม

นั่นถึงจะเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสม

 ไม่เลยสักท่อน 

เฟเรสถามย้ำ

 พ่ะย่ะค่ะ ไม่เลย ประตูโกดังไม่แม้แต่จะเปิดออกด้วยซ้ำพ่ะย่ะค่ะ 

เฟเรสนึกถึงเครย์ลีบันที่ได้พบในงานเลี้ยงวันเกิดของเทียเมื่อคราวก่อน

ประธานหรือเจ้าของร้านค้าเพลเลส ชายผู้ดูเฉียบขาดคนนั้น

จากที่เขาสั่งให้ริกนีเต้ไปสืบมาให้ เครย์ลีบันคนนี้เป็นคนใจเย็น แต่ก็เป็นพ่อค้าประเภทที่ตัดสินใจอะไรได้ฉับไว

ไม่รู้ว่าเกิดมาพร้อมความสามารถในการค้าขายหรือยังไง ทุกการค้าที่ชายคนนี้ยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยว มักจะประสบความสำเร็จไปเสียทุกกิจการ

และจุดที่เหมือนกันของกิจการพวกนั้นก็คือ การลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาล และการดึงเท้าถอยกลับออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม

 แปลก คนเช่นนั้นทำไมถึงได้ทำแบบนั้นกัน 

ทำไมถึงได้ยังกอดรั้งต้นทรีบ้าเอาไว้อย่างโง่เขลาเช่นนั้น

หรือยังมีจุดประสงค์อื่นในการเก็บรวบรวมต้นทรีบ้านั่นเอาไว้กันแน่

หรือว่าเครย์ลีบัน เพลเลส ไม่ใช่คนที่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง

ยามที่คิดไปถึงจุดนั้น เฟเรสก็ต้องส่ายหน้า

ร้านค้าเพลเลสตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน เป็นการค้าของเครย์ลีบัน เพลเลสเพียงผู้เดียว

ไม่มีร่องรอยว่าเคยได้รับเงินลงทุนมหาศาลจากใครแม้แต่คนเดียว

 ก่อนอื่นเพิ่มราคาไปก่อน แล้วคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของร้านค้าเพลเลสด้วย ถ้าพวกเขาเริ่มขายให้ทางนั้น ให้รายงานข้าทันที 

 พ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะทำตามที่พระองค์รับสั่งพ่ะย่ะค่ะ 

นั่นคือบทสนทนาที่พูดคุยกันเมื่อช่วงเช้า

 งั้นก็เริ่มการประชุมกันได้แล้ว 

เสียงของจักรพรรดิโยบาเนสทำให้เฟเรสพับเก็บความสงสัยเกี่ยวกับร้านค้าเพลเลสไปก่อน

และในตอนนั้นเอง ประตูห้องประชุมใหญ่ที่ปิดแน่นก็เปิดออกพร้อมกับคนสองคนที่เดินเข้ามาข้างใน

พวกเขามีผิวค่อนข้างคล้ำ เรือนผมสีบลอนด์แพลทินัมสว่าง และสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสเป็นที่น่าจับตามอง

 ตระกูลรูมัน…? 

 ดูเหมือนจะเป็นอินดิท รูมันเจ้าตระกูลกับบุตรชายนะ 

 พวกตะวันออกบ้านนอกนั่นมาร่วมการประชุมงั้นหรือ แปลกเสียจริง 

 

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

Status: Ongoing

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล 이번 생은 가주가 되겠습니다 I shall master this family 김로아 คิมโรอา เขียน หนทางการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลของหญิงสาวผู้กลับมาชาติมาเกิดใหม่ถึงสองครั้งสองครา เมื่อ ฟีเรนเทีย ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และได้มาเกิดใหม่ในตระกูลลอมบาร์เดียที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแลมบลู ในฐานะหลานสาวของเจ้าตระกูลที่เกิดจากมารดาสามัญชนทำให้โดนรังเกียจจากคนในตระกูล เมื่อพ่อและปู่ขอเธอตายจากไป เธอถูกขับไล่ออกจากตระกูล สองปีหลังจากนั้น ตระกูลลอมบาร์เดียก็ล่มสลาย แต่แล้ว เมื่อเธอประสบอุบัติเหตุอีกครั้งและมีโอกาสได้ย้อนกลับมาเมื่อตอน 7 ขวบ ครั้งนี้เธอจึงตั้งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตและตั้งใจจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปให้ได้ หนทางแห่งการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลจะลำบากยากเย็นเพียงไหน มาเอาใจช่วย ฟีเรนเทียได้ใน “ชาตินี้ข้าจะเป็นเจ้าตระกูล”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท