ตอนที่ 153
เธอปัดเศษดินที่กองอยู่บนที่นั่งข้างกายออก
มิเคนเต้ ไอบันเอ่ยขึ้นว่า คุณหนูลอมบาร์เดีย
เขาคงคิดว่าเธอกำลังปฏิเสธความเป็นจริงอยู่ละมั้งถึงได้มองเธอด้วยนัยน์ตาสงสารกันแบบนั้น
แต่เธอส่ายหน้าให้เขาและยกแผ่นไม้บริเวณที่บั้นท้ายนั่งทับเอาไว้ขึ้น
มันเป็นช่องลับในรถม้าที่เอาไว้เก็บพวกของกินง่ายๆ
เพื่อเธอที่มีนิสัยอดทนไม่ไหวเวลาอยากกินอะไรสักอย่าง เครย์ลีบันจึงสร้างที่ซ่อนนี่ให้เป็นพิเศษ
โล่งอกที่ข้างในนั้นยังมีขวดน้ำอยู่สองขวด ขนมปัง และพวกคุกกี้ช็อกโกแลตใส่เอาไว้บ้าง
ขนมปังนั่นเป็นของที่ไวโอเล็ตให้เป็นของขวัญเมื่อหลายวันก่อน ส่วนคุกกี้ช็อกโกแลตนั่นเป็นของที่เฟเรสเอามาให้
พอนึกถึงคนสำคัญทั้งหลายขึ้นมา ลำคอก็พลันตีบตันจนอยากจะร้องไห้ชะมัด แต่ก็ไม่ได้ร้องออกไป
จะเสียน้ำในร่างกายกับพลังงานไปอย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้
เธอเอ่ยกับมิเคนเต้ ไอบัน ที่ยังคงมองเธอด้วยความสงสาร
พูดแบบนี้ต้องขอโทษท่านชายไอบันด้วยนะคะ แต่ใช่แล้วละค่ะ ถ้าหากคนที่ถูกขังอยู่ในรถม้าคันนี้มีแต่ท่านชายไอบันคนเดียวละก็คงจะรอดยากอยู่เหมือนกันค่ะ
ถ้าหากเป็นแบบนั้น คนที่จะพยายามขุดรถม้าคันนี้ จะมีเพียงแค่คนของไอบันอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ข้างในนี้มีข้าอยู่ด้วยยังไงล่ะคะ นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้ข้างนอกนั่น ผู้คนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนไหว เพื่อที่จะขุดรถม้าคันนี้ออกไปค่ะ เพราะข้าคือลอมบาร์เดีย
อา…
ตระกูลลอมบาร์เดียจะรวมกำลังพลทั้งหมดเพื่อช่วยข้าค่ะ อ๊ะ เจ้าชายลำดับที่สองก็ด้วย
ส่วนเรื่องนี้เธอไม่อาจบอกมิเคนเต้ไอบันได้ แต่นั่นย่อมรวมถึงร้านค้าเพลเลสกับเครย์ลีบันด้วย
ใช่แล้ว ทุกคนจะต้องลงมือเคลื่อนไหวเพื่อเธอ
เพราะฉะนั้นพวกเราเพียงแค่มีชีวิตรอด จนกว่าคนมากมายพวกนั้นจะจัดการเก็บกวาดหินกับดินข้างบนออกไปจนหมดก็พอค่ะ
ความจริงแล้วนั่นไม่ใช่คำพูดที่เธอพูดกับมิเคนเต้ ไอบัน
แต่เป็นคำที่เธอพูดเน้นย้ำกับตัวเองซึ่งเอาแต่รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอยู่เรื่อยต่างหาก
โล่งอกที่มันได้ผล หัวใจของเธอเริ่มสงบลงบ้างแล้ว
ในหัวสมองเริ่มกระจ่างแจ้งขึ้นมาบ้าง เธอนึกถึงมืออบอุ่นหยาบกระด้างเล็กน้อย ที่มักจะกอบกุมมือของเธอเอาไว้ขึ้นมา
เขาจะต้องมาช่วยเธอแน่
เธอครุ่นคิดพลางกุมขวดน้ำเอาไว้แน่น
* * *
โยฮัน พ่อบ้านประจำตัวเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ดึงเอากระดาษสีแดงที่ห้อยอยู่บนขาของนกพิราบสื่อสารที่บินเข้ามาในคฤหาสน์ออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
กระดาษสีแดงหมายถึงเรื่องด่วน
อีกทั้งประเภทของนกพิราบสื่อสารก็ตัวใหญ่เสียด้วย
มันอาจจะบินได้รวดเร็วจนนกทั่วไปเทียบไม่ติด แต่ก็ล้ำค่ามากจนหากไม่ใช่เรื่องด่วนจริงๆ ก็มักจะไม่ถูกใช้งานเท่าไหร่
โยฮันแกะซองออกอ่านเนื้อหาในสารฉบับนั้น เพียงไม่นานก็รีบก้าวเดินทันที
ตึก ตึก ตึก!
ฝีเท้าที่ก้าวเดินด้วยความเร่งรีบเล็กน้อยในตอนแรกค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมาถึงห้องทำงานของเจ้าตระกูล โยฮันก็วิ่งสุดฝีเท้าแล้ว
แกรก
วันนี้เป็นวันที่สามของสัปดาห์
เจ้าตระกูลกับสี่พี่น้องมานั่งรวมตัวกันหลังจากไม่ได้ร่วมประชุมพร้อมหน้ากันมาเสียนาน พวกเขาหันมามองโยฮันเป็นสายตาเดียว
มีเรื่องอะไร
จู่ๆ ก็เข้ามารบกวนการประชุมแบบนี้ มันเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมกับเป็นโยฮันเลยแม้แต่น้อยทำให้รูลลักต้องเอ่ยถามด้วยพอจะคาดเดาได้ว่าต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น
แฮก…คะ คุณหนูฟีเรนเทีย…ดินถล่ม…
ว่ายังไงนะ
รูลลักลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีด้วยไม่อาจทนรอต่อไปได้ เขาคว้าเอากระดาษสีแดงในมือของโยฮันมาอ่าน
…ท่านพ่อ?
แคลอฮันที่ได้ยินชื่อของฟีเรนเทียก็เช่นกัน เขารีบเดินตรงเข้าไปหาบิดาอย่างรวดเร็ว
สองพ่อลูกอ่านเนื้อหาที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นนั้นพร้อมกัน
โงนเงน
แคลอฮันตัวเซจนเกือบจะล้มลงด้วยใบหน้าซีดเผือด
แคลอฮัน
ชานาเนสรีบเดินเข้ามาช่วยพยุงแคลอฮัน พลางเอ่ยถามรูลลัก
มีเรื่องอะไรหรือคะ ท่านพ่อ
เทีย…สารจากเจ้าตระกูลไอบันแจ้งมาว่าเทียถูกดินถล่มลงมาทับ
…ว่ายังไงนะคะ ตอนนี้?
ชานาเนสแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง นางรีบกวาดสายตาอ่านสารฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว
เป็นไปไม่ได้ เทีย ทำไมถึง…
แคลอฮันสติหลุดจนไม่อาจแม้แต่จะหายใจได้เป็นปกติ เขาพึมพำเสียงแผ่วซ้ำไปซ้ำมา
มือของชานาเนสที่จับไหล่ของแคลอฮันเอาไว้เองก็สั่นเทาไม่หยุดเช่นกัน
รูลลักอ่านสารอีกครั้งราวกับต้องการตรวจเช็กให้แน่ใจก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
ในสารฉบับนี้ไม่มีคำพูดบอกว่าเทียเป็นหรือตายกันแน่ เพียงแค่บอกว่ารถม้าโดนดินถล่มทับลงมาเท่านั้น
และดึงเสื้อของแคลอฮันอย่างแรงเป็นการบังคับให้บุตรชายลุกขึ้นยืน
ตั้งสติ แคลอฮัน! เจ้าเป็นบิดาของเทีย ถ้าเจ้ายังไม่ตั้งสติแบบนี้ จะทำเช่นไรได้