ตอนที่ 56: หอหนังสือชั้นที่เจ็ด
เช้าตรู่วันต่อมา เจี้ยนเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ เขาไม่ได้ฝึกฝนเลยในช่วงสองวันที่ผ่านมา และกลับกันเขาใช้เวลาในหอหนังสือเพื่ออ่านหนังสือทุกคืน เขาพยายามที่จะทำความเข้าใจกระบี่ที่อยู่ในปราณของเขา เพื่อที่จะเรียนรู้การใช้อาวุธเซียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เจี้ยนเฉินเพิ่งตัดผ่านเป็นเซียนได้และแม้ว่าอาวุธเซียนจะเชื่อมโยงกับจิตใจของเขา แต่เขาก็ยังไม่รู้วิธีที่จะใช้อาวุธเซียนอย่างแท้จริง เจี้ยนเฉินที่มีประสบการณ์มาจากชาติที่แล้วก็ยังพบว่าอาวุธเซียนในโลกนี้นั้นเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ถ้าเขาไม่ใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยกับมัน และถึงแม้ว่าวิญญาณของเขาจะเชื่อมโยงกับอาวุธของเขาเหมือนกิ่งของต้นไม้ แต่มันก็คงจะยากมากที่เขาจะแสดงความแข็งแกร่งสูงสุดของเขาได้
เหตุผลนี้ก็หมือนกับคนบาดเจ็บหนักที่แขนไปเป็นสิบยี่สิบปี แต่จู่ ๆ แขนก็กลับมาใช้ได้อีกครั้ง คนคนนั้นคุ้นเคยกับการใช้แขนที่บาดเจ็บและในตอนนี้เขาต้องมาเผชิญกับการใช้แขนใหม่ เขาคนนั้นคงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงใหม่ ต้องใช้เวลาเพื่อที่จะเข้าใจช้า ๆ และทำให้คุ้นเคยกับมัน
เจี้ยนเฉินยืนขึ้นจากเตียงและเดินออกไปจากห้องของเขาและไปที่ห้องอาหาร จากนั้น เขาก็ไปที่หอหนังสือเหมือนปกติ
ประตูหอหนังสือเปิดอยู่ แต่ก็มีคนไม่มากอยู่ด้านใน มีเพียงเจ้าหน้าที่หญิงธรรมดาเท่านั้นที่อยู่ด้านใน
เจี้ยนเฉินมองไปที่หอหนังสือที่เกือบจะว่างเปล่าและเดินเข้าไปที่ชั้นที่ห้าของหอหนังสือ หลายวันที่ผ่านมา หนังสือทุกเล่มที่เขาสนใจจากชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สี่ถูกเขาอ่านไปจนหมดแล้ว
หอหนังสือมีทั้งหมด 7 ชั้น สองชั้นแรกอนุญาตให้คนที่ต่ำกว่าเซียนเขาไปได้ ในขณะที่ชั้นที่สามและสี่จะเข้าไปได้เมื่ออยู่ในระดับเซียน ชั้นที่ห้าของหอหนังสือไม่ได้เปิดให้ศิษย์ทั่วไปเข้ายกเว้นผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของศิษย์ใหม่ ดังนั้นใครที่ต้องการที่จะอ่านหนังสือที่ชั้นนี้ จะต้องเป็นอาจารย์ของสำนักเท่านั้น ส่วนชั้นที่หกและชั้นที่เจ็ดของหอหนังสืออยู่ในอาคารที่แข็งแรง และมีเพียงอาจารย์ใหญ่กับรองอาจารย์ใหญ่เท่านั้นที่เข้าไปได้ ใครที่ต้องการจะเข้า ต้องไปรับการอนุญาตจากอาจารย์ใหญ่หรือรองอาจารย์ใหญ่ก่อน
แม้ว่าชั้นที่ห้าของหอหนังสือจะไม่ได้เปิดให้ศิษย์ทั่วไปเข้า แต่เจี้ยนเฉินซึ่งเป็นผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของเด็กใหม่สามารถเข้าไปได้
พื้นที่ของชั้นที่ห้าไม่ได้ใหญ่มากและจำนวนของหนังสือก็ไม่มากเช่นกัน ถ้ารวมกันทั้งหมดก็มีหนังสืออยู่ประมาณร้อยเล่มเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับหนังสือเป็นหมื่นเล่มที่อยู่ชั้นที่หนึ่ง
แต่เจี้ยนเฉินรู้ว่าหนึ่งในหนังสือพวกนี้นั้นมีค่ามากกว่าหนังสือเล่มอื่นที่เขาเคยอ่านมาก่อนหน้านี้
ชั้นที่ห้าของหอหนังสือเงียบมาก แม้ว่าจะไม่มีคนมาที่นี่มาก แต่เจี้ยนเฉินก็เห็นว่าที่นี่ถูกทำความสะอาดบ่อยมาก ทั้งห้องสะอาดและไม่พบฝุ่นแม้แต่นิดเดียวเลย
เจี้ยนเฉินเดินไปที่ชั้นหนังสือและเลือกหนังสือที่เกี่ยวกับการฝึกฝนมาก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะ เนื้อหาในหนังสือเกี่ยวกับการฝึกฝนเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเนื้อหาในหนังสือจะช่วยเขาได้หรือเปล่า แต่อย่างน้อยมันก็เติมเต็มจิตใจของเขาไปด้วยข้อมูลอื่นที่เขาคิดว่ามีประโยชน์
เจี้ยนเฉินชอบอ่านหนังสือมากจนเหมือนติด แม้ว่าข้อมูลที่ถูกบันทึกในหนังสือจะแทบไม่มีอะไรที่ช่วยเขาได้ แต่มันก็ยังช่วยเปิดหูเปิดตาและขยายความรู้ของเขาในการฝึกฝนของโลกนี้ ข้ามูลที่เขาพบเป็นอะไรที่เขาไม่เคยคิดเลยในชีวิตที่แล้ว
ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกฝนที่อยู่ในหนังสือนั้นไม่ได้ลึกซึ้งและมันก็มีไม่กี่สิบหน้าเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงอ่านจบอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อ่านจบ เจี้ยนเฉินก็เก็บหนังสือไว้บนชั้นและก็เริ่มพึมพำกับตัวเอง เหมือนว่าเขาพยายามที่จะเก็บความรู้ไว้ในความทรงจำของเขา
หลังจากที่เก็บหนังสือเข้าไปที่เดิมแล้ว เจี้ยนเฉินก็เอาหนังสือเล่มอื่นออกมาและเริ่มกระบวนการอ่านอีกครั้ง ภายในชั้นที่ห้าของหอหนังสือ หนังสือทุกเล่มถูกทิ้งไว้โดยคนรุ่นก่อนเพื่อช่วยผู้คนการฝึกฝนทักษะ อย่างไรก็ตาม หลักหญ่ของเทคนิคการฝึกฝนเหล่านี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมาก พวกมันส่วนใหญ่อยู่เหนือระดับปฐพีขั้นต้นไปเล็กน้อย
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ในขณะที่เจี้ยนเฉินอยู่ที่ชั้นที่ห้าและอ่านหนังสือไปเล่มแล้วเล่มเล่า เขาหลงลืมวันเวลา เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว ในขณะที่มีชายวัยกลางคนสองคนปรากฏขึ้นมา เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้วาคนพวกนี้คืออาจารย์ของสำนัก
ชายวัยกลางคนสองคนรู้จักเจี้ยนเฉินพอดีเมื่อเห็นเขาเข้า สายตาของพวกเขาประหลาดใจมาก อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนเจี้ยนเฉิน
จากนั้น ชายชราที่ใส่ชุดสีฟ้าอ่อนหรูหราก็เดินมาจากข้างล่าง เขาดูเหมือนอายุห้าสิบหรือหกสิบ ผมของเขาขาวเหมือนนกกระเรียนแต่หน้าตาของเขานั้นเหมือนคนหนุ่ม แววตาของเขาดูลึกลับ
ชั้นที่ห้าของหอหนังสือไม่ได้ใหญ่มาก และหลังจากที่ชายชราเข้ามาที่ชั้นที่ห้าของหอหนังสือ เขาก็เดินขึ้นไปข้าง ๆ บันไดที่จะไปยังชั้นที่หกทันที จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นเด็กหนุ่มทางหางตาของเขาพอดี
ชายชราหยุดทันทีเพราะเขาเห็นตัวของเด็กคนนี้ ทันทีที่เขาจำเครื่องแบบของสำนักที่อยู่ในเด็กที่รูปร่างสูงแต่ผอมบางได้ เขาก็พูดขึ้นมา เจียงหยาง เซียงเทียน!
เจี้ยนเฉินได้สติและมองกลับไปที่ชายชราที่เรียกเขา หน้าของเขาเฉื่อยชาเล็กน้อยก่อนที่จะกระตุกขาของเขาพร้อมยิ้ม ท่านอาจารย์ใหญ่ ทำไมท่านถึงได้มาที่นี่ล่ะ?
ชายคนนี้เป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัต
เสียงของอาจารย์ใหญ่ทำให้อาจารย์ทั้งสองตกใจ ในตอนที่เขาเห็นอาจารย์ใหญ่ พวกเขาก็ดูตระหนกและวางหนังสือบนมือของพวกเขาลงบนโต๊ะก่อนที่จะยืนขึ้นมา พวกเขาประสานมือเพื่อที่จะคารวะอาจารย์ใหญ่ พวกเขาร้องออกมาด้วยความเคารพ พวกเราขอคารวะท่านอาจารย์ใหญ่
อาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัตเป็นคนที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งอาณาจักรเกอซุน ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับเซียนสวรรค์ และเขาเป็นหนึ่งในหกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรเกอซุน
เซียนสวรรค์บนทวีปเทียนหยวนยังคงถือว่าแข็งแกร่งและกล้าหาญมาก
สายตาของอาจารย์ใหญ่กวาดไปที่ชายวัยกลางคนทั้งสองและเขาก็โบกมือในขณะที่พูด อย่าใส่ใจข้าเลย โปรดอ่านหนังสือของพวกเจ้าต่อเถอะ
ขอรับ ท่านอาจารย์ใหญ่ ชายวัยกลางคนสองคนนั่งลงอีกครั้งทันที แต่พวกเขาก็ไม่มีสมาธิที่จะสนใจหนังสือที่อยู่ในมือของพวกเขา
ตาของอาจารย์ใหญ่มองไปที่หนังสือที่อยู่ในมือของเจี้ยนเฉิน เขายิ้มและพยักหน้าอย่างพอใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงน่าพอใจ เจียงหยาง เซียงเทียน เจ้าชอบหอหนังสือนี้หรือไม่ ?
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างไม่ลังเล ขอรับ หอหนังสือนี้ทำให้ข้าเรียนรู้หลายสิ่ง ถึงแม้ว่าข้อมูลที่นี่จะไม่ได้ช่วยใครหรือช่วยได้น้อย แต่มันก็ยังเป็นการเพิ่มความรู้อยู่ดี
เมื่อได้ฟังเจี้ยนเฉิน อาจารย์ใหญ่ก็มองเขาอย่างชื่นชม ดี ดี เจียงหยาง เซียงเทียน คนที่เข้าใจและมีตรรกะอย่างเจ้าหาได้ยากนัก ในเมื่อเจ้าชอบหอหนังสือเช่นนี้ ถ้างั้นข้าจะช่วยเจ้า มากับข้า อาจารย์ใหญ่หันหลังไปและเดินไปที่บันไดที่ไปยังชั้นที่หก
เมื่อได้เห็นทิศทางที่อาจารย์ใหญ่เดินไป เจี้ยนเฉินก็เข้าใจความหมายของชายชรานี้และเขาก็ยินดีขึ้นมาทันที เขาเก็บหนังสือในมือของเขาเข้าชั้นหนังสือตามเดิมและตามหลังอาจารย์ใหญ่ไปที่ชั้นที่หกของหอหนังสือ
หลังจากที่เห็นเจี้ยนเฉินหายไปบนขั้นบันไดแล้ว อาจารย์ทั้งสองก็มองไปทิศทางนั้นด้วยความอิจฉา ชั้นที่หกและที่เจ็ดของหอหนังสือมีเพียงอาจารย์ใหญ่และรองอาจารย์ใหญ่เท่านั้นที่เข้าไปได้ ใครที่ต้องการจะเข้าไปต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองคนนี้ก่อน สำหรับชั้นที่หกและชั้นที่เจ็ดของหอหนังสือแล้ว มันเป็นที่ซึ่งอาจารย์ทุกคนต้องการที่จะขึ้นไป เพราะส่วนใหญ่เป็นเพราะสองชั้นนั้นมีทักษะระดับสูงจำนวนมาก สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ชั้นที่หกและเจ็ดของหอหนังสือมีบันทึกจำนวนมากของสมบัติจิตวิญญาณหลายประเภทที่อยู่บนทวีปเทียนหยวน
เจี้ยนเฉินตามอาจารย์ใหญ่ไปอย่างเร็วที่ทางเข้าของชั้นที่หก เจี้ยนเฉินเห็นผนึกโปร่งใสที่ปิดผนึกประตูอยู่อย่างชัดเจน
ผนึกของชั้นที่หกและชั้นที่เจ็ดถูกทำขึ้นมาโดยอาจารย์ใหญ่รุ่นก่อน ๆ การป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก และแม้ว่าจะเป็นเซียนสวรรค์ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าเข้าไปในเวลาสั้นสั้น น้ำเสียงของอาจารย์ใหญ่มีความภูมิใจเล็กน้อย และเขาก็เอาเหรียญที่สร้างจากเหรียญม่วงขึ้นมา เหรียญมีลวดลายแปลก ๆ บนมัน และดูเหมือนมันจะถูกออกแบบมาเพื่อบางอย่าง
เหรียญม่วงที่อยู่ในมือของอาจารย์ใหญ่เปล่งแสงสีม่วงจาง ๆ ออกมา และในไม่ช้าแสงสีม่วงก็สว่างขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ลำแสงที่เหมือนเป็นวัตถุก็พุ่งออกมาและไปหยุดบนผนึก
ผนึกที่โปร่งแสงกระเพื่อมอย่างช้า ๆ 2 ครั้งเหมือนน้ำ และกึ่งกลางของมันก็แยกออกจากกันช้า ๆ และกลายเป็นรูใหญ่ที่ให้คนเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
เจียงหยาง เซียงเทียน ตามข้ามาด้านใน อาจารย์ใหญ่เรียกเจี้ยนเฉินและเดินตรงเข้าไปด้านใน
เจี้ยนเฉินตามหลังอาจารย์ใหญ่ไป และพวกเขาก็เดินตรงไปที่ชั้นที่หกไปยังชั้นที่เจ็ด ชั้นที่เจ็ดของหอหนังสือว่างเปล่ามาก มันขนาดเท่าห้องธรรมดาเท่านั้น และมันยังมีเพียงโต๊ะไม้เพียงตัวเดียวตรงกลาง ข้างหน้าโต๊ะไม้มีชั้นหนังสือที่มีหนังสือบาง ๆ อยู่สองสามเล่ม มีกล่อง 2 กล่องอยู่ด้านบนสุดของชั้นหนังสือ หนึ่งในกล่องนั้นทำมาจากหยกที่มีค่ามาก ในขณะที่อีกกล่องนั้นทำมาจากเหรียญม่วง ค่าของทั้งสองกล่องไม่น้อยเลย และของที่อยู่ในกล่องทั้งสองก็ต้องสำคัญมากแน่
ตั้งแต่ที่สำนักคากัตก่อตั้งมาตั้งแต่แรก หอหนังสือก็มีอยู่จนมาถึงตอนนี้ มันอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีแล้ว ในสองสามศตวรรษที่ผ่านมา จำนวนคนที่มาที่ชั้นที่เจ็ดในแต่ละยุคนอกเหนือไปจากอาจารย์ใหญ่นั้นมีไม่มาก อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ คนนั้นมีอิทธิพลมาก ถ้าไม่ใช่ก็เป็นจอมยุทธที่น่าประทับใจของทวีปเทียนหยวน เจ้าเป็นศิษย์คนแรกของสำนักคากัตที่ได้มายังชั้นที่เจ็ดในสองสามศตวรรษที่ผ่านมา อาจารย์ใหญ่อธิบายช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่สงบมาก
เจียงหยาง เซียงเทียน ชั้นที่เจ็ดของหอหนังสื อเป็นที่ซึ่งเก็บความมั่งคั่งของสำนักคากัตของข้าเอาไว้ ทั่วทั้งชั้นที่เจ็ดถูกปกคลุมไปด้วยชั้นผนึกที่ทรงพลัง ชั้นผนึกถูกสร้างขึ้นมาอย่างระมัดระวังโดยเซียนผู้คุมกฎ ไบรอัน อาจารย์ใหญ่คนแรก ของที่อยู่ในนี้ทั้งหมดนี้มีเครื่องมือพิเศษ ตราบใดที่ผนึกยังไม่ถูกทำลาย ก็ไม่มีทางที่จะเอามันออกไปข้างนอกได้ นอกเหนือไปจากนั้น หนังสือด้านในทั้งหมดที่นี่ยังเป็นวิธีการฝึกฝนที่อาจารย์ใหญ่ไบรอันได้เก็บรวบรวมมาด้วยตนเอง ถ้าเขาไม่ได้เขียนมันขึ้นมา เหล่านี้คือความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักคากัต
เมื่อได้ยินแบบนั้น ท่าทางของเจี้ยนเฉินก็เคร่งเครียด เขาไม่คิดว่าหอหนังสือชั้นที่เจ็ดจะสำคัญมากขนาดนี้ เรื่องที่อาจารย์ใหญ่คนแรกของสำนักคากัตเป็นเซียนผู้คุมกฎนั้นก็เป็นอะไรที่ทำให้เจี้ยนเฉินตกใจ
สายตาของอาจารย์ใหญ่มองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างสดใส และท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปและเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด เจียงหยาง เซียงเทียน ในตอนนี้ ข้าใช้อำนาจของข้าในฐานะอาจารย์ใหญ่เพื่ออนุญาตให้เจ้าอ่านหนังสือใดก็ได้ยกเว้นในกล่องหยก เจ้ามีโอกาสนี้เพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้มันอย่างเหมาะสม
เจี้ยนเฉินพยังหน้าอย่างเคร่งเครียด ข้าขอขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่ที่ช่วยเหลือ
กล่องหยกมีของที่ไม่มีประโยชน์กับเจ้าในตอนนี้ และมันอาจจะขัดขวางการเติบโตของเจ้า ดังนั้น เจ้าต้องไม่ดูของในกล่องหยก อย่างไรก็ตาม กล่องเหรียญม่วงมีเทคนิคการฝึกฝนระดับปฐพีขั้นต้นอยู่ เจ้าสามารถอ่านมันได้ตามที่เจ้าต้องการ อย่างไรก็ตาม กฎของปราณหยางที่ได้รับการสืบทอดมาจากตระกูลเจียงหยางของเจ้าก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหัวใจสุตราเลย ดังนั้น การเลือกวิธีการฝึกฝนไม่ใช่อะไรที่เจ้าควรจะรีบร้อน
เจ้าสามารถอยู่ที่นี่คนเดียวได้และใช้เวลาอ่านหนังสือไป จำไว้ว่า เจ้ามีโอกาสเดียวเท่านั้นที่จะเข้ามาที่หอหนังสือชั้นที่เจ็ด ข้าหวังว่าเจ้าคงจะเห็นค่ามัน ผนึกที่อยู่ที่ทางเข้าจะป้องกันไม่ให้คนเข้ามาเท่านั้น ถ้าเจ้าต้องการจะออก เจ้าก็ออกได้เลย หลังจากพูดจบ อาจารย์ใหญ่ก็หันแล้วออกไปทันที เขาหายไปนอกผนึกของชั้นที่เจ็ดและทิ้งให้เจี้ยนเฉินยืนงงอยู่ตรงนั้น