ตอนที่ 121 แบ่งที่ดินในหมู่บ้าน
วันที่สิบห้าผ่านไปได้ไม่กี่วัน ทีมใหญ่ทุกทีมก็เริ่มรวมกลุ่มกันเพื่อพูดคุยเรื่องแบ่งที่ดิน
คนที่เข้าร่วมการประชุมคือคนสูงวัยที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งภายในหมู่บ้าน รวมถึงคนที่มีหน้ามีตาด้วย
มีหน้าตาที่ว่าก็คือพูดได้ กล้าพูด ช่างพูด และเป็นคนที่มีความรู้ประสบการณ์
จ้าวเหวินเทาเองก็สามารถไปได้ ตอนนี้เขาก็ถือว่าเป็นคนมีประสบการณ์แล้ว แต่เขาไม่ค่อยชอบเข้าร่วมการประชุมไม่มีแก่นสารแบบนี้นัก
แม้จะพูดว่าตอนนี้เพิ่งจะผ่านช่วงปีใหม่ ของที่ทุกคนซื้อปีก่อนยังรับประทานไม่หมด และการค้าขายของเขาก็ยังไม่เปิด แต่ก็มีเวลาที่จะขึ้นไปเดินบนเขา ทั้งยังได้เจอพวกกระต่ายและไก่ป่าซื่อบื้้อด้วย
ยังดีเสียกว่าการมานั่งเหม่อโง่ ๆ อยู่ทางนี้ เพียงแต่คนในบ้านไม่เห็นด้วย
“เจ้าหก นายไม่ไปไม่ได้นะ ปกติแล้วพ่อจะไม่เปิดปากพูด ส่วนพี่รองก็ซื่อตรงเกินไป ฉันกับพี่สี่ของนายก็เงอะ ๆ งะ ๆ พูดไม่ออก ในบ้านจะแบ่งได้ที่ดี ๆ หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับนายนี่แหละ!” พี่สามจ้าวไม่ยอมให้เขาไป ทั้งยังพูดจาเยินยอด้วย
จ้าวเหวินเทาหัวเราะเหอะ ๆ “พี่สาม พี่ดูถูกตัวเองเกินไปแล้วนะ ตอนนี้อย่างน้อย ๆ พี่ก็เป็นเถ้าแก่ขายเต้าหู้แล้ว พี่ยังจะบอกว่าตัวเองเงอะงะได้ไง?”
พี่สามจ้าวกล่าว “งั้นนายก็ยังต้องไปอยู่ดี เรื่องใหญ่ขนาดนี้ นายยังไม่ใส่ใจจะไปอีกเหรอ?”
พี่รองจ้าวพยักหน้า “พี่สามของนายพูดถูก ปีที่แล้วตอนที่เชือดหมูนายเองก็ไปดื่มเหล้ากับเลขาแล้ว ถ้านายไปด้วยก็พูดง่ายหน่อย”
จ้าวเหวินเทาอยากจะหัวเราะ เขาดื่มเหล้ากับเลขาแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ก็คิดว่าเขาจะพูดให้เลขาแบ่งที่ดินได้ง่าย ๆ แล้ว?
ดูเหมือนว่าคงเห็นเลขาเป็นคนโง่จริง ๆ สินะ
คนนั้นน่ะเป็นคนระดับแสร้งเป็นหมูเพื่อกินเนื้อเสือแก่เลยนะ!
จ้าวเหวินเทาเองก็พูดอย่างจริงจัง “พี่รอง เรื่องใหญ่ที่แบ่งที่ดินนี้ ผมไปหรือไม่ไปก็ไม่ต่างกัน พวกเลขาต้องแบ่งที่ดินอย่างยุติเพื่อไม่ให้มีคนมองพวกเขาไม่ดี ใครก็ไม่ใช่คนโง่ทั้งนั้น คำพูดนี้พี่เข้าใจหรือเปล่า?”
ไม่ใช่ว่าเขาไปแล้วจะแบ่งได้ที่ดินดี ๆ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอก
“ไม่ว่ายังไงนายก็อย่าทิ้งความรับผิดชอบ เรื่องนี้นายเองก็มีส่วนร่วมด้วย!” พี่สามจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์
จ้าวเหวินเทากวาดตามองพี่สาม ตอนที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินพ่อพูดขึ้นว่า “เจ้าหก วันนี้แกไม่ต้องออกจากบ้านแล้ว เรื่องแบ่งที่ดินพวกเขาก็จัดการกันแล้ว วันนี้คาดว่าคงพูดโดยรวม แกก็ไปฟังกับพวกเรานี่แหละ”
คนเป็นพ่อเอ่ยปากพูดแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูด ไปก็ไป
สิ่งที่ควรจะหารือก็ได้หารือไปหมดแล้ว ก่อนหน้านี้เลขาของทีมใหญ่ก็ได้เรียกกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มมาประชุมแล้ว จึงเข้าใจถึงความเห็นของชาวบ้านแล้ว
จากนั้นก็เรียกผู้อาวุโสส่วนหนึ่งมา เบื้องต้นสรุปว่าให้ที่ดินคนละแปดหมู่
ที่มาในวันนี้ ประเด็นหลักก็เพื่อพูดถึงการตัดสินใจครั้งสุดท้าย คือที่ดินติดเขาสี่หมู่และที่ดินติดแม่น้ำสี่หมู่ นับว่ายุติธรรมมาก
ส่วนที่ดินภูเขาและแม่น้ำจะแบ่งกันอย่างไรน่ะหรือ
จ้าวเหวินเทาทายถูกต้องแล้ว นั่นก็คือการจับฉลาก มันยุติธรรมมากจริง ๆ
จะได้ที่ดีหรือไม่ดีก็พึ่งโชคจากมือของตัวเองทั้งหมด โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น
หลังกำหนดทิศทางกว้าง ๆ แล้ว หลังจากนี้ก็เรียกคนมาจากทั้งหมู่บ้าน
ซึ่งในตอนนี้ก็เกิดปัญหาขึ้นแล้ว ว่าจะนับคันนากันอย่างไร?
อย่าได้ดูถูกคันนาเชียว ต่อให้เล็กกว่านี้ก็ครอบครองไปหนึ่งคัน ใหญ่หน่อยก็เป็นสองคัน ความยาวของหนึ่งคันนาเท่ากับผลผลิตข้าวครึ่งกระสอบเลยทีเดียว
สถานที่อย่างในชนบท เพียงมูลวัวหนึ่งกองก็ทำให้คนทะเลาะกันได้แล้ว ยิ่งคันนายิ่งแล้วใหญ่ หากแบ่งไม่ชัดเจน ภายหลังคงได้ทะเลาะกันแน่
ตอนนี้คันนี้ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถกเถียงกัน บางคนบอกควรแบ่งแบบนี้ บางคนบอกควรแบ่งแบบนั้น
จ้าวเหวินเทาที่อยู่ข้าง ๆ ฟังทุกคนแย่งกันพูดจนไม่ได้ศัพท์ แต่ก็ไม่ได้พูดแทรกอะไร
ตอนนี้เองแม่เฒ่าหยางผู้ขับไล่วิญญาณชั่วร้ายก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ กล่าวว่า “ฉันนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ที่ดินติดแม่น้ำก็ไม่เหมือนกันนะ ที่ดินภูเขาเองก็มีข้อแตกต่าง เพราะมีระดับชั้นที่แตกต่างกัน ถ้าแบ่งได้ที่ดินติดน้ำชั้นเก้า ก็ยังสู้ที่ดินเปล่าชั้นหนึ่งไม่ได้อยู่ดี”
จ้าวเหวินเทาชะงัก แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ?
สำหรับเขาแล้ว ที่ดินแบ่งออกเป็นที่ดินติดแม่น้ำและที่ดินบนเขาเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่สามารถมองออกถึงข้อดีและข้อเสียได้
แต่ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าคำพูดของแม่เฒ่าหยางกลับได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ถึงจ้าวเหวินเทาจะไม่เข้าใจเรื่องเกษตรกรรม แต่คนอื่นเข้าใจ
ที่ดินติดแม่น้ำชั้นเก้าแม้ว่าจะครอบครองส่วนที่เป็นน้ำ แต่ก็สู้ที่ดินเปล่าชั้นหนึ่งไม่ได้จริง ๆ ถ้ามีคนแบ่งได้ที่ดินติดแม่น้ำดี ๆ แล้วได้ที่ดินเปล่าชั้นหนึ่งอีก แบบนั้นก็เท่ากับว่าต้องมีคนที่แบ่งได้ส่วนที่แย่ทั้งหมดน่ะสิ
เป็นแบบนี้ทุกคนจึงเดือดเนื้อร้อนใจกันมากยิ่งขึ้น
“แม่เฒ่าหยางพูดถูก ที่ดินติดแม่น้ำดี ๆ ก็มีแค่นิดเดียวเอง!”
“ที่ดินติดแม่น้ำบางบริเวณรดน้ำลำบากมาก!”
“ขนาดที่ดินติดภูเขาและที่ดินติดแม่น้ำยังมีต่างระดับชั้น เรื่องนี้ไม่พูดให้ชัดเจนจะแบ่งกันยังไง?”
ทุกคนต่างก็แย่งกันพูดถึงความเห็นของตัวเองจนฟังไม่ได้ศัพท์
ในตอนนี้สีหน้าของเลขาก็ดำอึมครึมลง “ทุกคนเงียบหน่อย!”
แต่กลับไม่มีใครฟัง ยังคนแย่งกันพูดเธอประโยคหนึ่งฉันประโยคหนึ่ง
หัวหน้าจึงตบโต๊ะ “เลิกโวยวายกันได้แล้ว ฟังที่เลขาพูด!”
ทุกคนจึงเงียบเสียงลง มองไปที่เลขา
เลขาลุกขึ้นยืนพลางกล่าว “ในเมื่อทุกคนต่างก็กลัวว่าจะเสียเปรียบ งั้นก็ไปดูที่ดินแล้วแบ่งเส้นกั้นแล้วกัน พอแล้ว เลิกประชุม!” พูดจบเขาก็เดินออกไปด้วยความโกรธ
ไปดูที่ดินแล้วแบ่งเส้นกั้นก็คือการแบ่งที่ดินบนเขาและที่ดินติดแม่น้ำเป็นสามระดับ แต่ละระดับทุกคนจะได้รับส่วนแบ่ง แบบนี้ก็รับประกันถึงความยุติธรรมที่แน่นอนได้
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ การแบ่งที่ดินก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก
ที่ดินตรงไหนแบ่งออกเป็นกี่ระดับ มาตรฐานอะไร แบ่งเสร็จก็ต้องมาแบ่งอย่างละเอียดอีกที นับว่าเป็นขั้นตอนที่ใหญ่หลวงมาก
เพียงแต่ทุกคนคิดว่าแบบนี้ตนเองจะไม่เสียเปรียบ จึงเห็นด้วยทั้งหมด
จ้าวเหวินเทาเองก็ได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้นด้วย
จ้าวเหวินจื้อเป็นคนมีการศึกษา จึงไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับที่ดินเล็ก ๆ นี้ เขากล่าวกับจ้าวเหวินเทาว่า “แบ่งที่ดินแบบนี้จะแบ่งไปจนถึงเมื่อไหร่? ฉันเห็นคนอื่นแบ่งที่ดินกันแล้วแต่พวกเราทางนี้กลับยุ่งยากขนาดนี้”
จ้าวเหวินเทายิ้ม “แล้วจะให้ทำไงได้ล่ะ แบ่งแบบนี้ก็ไม่มีใครยอม โหวกเหวกโวยวายขึ้นมาเมื่อไหร่จะแบ่งกันเสร็จ? ทุกคนยินดีที่จะแบ่งแบบไหนก็แบ่งแบบนั้นแหละ”
จ้าวเหวินจื้อกล่าว “ถ้าทำแบบนี้ หลังจากนี้ถ้าจะปลูกอะไรสักหน่อยก็ต้องวิ่งถึงแปดที่เลย”
จ้าวเหวินเทายิ้ม ก็นั่นนะสิ?
แม้ว่าเลขาจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อให้ทุกคนพอใจ แต่การแบ่งที่ดินแบบนี้ก็ยังมีเสียงที่ไม่พอใจอยู่ดี
ก่อนที่จะเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิก็ต้องปรับหน้าดิน ไม่สามารถยืดเวลาให้ล่าช้ามากไปกว่านี้ได้ จะยินดีหรือไม่ปีนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้ ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่
ปีหน้าต่อให้พูดมากกว่านี้ก็พูดไปเถอะ เพราะปีหน้ายังไงก็ต้องแบ่ง
ไม่เพียงแค่แบ่งในปีหน้า ปีถัด ๆ ไปก็ต้องแบ่งปีละครั้ง
หลังจากวิ่งเต้นอยู่สิบวัน ในที่สุดที่ดินก็มีลำดับหมายเลขออกมา ภายในห้องประชุมทีมใหญ่ก็เริ่มจับฉลากแล้ว
ทางบ้านตระกูลจ้าว ทั้งครอบครัวทราบดีว่าโชคของจ้าวเหวินเทาดีเป็นพิเศษ ตั้งแต่เด็กจนโตก็มีสัตว์ป่ามาให้เขารับประทานเนื้อถึงที่
ตอนที่รับประทานเนื้อก็พูดกันว่าเขาโชคดี แต่พอขอแอบอู้ไม่ยอมทำงานก็ด่าว่าเขาเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาว
ตอนที่มีประโยชน์ก็เยินยอ พอหมดประโยชน์ก็โยนทิ้ง
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ พี่สามจ้าวคือคนแรกที่มาหาเพื่อจะให้เขาช่วยเหลือ
“เจ้าหก อีกเดี๋ยวนายช่วยฉันจับฉลากหน่อยนะ มือของฉันคงโชคไม่ดีเท่านายแน่นอน” พี่สามจ้าวกล่าว
จ้าวเหวินเทาหัวเราะเหอะ ๆ อยู่ในใจ ย้อนถามไปว่า “แล้วถ้าผมจับได้ที่บริเวณแห้งแล้งแล้วจะโทษใครล่ะ?”
“นายโชคดี จะจับได้ที่ดินแห้งแล้งได้ไง?” พี่สามจ้าวขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้มันก็ไม่แน่หรอก” จ้าวเหวินเทากล่าว เขาไม่ช่วยพี่สามจับฉลากอยู่แล้ว “ถึงแม้ว่าปีหน้าจะแบ่งกันใหม่ แต่ถึงยังไงก็ต้องปลูกตลอดหนึ่งปี นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก พี่สามพี่จับเองเถอะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มากคนมากความจริง ๆ จะทำให้ทุกคนพอใจเป็นเรื่องยากทีเดียว
อย่าให้ช่วยเลย จับฉลากเองเถอะ ถ้าจับได้ที่ไม่ดีเดี๋ยวก็มาโทษกันอีก
ไหหม่า(海馬)