ชีวิตคนเราหนึ่งมีแค่ครั้งเดียว ประหยัดไปซะทุกอย่างแบบนั้นจะไปมีความหมายอะไร? จ้าวเหวินเทากลับไม่ได้สนใจหลอดไฟขนาดสิบห้าองศา เขากล่าวว่า จะติดก็ติดดี ๆ ไปเลย ไฟฟ้าเข้าถึงแล้วยังไงก็ต้องสว่างจ้า พี่สาวใหญ่ หลอดไฟสิบห้าองศาที่บ้านพี่ไม่เห็นสว่างสักนิดเลย
พี่สาวใหญ่จ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ นี่ยังไม่ทันได้ติดตั้งไฟเลยนะ มารังเกียจหลอดไฟบ้านพี่แล้ว นายไม่อยากประหยัดงั้นก็ดูเองเลยว่าจะติดกี่องศา!
แกอย่าทรมานขนาดนั้นเลย สิบห้าองศาก็ไม่เลวแล้ว! คุณแม่จ้าวกล่าว
ผมไม่อยากได้ จ้าวเหวินเทาปฏิเสธ ผมอยากใช้ยี่สิบห้าองศาแบบบ้านพี่สาวห้า แบบนั้นถึงจะสว่าง
สว่างมันก็สว่างอยู่หรอก แต่ค่าไฟแต่ละเดือนไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ พี่สาวห้าจ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สิบห้าองศาแต่ละเดือนก็จ่ายค่าไฟไปไม่น้อยเหมือนกัน พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว
จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ติดแบบสิบห้าองศาหรอก
ไม่ว่าจะถูกแม่และพี่สาวใหญ่รังเกียจ แต่หลังจากวัดสายไฟเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้นจ้าวเหวินเทาก็เข้าไปในอำเภอเพื่อซื้อสายไฟ หลอดไฟและมิเตอร์ไฟฟ้า โดยที่ชุยต้ายังคงติดตามมาเหมือนเดิม
พี่หก พี่จะซื้อหลอดไฟขนาดเท่าไรเหรอ? ชุยต้าถาม
ยังตัดสินใจไม่ได้เลย ถึงเวลานั้นค่อยไปถามดู นายล่ะ? จ้าวเหวินเทาถาม
ผมจะซื้อแบบเล็กสุด ชุยต้าพูดอย่างซื่อตรง ผมจะออกไปสร้างบ้านอีกหลัง ส่วนพ่อกับน้องชายอยู่ด้วยกัน แต่พ่อไม่อยากให้ติดตั้งไฟฟ้า น้องชายผมเองก็ไม่ได้เป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าซื้อขนาดใหญ่กลับไป ถึงเวลานั้นถ้าต้องจ่ายเงินเยอะ ๆ พวกเขาคงได้ทะเลาะกันแน่ งั้นก็ซื้อแบบเล็กไปก่อนแล้วกัน
ซื้อแบบเล็กก็ได้เหมือนกัน ใช้ไปก่อนหลังจากนี้ค่อยว่ากัน จ้าวเหวินเทาพยักหน้า
เมื่อมาถึงอำเภอ ทั้งคู่ก็ไปซื้อหลอดไฟและสายไฟที่ร้านค้า ชุยต้าถามว่าหลอดไฟมีกี่องศา พนักงานขายของกลับมองอย่างดูถูกดูแคลน น้องชาย เขาเรียกว่ากี่วัตต์ต่างหากล่ะ!
ชุยต้าถึงกับหน้าแดงก่ำ
จ้าวเหวินเทาเองก็รู้สึกแปลก ๆ มาตั้งแต่แรกแล้ว จึงพูดอย่างใจกว้าง แล้วมีกี่วัตต์ล่ะ?
พนักงานขายโยนแผ่นพับมาให้จ้าวเหวินเทาอย่างไม่แยแส มีกี่วัตต์ก็อยู่ด้านบนนั้นหมดแล้ว ดูเอาเองแล้วกัน
จ้าวเหวินเทาหยิบมาดู ชุยต้าเองก็ชะโงกหน้ามาดูด้วย ขนาดเล็กมีอยู่ห้าวัตต์ ส่วนขนาดใหญ่มีถึงร้อยวัตต์ มีตัวเลือกให้เลือกเยอะมาก
ผมอยากได้ห้าวัตต์ ชุยต้าตัดสินใจโดยไม่คิด
เนื่องจากมีห้าวัตต์ที่น้อยกว่าสิบห้าวัตต์ เขาย่อมต้องเลือกขนาดเล็กอยู่แล้ว เพราะราคาถูกไง
จ้าวเหวินเทาตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลือกหนึ่งร้อยวัตต์มาหนึ่งหลอด หลอดนี้ติดตั้งไว้ที่ประตูหน้าบ้าน เพื่อให้สวนสว่างไสว ส่วนที่เหลือภายในห้องเขาเลือกแบบยี่สิบห้าวัต์ เอาไปใช้ดูก่อน ถ้าไม่สว่างก็ค่อยเปลี่ยนใหม่
ครั้นคนขายได้ยินจ้าวเหวินเทาบอกจำนวนหลอดไฟที่ต้องการก็ถึงกับตกตะลึง นี่เป็นเงินก้อนโตเลยนะ?
ตอนนี้ยังไม่ถึงกับใช้ว่าเป็นเงินก้อนโตหรอก แต่หล่อนก็รู้สึกได้ว่าใกล้เคียงแล้ว ทัศนคติของหล่อนจึงเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะตอนที่จ้าวเหวินเทาตบธนบัตรใบใหญ่ลงบนโต๊ะ ทำให้หล่อนยิ้มด้วยรอยยิ้มสดใสและกระตือรือร้น
พี่ชาย คุณรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้ พนักงานขายหญิงกล่าว
ฟังเข้าสิ ตอนนี้เรียกเขาว่า ‘คุณ’ แล้ว เมื่อกี้แม้แต่ ‘นาย’ ยังไม่คิดจะเรียกเลย
ทั้งสองคนซื้อหลอดไฟและสายไฟเสร็จก็ออกมา
ชุยต้าแอบรู้สึกหดหู่ เขากล่าว คนในเมืองช่างเลือกปฏิบัติจริง ๆ
จ้าวเหวินเทาเห็นจนชินไปนานแล้ว เลือกปฏิบัติมีทั้งในเมืองและชนบทนั่นแหละ ถ้าไม่ได้มีชีวิตดี ๆ ใครก็ดูถูกนายทั้งนั้น รวมถึงพ่อแม่ของนายด้วย!
ชุยต้ารู้สึกอยู่ลึก ๆ มันก็เป็นแบบนี้จริง ๆ นั่นแหละ ตั้งแต่ฉันขายกระต่าย พ่อก็ดีกับฉันขึ้นเยอะเลย
ต่อให้ไม่ได้ให้เงินกับพ่อของเขา แต่พ่อก็ทราบดีว่าเขามีเงิน จึงมีท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตร
เมื่อกลับมาถึงบ้าน จ้าวเหวินเทาก็ให้เย่ฉูฉู่ดูหลอดไฟและสายไฟ เย่ฉูฉู่เคยเห็นสายไฟและหลอดไฟที่บ้านของพี่สาวห้าจ้าว คิดไม่ถึงเลยว่าที่บ้านของเธอจะมีของแบบนี้รวดเร็วขนาดนี้
ของพวกนี้ต้องเป็นคนจากสำนักงานการไฟฟ้าเท่านั้นที่จะทำได้สินะ? เย่ฉูฉู่กล่าว ฉันได้ยินมาว่าไฟฟ้านี้อันตรายมากเลยค่ะ
จ้าวเหวินเทากล่าว ไม่ต้องห่วง ภรรยา รอให้พวกเขามาทำให้นั่นแหละ ผมไม่ทำเรื่องที่เป็นอันตรายหรอก
เย่ฉูฉู่ยิ้ม เธอเองก็กลัวว่าจ้าวเหวินเทาจะรีบร้อนจนลงมือทำเองจริง ๆ
เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ไฟฟ้ายังไม่เข้า ไม่ว่าจ้าวเหวินเทาจะทำอย่างไรไฟฟ้าก็เข้ามาไม่ถึงบ้านของตัวเองอยู่ดี
นอกจากจ้าวเหวินเทาแล้ว ชุยต้าก็เป็นคนที่สองที่ซื้อหลอดไฟและสายไฟ ตอนค่ำอารองชุยและคนส่วนหนึ่งในหมู่บ้านก็มาดู ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยาก
นี่คือหลอดไฟเหรอเนี่ย? คล้ายกับฟองอากาศเลย!
ของแบบนี้ก็ไม่ได้สว่างนี่นา
สายไฟยาวขนาดนี้ราคาเท่าไรเนี่ย?
นี่มันอะไรกัน จ้าวเสี่ยวลิ่วนั่นซื้อของหลอดไฟมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ!
ฟุ่มเฟือยจะตายไป!
อะไรนะ หนึ่งร้อยวัตต์ แม่เจ้าโว้ย นั่นมันต้องใช้เงินเท่าไรเนี่ย!
จ้าวเสี่ยวลิ่วคนนี้ทำอะไรของเขา ไม่คิดจะใช้ชีวิตแล้วเหรอ? อดอยากปากแห้งขนาดนั้นก็ยังไม่มีเงินคืนเลย ยังจะมาจ่ายเงินขนาดนี้อีก เขาไม่อยากจะใช้ชีวิตแล้วเหรอ?
จ้าวเสี่ยวลิ่วนั่นช่างกล้าจริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นหรอก ติดตั้งไฟฟรีที่ไหนกัน? ต้องใช้เงินทั้งนั้น ติดตั้งหลอดไฟมากขนาดนั้น ต้องจ่ายค่าไฟเท่าไร!
พูดไปพูดมาก็ออกนอกเรื่องแล้ว ทุกคนเริ่มมากังวลเกี่ยวกับจ้าวเหวินเทาอีกครั้ง
ชุยต้าได้ยินก็รู้สึกหมดคำพูด คนพวกนี้ไม่รู้ดีแล้วยังจะไปเป็นห่วงคนอื่นเขาจริง ๆ พี่หกของเขาดีจะตายไป!
อารองชุยเห็นชุยต้าซื้อหลอดไฟมาแค่ดวงเดียวก็แอบไม่พอใจ หลานชาย ทำไมเธอถึงซื้อมาแค่ดวงเดียวล่ะ? มันจะไปพออะไร
คุณพ่อชุยรีบพูด นั่นน่ะสิ ดวงเดียวมันจะไปพออะไร บ้านอารองจะทำยังไง?
ชุยต้าแอบยิ้มเยาะในใจ อารองของฉัน อารองของฉัน พ่อก็รู้จักอยู่แค่อารองนั่นแหละ ทำไมไม่คิดถึงพวกเราบ้าง ไม่เป็นห่วงลูกชายแต่กลับไปเป็นห่วงน้องชายตัวเอง ที่สำคัญชีวิตของน้องชายก็ดีกว่าตัวเองแล้ว ทำไมพวกเราถึงได้มีพ่อแบบนี้นะ!
แน่นอนว่าเขาแค่คิดในใจแต่ปากกลับไม่สามารถพูดแบบนี้ได้
ไม่มีเงินแล้วน่ะครับ ชุยต้าตอบ
อารองชุยรีบพูด จะไม่มีเงินได้ไง เธอเพิ่งขายกระต่ายไม่ใช่เหรอ?
คุณพ่อชุยรีบกล่าวเสริม นั่นสิ เงินที่ขายกระต่ายล่ะ?
อารอง ทำไมอาไม่ซื้อหลอดไฟเองล่ะครับ? ชุยเอ้อที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะพูด
ไอ้เด็กคนนี้ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เธอซื้อกับฉันซื้อมันต่างกันตรงไหน? อารองชุยเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ
คนที่เพิ่งจะด่าว่าจ้าวเหวินเทาฟุ่มเฟือยรีบเงียบเสียงและดูความบันเทิงในทันที
ชุยเอ้อกล่าว พวกเราแยกบ้านกันตั้งนานแล้ว ครอบครัวเดียวกันตรงไหน!
คุณพ่อชุยรีบด่าทันที ไอ้เด็กเวร พูดอะไรของแก แยกบ้านก็ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแล้ว?
ชุยเอ้อยังอยากพูดต่อ แต่ชุยต้าห้ามไว้ เงินที่ขายกระต่ายผมเอาไปซื้อที่ดินของตัวเองแล้ว แต่เงินก็ยังไม่พออยู่ดี ที่เหลือเลยติดหนี้ไว้ก่อน รอปีหน้าขายกระต่ายได้ก็ค่อยคืน
อารองชุยชะงัก นี่มันอะไรกัน เงินที่ขายกระต่ายเอาไปซื้อที่ดินแล้ว แถมยังไม่พออีก นี่หมายความว่าเงินที่ขายกระต่ายหลังจากนี้ก็ไม่มีส่วนแบ่งให้เขาแล้วน่ะสิ?
เงินจากการขายกระต่ายในปีนี้เขายังไม่ทันได้รับเลย ชุยต้าก็เอาไปฝากที่ธนาคารแล้ว พ่อชุยต้าไม่รู้หนังสือ จึงไม่เข้าใจเรื่องของพวกเขา แต่เขากำลังคิดว่า ถ้าเงินที่ขายกระต่ายยังไม่ได้จ่ายออกไป ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็สามารถเอามาถือในมือได้ ใครจะไปคิดว่าชุยต้าจะจ่ายออกไปเร็วขนาดนี้!
อารองชุยคิดแบบนี้แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาขี้เกียจ ไม่เพียงแค่เขาที่ขี้เกียจ คนในบ้านของเขาทั้งหมดก็ขี้เกียจด้วย ขี้เกียจที่จะทำงานใช้ชีวิต แต่แบบนั้นจะทำอย่างไร อย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตนะ
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเอาเปรียบพี่ใหญ่แล้ว มีงานก็เรียกให้พี่ใหญ่กับหลานชายไปทำ พวกเขายังสามารถใช้ของจากสองบ้านนี้ได้ นี่เป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะ ส่วนเรื่องหนังหน้า มันจะไปสำคัญอะไรกัน?
นี่ก็ยังดี ๆ อยู่เลยทำไมถึงไปซื้อที่ดิน? อารองชุยอดไม่ได้ที่จะพูด นี่ไม่ใช่ว่ามีบ้านแล้วเหรอ?
อนาคตพวกเราก็ต้องมีครอบครัว ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ บ้านหลังนี้ผมจะให้น้องชาย ส่วนผมจะย้ายออกไปสร้างบ้านเอง ชุยต้ากล่าว พ่อ อารอง แล้วก็พวกลุง ๆ อาๆ คนอื่น ๆ ทุกคนคิดว่าที่ผมทำแบบนี้ถูกต้องหรือเปล่าล่ะครับ?
ทุกคนย่อมพูดว่าถูกต้องอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องของตระกูลชุย แต่ทุกคนก็ไม่คิดอะไรมาก ต่างก็ยืนฝั่งชุยต้ากันหมด
นั่นสิ เด็กคนนี้พูดถูก ข้ามปีนี้ก็อายุยี่สิบแล้วมั้ง ก็ควรจะพูดเรื่องภรรยาแล้ว เหล่าหวังสาม
ถูกต้อง พูดถึงเรื่องภรรยาแต่ไม่มีบ้านได้ไง ก็ต้องซื้อที่ดินไว้ก่อน รอปีหน้าค่อยสร้างบ้านขึ้นมา ภรรยาก็มาแล้ว สามีของหลี่เฟินก็พูด
เป็นพี่ชายที่ไม่เลวเลยจริง ๆ คิดถึงน้องชายด้วย แถมยังยกบ้านเก่าให้น้องชายอีก สามีของสะใภ้จ้วงก็เห็นด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ถึงว่าสิทำไมเรียกกันแปลกๆ หลอดไฟมันเรียกกันเป็นวัตต์ไม่ใช่เหรอ
อารองชุยนี่กะจะไม่ทำอะไรเองเลยใช่ไหม เกิดหลานไม่ให้ยืมจมูกหายใจขึ้นมาก็เน่าแล้ว
ไหหม่า(海馬)