ตอนที่ 301 นายแบบ
ตอนที่ 301 นายแบบ
เช้าวันรุ่งขึ้น จ้าวเหวินเทาส่งเสี่ยวหม่าไปทำหน้าที่เป็นพนักงานเก็บอึจริง ๆ เสี่ยวหม่าคิดว่านี่เป็นสิ่งที่จ้าวเหวินเทากำลังทดสอบเขา จึงทำงานอย่างมีความสุข
ลุงจ้าวไม่ชอบเสี่ยวหม่า ทั้งยังพูดกับจ้าวเหวินเทาว่า “นายเอาคนไม่มีความสามารถมาทำงาน แบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการก่อกวนเหรอ!”
“ให้ทำก่อนสักสองสามวันค่อยว่ากัน” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างคลุมเครือ
ทางฝั่งเย่ฉูฉู่ก็ส่งแบบร่างของเสี่ยวหม่าไปให้โจวหมิ่นแล้ว ทั้งยังโทรศัพท์ไปหาโจวหมิ่นแล้วด้วย โจวหมิ่นเชื่อในสุนทรียศาสตร์ของเย่ฉูฉู่ และรู้สึกสงสัยมากว่าหน้าตาของเสี่ยวหม่าคนนี้เป็นอย่างไร
เพียงไม่นาน โจวหมิ่นก็ได้รับภาพวาดของเย่ฉูฉู่ ตอนที่เปิดดูหล่อนก็ถึงกับตกตะลึงไปหลายนาที นี่มันเป็นโอกาสเลยนะ!
เยี่ยมเลย ความงามในสายตาของเย่ฉูฉู่ เมื่อมาอยู่ในสายตาของโจวหมิ่น ทั้งหมดได้กลายเป็นเงินแล้ว!
“เรียกเสี่ยวหม่ามาปักกิ่ง! ฉันอยากได้ตัวเขา!” โจวหมิ่นโทรศัพท์มาหา
เย่ฉูฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่เธอไม่เคยสงสัยในการตัดสินใจของโจวหมิ่น จึงรีบตอบไปว่า “ฉันไม่เห็นต่างเหมือนกันค่ะ!”
โจวหมิ่นคิดว่าตัวเองพูดด้วยความรีบร้อนไปหน่อย จึงกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ขอฉันคุยกับเหวินเทาหน่อย”
จ้าวเหวินเทารับสายก็ทราบเรื่องที่จะเรียกเสี่ยวหม่าไปเมืองหลวง สิ่งนี้ทำให้เลือดในกายของเขาแทบพุ่งพล่าน
“เขาดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” จ้าวเหวินเทากล่าวอย่างไม่พอใจ
“เขาดีหรือไม่ดีไม่สำคัญ ที่สำคัญคือหาเงินได้”
“หาเงินอะไรกัน เขาเป็นพวกไม่ชอบทำงานนะ!”
“ทำงานจะได้เงินสักเท่าไรกันเชียว ไม่ต้องให้เขาทำงานหรอก รูปร่างของเขาสามารถทำเงินได้แล้ว!”
“พี่สะใภ้สาม แล้วพี่ว่าผมทำได้ไหม?” จ้าวเหวินเทาพูดหยอกล้อ
โจวหมิ่นถึงกับหลุดหัวเราะ “ได้สิ นายมาได้ไหมล่ะ?”
จ้าวเหวินเทารีบพูด “แค่บอกว่าได้ก็พอแล้วครับ เรื่องนี้สำคัญมาก”
“คิดไม่ถึงเลยนะว่านายที่เป็นเถ้าแก่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้!” โจวหมิ่นยิ้ม
“ผมก็แค่ไม่เข้าใจ แค่เขาหน้าตาดีก็หาเงินได้แล้ว?”
“อยู่ในบ้านเกิดของพวกเรา รูปร่างหน้าตาหาเงินไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามาอยู่ที่นี่มันก็ไม่เหมือนกันหรอกนะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ค้าขายสิ่งที่ทำให้ขาดทุนหรอก ฉันคิดว่านายเองก็เหมือนกัน”
“ก็ใช่น่ะสิ!” จ้าวเหวินเทาได้ความกระตือรือร้นในทันที เขาถูฝ่ามือ “ผมส่งเขาไปเมืองหลวงแล้ว ถึงยังไงผมก็เหนื่อยฟรี ๆ ไม่ได้หรอกนะ!”
“นายไม่เหนื่อยฟรีหรอก นี่เป็นธุรกิจร่วมกันของพวกเราสองครอบครัวนะ” โจวหมิ่นกล่าว “หม่ากว๋อเหว่ยหาเงิน ก็เท่ากับพวกเราได้เงินด้วย!”
หลังจากวางสายจ้าวเหวินเทาก็ยังมึนงงอยู่ “ภรรยา ผมทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ? แค่ลงมือส่งเขาไปที่เมืองหลวงก็ได้แล้ว?”
เดิมทีเย่ฉูฉู่ก็แอบรู้สึกราวกับกำลังฝันอยู่เช่นกัน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวเหวินเทา เธอก็กลับสู่ความเป็นจริงในทันที กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “นั่นสิ คุณนี่สามารถมากเลยนะ แค่ลงมือก็ปรับให้กลายเป็นคนมีความสามารถออกมาได้แล้ว!”
จ้าวเหวินเทาลูบหน้า “ภรรยา นี่เป็นผลงานของคุณเลยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณวาดรูปเขา ด้วยคุณธรรมของเจ้าเด็กนั่น ยังไม่ทันได้โด่งดัง ก็ได้ไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว!”
เย่ฉูฉู่ย่อมทราบดีว่าภาพวาดของตนเองมีบทบาท แต่ที่สำคัญคือรูปร่างหน้าตาของเสี่ยวหม่าก็ทำให้มีบทบาทขึ้นมาด้วย
“คุณว่าเสี่ยวหม่าจะยอมไปเมืองหลวงหรือเปล่า?” เย่ฉูฉู่นึกถึงปัญหาขึ้นได้ “ต่อให้เสี่ยวหม่าอยากไป แม่หม้ายหม่าจะยอมให้น้องชายหล่อนไปเหรอ?”
จ้าวเหวินเทาลูบคาง เขาคิดว่าสิ่งที่ภรรยากังวลนั้นถูกต้องแล้ว เสี่ยวหม่านั่นไม่ต้องพูดถึงเลย เขาต้องยินดีที่จะไปเมืองหลวงอยู่แล้ว สิ่งที่คนหนุ่มชอบที่สุดก็คือเมืองหลวงใหญ่ ๆ แต่คนในบ้านคงไม่ยอม แม่หม้ายหม่ายังเป็นรอง คนที่กังวลใจก็คือพ่อแม่ของเสี่ยวหม่า เพราะคนแก่ ๆ ต่างก็กลัวเมืองหลวงใหญ่ ๆ
“เรื่องนี้ผมจะไปคุยกับหลี่เฉียจื่อดูก่อน” จ้าวเหวินเทากล่าว “เสี่ยวหม่าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ปิดบังเขาไม่ได้ ถึงเวลานั้นผมจะคุยกับหลี่เฉียจื่อสักคำ”
เย่ฉูฉู่ “งั้นถ้าเสี่ยวหม่าไปเมืองหลวง สมมุติ ฉันสมมุตินะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาบ้านพวกเขาจะไม่โทษพวกเราใช่ไหม?”
“เขาจะกล้าเหรอ!” จ้าวเหวินเทาแค่นเสียง “มีตั้งหลายคนที่อยากไปแต่ก็ไม่มีปัญญาได้ไป ผมส่งเขาไป เขาไม่ซึ้งใจแต่ยังมาโทษผม เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็เป็นเพราะเขาหาเรื่องให้ตัวเอง!”
“ถึงแม้ว่าจะพูดแบบนี้ แต่จิตใจคนเราก็ยากที่จะคาดเดานะ” เย่ฉูฉู่กล่าว “คุณพูดดักไว้ก่อนจะดีกว่านะ”
จ้าวเหวินเทารู้สึกตื่นเต้นแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของภรรยาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ภรรยา ขอบคุณที่เตือนผมนะ ไม่งั้นผมคงลืมไปแล้ว”
“ใช่น่ะสิ แม้แต่แซ่ตัวเองก็ลืมไปแล้ว!” เย่ฉูฉู่ยื่นนิ้วออกไปจิ้มหน้าผากของเขา
จ้าวเหวินเทาจึงฉวยโอกาสดึงภรรยาเข้าไปกอด ตอนที่กำลังจะจรดริมฝีปาก เขาก็บังเอิญสบตาเข้ากับดวงตากลมโตสีดำขลับของลูกชาย จึงเกิดอาการเคอะเขินในทันที
“เด็กบ้า มองอะไรเนี่ย หันไป!” จ้าวเหวินเทาพูด
เย่ฉูฉู่หน้าแดงระเรื่อ และผลักเขาออกไป “ไปเลยไป!”
ผ่านไปสองวัน จ้าวเหวินเทาก็มาหาหลี่เฉียจื่อเพื่อคุยกับเขาเกี่ยวกับแผนที่จะส่งเสี่ยวหม่าไปเป็นนายแบบที่ปักกิ่ง
“…ฉันคิดว่าให้เสี่ยวหม่าทำงานอยู่ที่ฟาร์มกระต่ายคงเสียดายความสามารถที่เขามี เขาเหมาะที่จะไปพัฒนาภายในเมืองใหญ่นะ พี่เขยสามกับภรรยาของเขาก็ขายเสื้อผ้าที่ปักกิ่งพอดี พวกเขาต้องการนายแบบ ฉันก็เลยแนะนำเสี่ยวหม่าให้พวกเขา แค่พวกเขาเห็นปราดเดียวก็ชอบแล้ว เลยบอกให้เขาขึ้นไปให้พวกเขาดูตัวหน่อย” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างสงบจิตสงบใจ
หลี่เฉียจื่อกลับไม่เชื่อแม้แต่น้อย “เหวินเทา เสี่ยวหม่าไม่ตั้งใจทำงานตอนที่อยู่ฟาร์มกระต่ายใช่ไหม ถ้าเขาไม่ตั้งใจทำงานนายจะต่อว่าเขาก็ได้นะ…”
จ้าวเหวินเทากลอกตาใส่อีกฝ่าย “พูดอะไรของนาย! ฉันพูดเรื่องจริง เสี่ยวหม่าดีมากเลย อยู่ที่ฟาร์มกระต่ายก็ทำงานได้เป็นอย่างดี แต่ที่พูดไปก็เพื่อให้ชีวิตเขาดีขึ้นไง”
หลี่เฉี๋ยจื่อมองมาที่เขา “นี่คือเรื่องจริงเหรอ ไปปักกิ่ง? เมืองหลวงเนี่ยนะ?”
“ใช่น่ะสิ”
“เจ้าเด็กคนนั้นจะไปที่แบบนั้นได้เหรอ?”
หลี่เฉียจื่อรู้สึกสงสัยมาก ขนาดเด็กที่ไม่เอาการเอางานยังไปปักกิ่งได้ ถ้าเป็นแบบนั้นใคร ๆ ก็ไปได้
จ้าวเหวินเทาเข้าใจความหมายของเขา จึงกล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “เป็นเพราะนายมีอคติต่างหากล่ะ คนเรามีความสามารถที่หลากหลาย สิ่งที่พวกนายมองเห็นก็คืองานที่ใช้กำลัง แต่นอกจากงานที่ใช้กำลังแล้วก็ยังมีงานอื่นด้วย งานอื่นก็หาเลี้ยงตัวเองได้ ถ้าเสี่ยวหม่าได้ทำงานแบบนี้ก็ดีมากเลยไม่ใช่เหรอ?”
หลี่เฉียจื่อกะพริบตาปริบ ๆ แต่ก็ยังไม่กล้าเชื่ออยู่ดี “เขารู้เรื่องนี้หรือยัง?”
“เขายังไม่รู้ ฉันมาบอกพวกนายก่อน กลับไปค่อยไปคุยกับเขาอีกที เรื่องนี้ยังไงก็ปิดบังเขาไม่ได้ ถึงยังไงเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกนายกังวลเขามากกว่านี้ แต่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขายังไงเขาก็ต้องรู้”
หลี่เฉียจื่อพยักหน้ารัว ๆ “ฉันเข้าใจ! ฉันเข้าใจดี ฉันเองก็ตัดสินใจไม่ได้ กลับไปฉันจะคุยกับภรรยาดูนะ”
“อืม นายลองคุยดู แล้วก็บอกพ่อตาแม่ยายนายด้วยนะ”
หลี่เฉียจื่อพยักหน้า ถึงอย่างไรก็ต้องบอกพ่อแม่สักคำ ไปปักกิ่งไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง “เอ่อคือ นายแบบนี่คืองานอะไรเหรอ?”
จ้าวเหวินเทาชะงัก คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่เฉียจื่อจะถามแบบนี้ เขาครุ่นคิดแล้วตอบไปว่า “นายเคยถ่ายรูปใช่ไหม?”
“เคยสิ”
“นายแบบก็คือคนที่นั่งให้ถ่ายรูปนั่นแหละ เขาแค่ใส่เสื้อผ้าที่พวกพี่สะใภ้สามตัดออกมา คนอื่นจะถ่ายรูปให้เขา นี่แหละงานนายแบบ”
หลี่เฉียจื่อถลึงตาอีกครั้ง “ไม่ใช่มั้ง งานสบายขนาดนี้เลย แค่นั่งให้ถ่ายรูปเนี่ยนะ?”
“มันก็ไม่ได้นั่งทั้งหมดหรอก ก็มียืนด้วย”
จ้าวเหวินเทานึกถึงนิตยสารเล่มนั้น มีท่านอนด้วย ตอนที่กำลังจะพูด เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้วก็ปล่อยผ่านไป คนในชนบทไม่เข้าใจหรอก ถ้าพูดว่านอนคงคิดไปถึงเรื่องอื่น
“ต่อให้ยืนถ่ายรูปก็ได้ด้วยเหรอ” หลี่เฉียจื่อนึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “งั้นก็คงได้เงินน้อยมากเลยสินะ?”
“งานนี้ไม่ต่างจากฟาร์มกระต่ายหรอกมั้ง”
จ้าวเหวินเทาก็ไม่ทราบว่านายแบบได้เงินเท่าไร และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าโจวหมิ่นจะให้เสี่ยวหม่าเท่าไร จึงได้แค่เพียงตอบอย่างคลุมเครือกลับไป
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เสี่ยวหม่าเตรียมเดเป็นนายแบบแล้วจ้า โชคดีที่มาเจอคนเห็นความสามารถแบบเหวินเทากับฉูฉู่
ไหหม่า(海馬)