ระหว่างข้ากับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรมากมายต่อกัน ในราชวงศ์ซวนหยวน นอกจากซวนหยวนชิงอวิ๋น คนอื่นในราชวงศ์ซวนหยวน ต่อให้เจ้าฆ่าให้ตายอย่างอนาถเพียงใด มันก็ไม่เกี่ยวกับข้า ซวนหยวนจิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับว่าชีวิตของคนในราชวงศ์นั้นมิได้มีความสำคัญต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีพยักหน้าตอบรับ อืม ข้าเข้าใจแล้ว
สำหรับซวนหยวนชิงอวิ๋นนั้น เขาเป็นคนที่ไม่ใคร่จะนำเรื่องใดมาใส่ใจ อีกอย่าง นางก็ไม่ได้มีเรื่องเคียดแค้นอะไรกับเขา นางไม่มีวันลงมือทำร้ายเขาเป็นแน่ แต่ถึงอย่างไร เรื่องที่น่าแปลกนั่นก็คือจิ่วเยี่ยเมินเฉยต่อทุกคนในราชวงศ์ซวนหยวน ยกเว้นแต่เพียงซวนหยวนชิงอวิ๋น
ซวนหยวนชิงอวิ๋น เขามีอะไรพิเศษ ?
หลังจากสนทนากันเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีพบว่าจิ่วเยี่ยยังไม่กลับจวนเยี่ยอ๋อง นางยืดแขนยืดมือยืดอกบิดขี้เกียจก่อนจะกล่าว จิ่วเยี่ย วันนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยมาก อยากพักผ่อนเร็ว ๆ หน่อย
อืม
ถึงแม้เขาจะรับรู้แล้ว ทว่าก็ดูเหมือนจะไม่รับรู้ถึงเจตนาของนางที่อยากจะบอกเป็นนัย ๆ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าในใจของมู่เฉียนซีนั้น กล่าวคำว่า ‘กลับไปก่อนสิเจ้าก้อนน้ำแข็งนี่!’
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย นางไม่มีทางเลือก นางง่วงแล้ว จิ่วเยี่ย เจ้า… เอ่อ… ตามสบายเลยนะ อ้อ แล้วอย่ามาโทษว่าข้าต้อนรับเจ้าไม่ดีล่ะ
ในตอนนี้นั้น ความรู้สึกของมู่เฉียนซี จิ่วเยี่ยมิใช่เป็นแขกอีกแล้ว ทว่ากลับเป็นคนคุ้นเคยก็ว่าได้ กล่าวจบนางก็ไปพักผ่อนตามสบาย
เช่นเคย หลังจากที่นางหลับสนิท จิ่วเยี่ยถึงจะกลับไป
ทันทีที่จิ่วเยี่ยกลับไปถึง พ่อบ้านไป๋ก็เดินเข้ามาหาเขา นายท่าน ราชสำนักนำพระราชโองการของฮ่องเต้มาส่ง จะจัดการอย่างไรดีขอรับ ?
วางไว้
ขอรับ
เจ้าลูกชายคนนี้! ไม่คิดเลยว่าจะกล้าฆ่าคนของข้า ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ซวนหยวนจือกล่าวด้วยโทสะคุกรุ่น ใบหน้าเขาแดงหน่อย ๆ ขันทีที่เขาให้ไปส่งพระราชโองการโดนฆ่าสังหารชนิดที่ว่าศพไร้ที่ฝัง
เกากงกงกล่าว ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าองค์ชายจิ่วเยี่ยคงจะไม่พึงพอใจกับการอภิเษกนี้เป็นแน่ เขาจึงโกรธเช่นนั้น หากเรามองดูดี ๆ เขาไม่กล้าทำอะไรกับพระองค์ แต่หากเป็นนางสตรีผู้นำตระกูลมู่คนนั้น เวลานี้อาจจะตายไปแล้วก็ได้พ่ะย่ะค่ะ
อืม ข้าหวังว่าวันพรุ่งข้าจะได้ยินข่าวการตายของผู้นำตระกูลมู่ ซวนหยวนจือกล่าวน้ำเสียงเย็นชาสีหน้าสะใจ
สิ่งที่ซวนหยวนจือมุ่งหวังให้เป็นก็คือ… จิ่วเยี่ยจะปลิดชีพว่าที่พระชายาให้เป็นโครงกระดูกเสียในคืนนี้ เขาไม่มีทางคิดว่าในความเป็นจริง จิ่วเยี่ยจะมาเยี่ยมว่าที่พระชายาถึงจวนและเพื่อแสดงตัวต่อนาง อีกทั้งยังเฝ้านางจนหลับกว่าจะกลับตำหนัก ทั้งยังสุภาพบุรุษ มิแตะต้องนางแม้แต่ปลายเส้นผม
วันต่อมาซวนหยวนจือไม่ได้รับข่าวดีอย่างที่หวังเอาไว้ สีหน้าพลันเครียดคล้ำ จิ่วเยี่ย! เจ้าชาชิงบุตรชายของเขานั่น ไม่ได้ลงมือทำอะไรนางแม้แต่น้อย เป็นไปได้อย่างไร ?
กราบทูลฝ่าบาท ตระกูลมู่ส่งคนมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ
เชิญตัวเข้ามา
ตระกูลมู่ส่งคนนำสินสอดทองหมั้นมามอบให้ ขณะที่ซวนหยวนจือต้องจำใจมอบโฉนดเหมืองวิญญาณแห่งเดียวของแคว้นจื่อเยี่ยเพื่อเป็นสินสอดทองหมั้นให้กับนาง
มู่เฉียนซีรับโฉนดที่ดิน กล่าวขึ้นทันที เตรียมส่งคนไปขุดเหมืองวิญญาณ
ที่เรียกว่าเหมืองวิญญาณก็เป็นเพราะว่าสามารถขุดหยกชนิดหนึ่งที่สามารถเก็บพลังวิญญาณเอาไว้ได้ จอมภูตสามารถดูดพลังวิญญาณจากหยกในการฝึกฝนได้มากกว่าดูดพลังจากท้องฟ้าหลายเท่าตัว เหมืองวิญญาณพบเห็นได้ยากนัก ในเซี่ยโจวนั้นมีน้อยมาก ส่วนในแคว้นจื่อเยี่ยมีเพียงหนึ่งเดียวและคุณภาพก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่
ขอรับท่านผู้นำ ข้ารับใช้รับน้อมรับคำสั่งของท่านผู้นำตระกูล
……
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเวลาแห่งการประมูลยาจักรพรรดิหวงหลัวตานระดับเจ็ดก็มาถึงในที่สุด แน่นอนว่าการประมูลในครั้งนี้เป็นการประมูลที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก มู่เฉียนซีเองก็ไม่พลาดการประมูลในครั้งนี้
นางปลอมตัวไปที่บ้านประมูลอับดับหนึ่งอีกครั้ง
คุณชายมู่ เชิญที่ห้องรับรองได้เลย ข้าจัดเตรียมห้องรับรองให้คุณชายแล้ว เมื่อมู่เฉียนซีมาถึง หมอไป๋ก็มาต้อนรับอย่างดี
ขอบคุณท่านหมอไป๋ ท่านนำไปได้เลย
เมื่อเปิดประตู มู่เฉียนซีก็ผงะไปครู่หนึ่ง เห็นร่างอันเย็นยะเยือกของบุรุษหนุ่มนั่งอยู่ภายในห้อง ส่วนท่านหมอไป๋อึ้งงัน พลางนึกสงสัยในใจ ‘เหตุใดถึงมีคนอยู่ในนี้ได้’
เยี่ยอ๋อง ท่านไม่ใช่… เมื่อหมอไป๋ได้สบตากับดวงตาอันเย็นยะเยือกของซวนหยวนจิ่วเยี่ยก็พลันหยุดพูด
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นว่า จิ่วเยี่ยเป็นสหายของข้า ท่านหมอไป๋ไปทำธุระของท่านเถอะ
หมอไป๋ที่มีอาการหวาดกลัว เหงื่อเย็นผุดเอาผุดเอาจนไหลโชก เมื่อได้ยินมู่เฉียนซีกล่าวก็รู้สึกโล่งราวยกภูเขาออกจากอก
ชะ… เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน
มู่เฉียนซีพยักหน้า เดินเข้าไปในห้อง กล่าวถามขึ้นว่า จิ่วเยี่ย ข้าจำได้ว่าห้องรับรองของเจ้าอยู่ห้องข้าง ๆ มิใช่รึ ?
ผิดแล้ว มันคือห้องนี้ ข้ามาที่ห้องนี้ จิ่วเยี่ยกล่าวเบา ๆ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นถามนาง เจ้าจะไล่ข้ารึ ?
อึก! ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ข้าจะไล่เจ้าไปได้อย่างไรกันเล่า ? ฮ่า ๆ เจ้าก็ทำตึงเครียดไปได้ วันนี้เจ้าตั้งใจจะมาดูอะไรสนุก ๆ สินะ ดูคนเดียวสนุก แต่ว่าดูสองคนน่าจะสนุกยิ่งกว่า ฮ่า ๆ ๆ มู่เฉียนซีลอบกลืนน้ำลายลงคอ รีบกล่าวทำทีเป็นเล่นกลบเกลื่อน ถึงอย่างไรนางก็สู้เขามิได้
ดี
การประมูลกำลังจะเริ่มขึ้น หัวหน้าการประมูลในครั้งนี้ยังคงเป็นไฉ่ซวน นางโปรยยิ้มอันทรงเสน่ห์ให้บรรดาผู้ร่วมงานประมูลก่อนจะกล่าวขึ้นว่า ทุกท่าน ข้ามีความยินดีที่ได้มาพบกัน สำหรับวันนี้ ช้าเชื่อว่าเป็นการประมูลที่ทุกคนรอคอยเพราะมันน่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดในแคว้นจื่อเยี่ย การประมูลครั้งนี้เป็นการประมูลสินค้าเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ทุกท่านคงพอจะทราบกันดีแล้วว่าเป็นสิ่งใด
เฮ! เฮ! เฮ!
ยาระดับเจ็ด!
หวงหลัวตาน!
ยาวิเศษที่ว่านี้มิได้ประกาศออกไปก่อนหน้านี้ เพิ่งจะมาประกาศให้ทุกคนรู้เอาเดี๋ยวนี้ เมื่อทุกคนได้ยินว่ามีความมั่นใจได้ถึงเจ็ดสิบส่วนในหนึ่งร้อยส่วน คนทั่วทั้งบ้านประมูลอันดับหนึ่งก็เปรียบเสมือนมีพลังใจอันแรงกล้า ผู้คนลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง
‘เจ็ดสิบในหนึ่งร้อยส่วนเชียวรึ ? ในเซี่ยโจวมิเคยมีนักปรุงยาใดสามารถปรุงยาเช่นนี้ได้มาก่อน ยานี่อาจจะทำให้ก้าวไปอยู่ตำแหน่งจักรพรรดิเชียวนะ’ เหล่าผู้คนเกือบทั้งบ้านประมูลผุดความคิดขึ้นในหัว
ยาจักรพรรดิหวงหลัวตานระดับเจ็ดและยาวิเศษนั้น ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาจะต้องครอบครองมันให้ได้
ไฉ่ซวนยิ้ม กล่าวว่า ยาจักรพรรดิหวงหลัวตานระดับเจ็ดไม่จำกัดราคาขั้นต่ำและไม่จำกัดการเพิ่มราคา ตอนนี้ก็ถึงเวลาอันควรแล้ว เริ่มการประมูลได้!
ข้าให้สิบล้าน!
เมื่อไฉ่ซวนกล่าวจบ เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น เจ้าของเสียงอันอ่อนโยนนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นซวนหยวนหลี่ซางที่นั่งอยู่โดยมีผู้ที่อยู่ข้าง ๆ เขาคือฮ่องเต้แห่งแคว้นจื่อเยี่ย—ซวนหยวนจือ
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงฮ่องเต้ ไม่ต้องลงมือประมูลเองแต่จะพึ่งพาบุตรชายเป็นคนลงมือประมูลแทน
สิบล้านหนึ่งแสน!
หลังจากซวนหยวนหลี่ซางให้ราคาแรก ผู้ที่เพิ่มราคาสูงกว่าคือโอวหยางจู แน่นอนว่าเมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ‘ตระกูลโอวหยางคิดจะก่อกบฏรึ ?!’
สิบล้านสองแสน!
สิบล้านสามแสน!
ต่อมาเศรษฐีตระกูลใหญ่ของแคว้นชิงก็เริ่มแข่งราคาจนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดซวนหยวนหลี่ซางทนไม่ไหว ตะโกนราคาพุ่งสูงเสียดฟ้าออกไป
สามสิบล้าน!
ถึงอย่างไรมังกรก็ต้องเหนือกว่างู เหล่าบรรดาเศรษฐีตระกูลใหญ่แคว้นชิงต่างต้องก้มหน้ายอมแพ้กับราคาที่สูงลิ่วถึงเพียงนี้ พวกเขาเป็นเศรษฐีมีเงินก็จริง ทว่าการเดินทางมาไกลเช่นนี้พวกเขาไม่ได้นำเอาจำนวนมหาศาลเช่นนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งพวกเขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าฮ่องเต้แห่งจื่อเยี่ยจะยอมขายโอรสของตัวเองเพื่อนำเงินทองมาประมูลในครั้งนี้ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!
ทว่า… ในตอนที่ผู้คนอ้าปากค้างให้กับราคาประมูลสามสิบล้าน เสียงอันสดใสของใครบางคนดังก้องขึ้น สามสิบเอ็ดล้าน
ครั้งนี้ บุคคลที่เสนอราคา เป็นผู้ที่ไม่มีใครคาดคิดนั่นก็คือ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลอวิ๋น—อวิ๋นซินหราน
ตระกูลอวิ๋นเป็นหนึ่งในสามของตระกูลราชวงศ์ ถึงแม้ว่าเป็นตระกูลขุนนางแต่ยศถาบรรดาศักดิ์มิได้น้อยหน้าไปกว่าตระกูลโอวหยางเลย อันที่จริงดูเหมือนจะสูงศักดิ์กว่าตระกูลโอวหยางเสียด้วยซ้ำ
ผู้คนในที่นี้มิมีผู้ใดคาดคิดว่าตระกูลอวิ๋นจะกล้าแย่งประมูลยาจักรพรรดิหวงหลัวตานระดับเจ็ดกับฮ่องเต้
บัดซบ!
ซวนหยวนจือบีบแก้วที่อยู่ในมือแน่นเสียจนแตกละเอียด มือถูกแก้วบาดเลือดไหลก็ยังไม่สนใจ กลับกล่าวด้วยความโกรธ
ตระกูลอวิ๋น ช่างกล้านักนะที่คิดแย่งประมูลกับข้า!
คู่แข่งประมูลจากแคว้นชิงก็ได้พ่ายแพ้ให้ฮ่องเต้ไปแล้วอย่างราบคาบ ไม่คิดเลยว่าตระกูลขุนนางแคว้นตนเองทั้งสองตระกูลจะกล้าขวางทางเช่นนี้!
.