— ปัง! —
ทันใดนั้น พลังอันทรงพลังตบโอวหยางเหว่ยลอยกระเด็นออกไป
พรวด! โอวหยางเหว่ยที่อ่อนแอแต่เดิมอยู่แล้ว กระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง
หากมิใช่เพราะมู่เฉียนซีต้องการข้อมูลบางอย่างจากปากของโอวหยางเหว่ย เกรงว่าป่านนี้จิ่วเยี่ยคงได้ทำให้นางกลายเป็นโครงกระดูกขาว ๆ ไปแล้ว
เยี่ยอ๋อง! เจ้ากับเยี่ยอ๋องนั้นรักชอบกัน เยี่ยอ๋องคือผู้ล้างพิษให้เจ้าใช่หรือไม่ ? ที่แท้เจ้าก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเยี่ยอ๋องแต่แรกอยู่แล้ว มิน่าละ ข้าก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดเยี่ยอ๋องถึงได้ปกป้องเจ้า ปกป้องตระกูลมู่นัก ตระกูลโอวหยางของข้า… ตระกูลโอวหยางของข้า… ก้นบึ้งหัวใจโอวหยางเหว่ยเย็นยะเยือก
ถ้าหากรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมู่เฉียนซีกับซวนหยวนจิ่วเยี่ยแต่แรก ต่อให้นางมีความกล้ามากเป็นหมื่นเล่มเกวียน นางคงไม่กล้าที่จะกลั่นแกล้งให้มู่เฉียนซีถึงแก่ความตาย กระนั้นตระกูลโอวหยางก็คงจะไม่เป็นปฏิปักษ์กับตระกูลมู่
แต่ว่า… ทองคำพันชั่งนั้นก็ยากที่จะซื้อคำว่า ‘ถ้ารู้แต่แรก’
ทุกอย่างสายเกินแก้ไปแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวถามน้ำเสียงเย็นชา บอกข้าสิว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ขอแค่เจ้าบอกข้า นอกจากคนตระกูลโอวหยาง แม้แต่คนที่เคยมีความคิดที่จะฆ่าข้า ข้าก็จะไม่ไปยุ่ง
— ฉวก! —
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น มีบางอย่างพุ่งตรงเข้าใส่ลำคอโอวหยางเหว่ย
— ฉึก! —
ทว่าลูกธนูสีดำสนิทที่มีเป้าหมายสังหารปิดปาก ถูกกันไว้ได้โดยเยี่ยอ๋อง
อ๊า! ฉับพลันทันใดโอวหยางเหว่ยร้องโหยหวนออกมา
น่ากลัวนัก!
เวลานี้มีแมลงสีดําตัวหนึ่งทะลุผ่านหัวใจของนาง มันกระโดดออกมา นางเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง เจ้า… เป็นเจ้าที่กลับจะเอาชีวิตข้า
เหอะ! มันช่างเป็นแมลงที่น่าขยะแขยงจริง ๆ มู่เฉียนซีกล่าวเย็นชา
จุ๊ ๆ นางหยิบยาพ่นออกมา ไม่รอช้าพ่นยาใส่แมลงสีดำน่าเกลียดตัวนั้น ไม่นานนักร่างของแมลงนั่นก็สลายหายไป
— ปัง! —
เจ้ามือลอบสังหารนั่น หนีไม่พ้นการตามล่าของซวนหยวนจิ่วเยี่ย จิ่วเยี่ยจับเขาได้ เขาสิ้นหวังจึงกินยาพิษปลิดชีพตนเอง
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะระวังตัวเป็นพิเศษ พวกมันไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย เฮ้อ! มู่เฉียนซีถอนหายใจยาว
โอวหยางเหว่ยแมลงทะลุอกตายไปแล้ว เบาะแสขาดหายไปชั่วคราว ช่างน่าหน่ายใจแท้ ๆ
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอกลับจวนก่อนแล้วกัน
ข้าจะไปส่งเจ้า จิ่วเยี่ยเดินตามเงาของมู่เฉียนซีไป มู่เฉียนซีมิได้ขัดใจเขา ถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยเถียงชนะเขาแม้สักครา
……
วันต่อมา เหล่าผู้คนในเมืองจื่อตูมาพบศพโอวหยางเหว่ยเข้าในมุมนี้ ภายในชั่วพริบตาข่าวลือต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับโอวหยางเหว่ยแพร่กระจายออกไป ทำให้คนในตระกูลโอวหยางเอาถังน้ำคลุมศีรษะแทบไม่ทัน พวกเขาไม่มีหน้าไปพบใคร
โอวหยางจูกล่าว เขาบันดาลโทสะอย่างหนัก โอวหยางเหว่ยนางหญิงบาป ต่อให้เจ้าต้องไปตายบนหลุมศพกองพะเนิน ก็อย่าได้มาตายอยู่กลางถนนกระนั้นเลย มันทำให้ตระกูลโอวหยางของเรามีแต่ความมืดดำ
โอวหยางจื่อกล่าว โกรธเกรี้ยวไม่แพ้บิดา ท่านพ่อ ต้องเป็นฝีมือมู่เฉียนซีแน่ ๆ! พวกเราตั้งหลายคนคอยเฝ้าเหว่ยเหว่ยอยู่ ไม่เช่นนั้นนางจะหนีออกไปได้อย่างไร ? มู่เฉียนซีสมควรตาย
โอวหยางจู ตอนนี้นางเป็นคู่หมั้นเยี่ยอ๋อง ใครกล้าแตะต้องนาง ? มีข่าวอะไรจากสำนักนิกายเพลิงไฟบ้างหรือไม่ ?
ดวงตาโอวหยางจื่อฉายแววเศร้าหมอง เห็นได้ชัดว่าสำนักนิกายเพลิงไฟไม่อยากที่จะต่อสู้กับซวนหยวนจิ่วเยี่ย บุรุษอย่างเยี่ยอ๋อง เห็นทีเวลานี้ไม่อาจหาผู้ใดมาประมือได้
บัดซบ!
……
วันรุ่งขึ้น การแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะยังคงดำเนินต่อไป และอัจฉริยะห้าคนก็มาถึงแล้ว แต่ละคนจะสู้กับคนสี่คนทีละคน ผู้ชนะในแต่ละรอบจะได้คะแนนหนึ่งคะแนน แน่อนว่าผู้ที่คะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ชนะเลิศ หากคะแนนเท่ากันให้ต่อสู้กันจนเห็นผลแพ้ชนะ
ผู้ที่ลงสนามคนแรกคือมู่เฉียนซี การแข่งคู่แรก มู่เฉียนซีต้องประลองกับเยวี่ยเจ๋อ
เห็นได้ชัดว่าเมื่อพวกเขาได้รู้ประกาศรายชื่อ ผลการแข่งขันเป็นอันรับรู้แล้วเรียบร้อย และที่จินอู๋ถางก็คงจะไม่มีการพนันเกิดขึ้น เพราะผู้ชนะคือมู่เฉียนซีอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเดินขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ เยวี่ยเจ๋อกล่าวออกมาตามที่คาดไว้ ข้ายอมแพ้
มู่เฉียนซีกล่าวตอบ เจ้าไม่อยากวัดพลังกับพี่ใหญ่ของเจ้าหน่อยรึ ? เยวี่ยเจ๋อกล่าวพลางหัวเราะ ข้าไม่อยากลงมือกับพี่ใหญ่ และไม่อยากโดนพี่ใหญ่จัดหนัก ยอมแพ้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เยวี่ยเจ๋อยอมแพ้ มู่เฉียนซียังไม่ทันได้ทำอะไรก็ได้คะแนนมาง่าย ๆ แล้ว
ต่อไปเป็นมู่เฉียนซีประลองกับซวนหยวนชิงอวิ๋น
เมื่อเสียงฝีเท้าที่ฟังดูหล่อเหลานั้นเดินไปที่เวที มู่เฉียนซีมองไปที่ชายผู้อยู่ตรงหน้าในฉับพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้มองดูซวนหยวนชิงอวิ๋นอย่างละเอียดจริงจัง เขาร่างสูง สวมชุดคลุมยาวผ้าไหมขาวนวลผ่องใสราวสีพระจันทร์ ช่างเข้ากับรูปลักษณ์อันสง่างามของร่างกายเขายิ่งนัก มีผ้าไหมสีเขียวสามพันเส้นถูกปิ่นหยกขาวปักไว้ตรงเอว คิ้วหนาโค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาคู่นั้นกระจ่างใสดั่งสายน้ำ แต่กลับเหมือนบ่อน้ำโบราณนิ่งสงบไร้คลื่นใด ๆ
ทั้งงดงามทั้งสง่า แต่ดวงตาของเขานั้นว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่ภายใน ราวกับกล้วยไม้ที่แตกตัวแยกจากกัน
ข้าสละสิทธิ์ไม่ประลอง จะเรียกว่ายอมแพ้ก็ได้ ประโยคแรกที่ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวกับมู่เฉียนซีถูกกล่าวออกมาง่าย ๆ
มู่เฉียนซีตะลึงตาค้าง นางรู้สึกราวกับเหมือนตนได้บารมีของจิ่วเยี่ยทำให้เป็นเช่นนี้ ในสองรอบแรกสามารถชนะการประลองได้อย่างเรียบง่ายผิดปกติ ท้ายที่สุดแล้วที่ต้องมาประลองกับนางคือมู่หรูเหยียน
มู่หรูเหยียนกล่าวกับมู่เฉียนซี ปั้นหน้าอ่อนโยน ซีเอ๋อร์ ไม่ได้เจอกันเสียนาน เจ้าสบายดีไหม ?
มู่หรูเยียน อย่าพูดเรื่องไร้สาระมากความนัก รีบมาตัดสินให้รู้แพ้ชนะกันเถอะ มู่เฉียนซีกล่าวเข้าเรื่องทันที
มีคนต้องการใช้การประลองคัดเลือกอัจฉริยะนี้เพื่อที่จะสังหารนาง อีกห้าคนสุดท้าย เมื่อไม่นับเยวี่ยเจ๋อกับซวนหยวนชิงอวิ๋น จะเหลือมู่หรูเหยียนและผู้ที่ผู้คนต่างเรียกร้องอยากจะเห็นฝีไม้ลายมือ—อวิ๋นซินหราน
หลังจากแข่งขันไปแล้วเท่านั้นถึงจะดูกันออก ถ้าหากซีเอ๋อร์ต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะทำให้สมหวัง มู่หรูเหยียนกล่าวเสียงนุ่มนวล ทว่าแววตามุ่นมั่นจะเอาชนะไม่ปกปิด
พวกเจ้าว่ามู่หรูเหยียนมีโอกาสชนะกี่ส่วน ? เสียงผู้ชมสนทนากัน
ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูหรูเหยียนได้ติดตามอาจารย์ลึกลับ นางมิได้อยู่ในเมืองจื่อตูมาแรมปีแล้ว บางที… นางอาจจะพัฒนาเป็นอย่างมากแล้วก็ได้
ข้าก็ว่าอย่างนั้น กระนั้นพวกเราก็รอดูกันเถอะ
มู่หรูเหยียนแปลงกลายเป็นควันสีขาวพุ่งตรงไปที่มู่เฉียนซี พลังวิญญาณของนางฉีกกระชากอากาศออกจากกัน ทําให้อากาศโดยรอบส่งเสียงดัง
— ฟืดดดด! —
ผู้ชมตกตะลึง พลังวิญญาณเช่นนี้ คุณหนูหรูเหยียนเองก็พัฒนาขึ้นมาเป็นระดับจอมภูตแล้ว
ซวนหยวนหลี่ซางมองควันสีขาวนั่น ความรู้สึกภาคภูมิใจก่อเกิดในอก ความสามารถของมู่หรูเหยียนนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง เรื่องอะไรที่ว่านางได้ใช้สมุนไพรวิญญาณช่วยจึงฝึกมาได้ถึงขั้นนี้ คงจะเป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่มู่เฉียนซีนำมาทำให้นางแปดเปื้อนเพียงเท่านั้น
มู่เฉียนซีหลบการโจมตีไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นพลังของภูตธาตุวารีได้มารวมกันอยู่ที่มือนาง แล้วปล่อยมันโจมตีไปทางมู่หรูเหยียนอย่างไร้ความปราณี
ผนึกมังกรวารี!
ในตอนนี้เอง ผ้าไหมสีขาวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีจากผนึกมังกรวารีของมู่เฉียนซี
— ตูม! —
เสียงสั่นสะเทือนดังมา พลังทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน เงาร่างสีม่วงและสีขาวก้าวถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกัน ดูนั่น มู่หรูเหยียนใช้อาวุธวิญญาณอะไรกันถึงได้สามารถต้านทานการโจมตีธาตุวารีของท่านผู้นำตระกูลมู่ได้
ต้องเป็นอาวุธวิญญาณระดับสามขึ้นไปเป็นแน่ อาวุธเช่นนี้ทั้งแคว้นจื่อเยี่ยมีเพียงไม่กี่ชิ้น คุณหนูหรูเหยียนมีอาวุธวิเศษเช่นนี้ได้ ช่างโชคดีเหลือเกิน
การแข่งขันครั้งนี้น่าจับตามองเสียจริง แม้ท่านผู้นําตระกูลมู่จะเป็นจอมภูตธาตุวารีที่สามารถข้ามระดับได้ แต่มู่หรูเหยียนก็อยู่ในระดับเดียวกันกับนาง แล้วยังมีอาวุธวิญญาณระดับห้าเสียด้วย โอ้! นางจัดว่ามีพลังไม่เบา
ทุกคนต่างตื่นเต้นขึ้นมา จับตามองการต่อสู้ต่อไปแทบไม่ละสายตาจากเวทีประลอง
— ฟึ่บ! —
ร่างของมู่หรูเหยียนเวลานี้ราวเต้นระบํา ร่างกายงดงามนั้นขยับส่ายไปมาราวกับพระชายาเทพกําลังเต้นรํา ดึงดูดสายตาเสียจนเหล่าผู้คนนิ่งอึ้งตะลึงมอง
ช่างงดงาม!
ร่างของมู่หรูเหยียนค่อย ๆ พร่ามัวลงเรื่อย ๆ ภายในผ้าแพรสีขาวนั้นมีจิตสังหารพุ่งมาจากทุกสารทิศ
มู่เฉียนซียืนอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของวังวนที่หมุนไปมาพอดี นางหลับตาลง คิดกับตนเอง ‘วิชาภาพมายา!’
.