บุตรอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 23 หอตำรา

ตอนที่ 23 หอตำรา

ตอนที่ 23

หอตำรา

สุดท้ายไป๋จูเหวินก็เจอที่แห่งหนึ่งในป่าที่เงียบสงบพอจะให้มันได้อยู่คนเดียว แม้จะไม่สวยงามเท่าใต้ต้นเหมยประทับชาด แต่ก็เป็นริมน้ำที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ข้างๆ น้ำในลำธารใสมากเพราะยังไม่โดนกลีบดอกเหมยร่วงใส่ กิ่งของต้นไม้ที่โตอยู่ข้างๆยื่นออกไปกลางลำธารพอให้เป็นที่นั่งเล่นได้สบาย ทำให้ไป๋จูเหวินนึกถึงเหนือสระชีพจรวารีที่มันมักจะนั่งเล่นยามอยู่กับน้ามังกรเสมอ เพียงแค่ต้นไม้เป็นต้นไม้ธรรมดาและน้ำก็เป็นเพียงน้ำธรรมดาเท่านั้น

พรึบ.. ไป๋จูเหวินนำตำราโลหิตปะทุออกมาอ่านอีกครั้ง พลางเริ่มฝึกอย่างตั้งใจ แต่จนกระทั่งพระจันทร์ขึ้นมาลอยเหนือหัวของมัน ไป๋จูเหวินก็ยังไม่สามารถดึงเอาพลังวิญญาณเข้ามาในจุดตันเถียนได้เลย

แม้จะยังทำไม่สำเร็จ แต่ไป๋จูเหวินก็พอจะทราบแล้วว่าทำไมมันถึงดึงพลังวิญญาณเข้ามาไม่ได้ สาเหตุหลักๆคือร่างของมันยังมีพลังอสูรอยู่ภายใน พลังทั้งสองต่อต้านกันเองทำให้ช่วงเวลาที่ดึงเอาพลังวิญญาณเข้ามาพลังอสูรจะต่อต้านและดันมันออก ทำให้ปัญหาตอนนี้คือ พลังอสูรในร่างของมันแข็งแกร่งกว่าพลังวิญญาณจนเกินไปนั่นเอง

วูบ… ไป๋จูเหวินเลื่อนฝ่ามือออกมาข้างหน้า พริบตานั้นน้ำในสระเบื้องล่างก็ลอยขึ้นมาภายในมือของมันอย่างว่าง่าย พลังอสูรของไป๋จูเหวินอยู่ในระดับเงินขั้น 5 อีกครึ่งระดับก็จะเลื่อนเป็นระดับทองอยู่แล้ว ทำให้การควบคุมธาตุจากภายนอกกระทำได้อย่างง่ายดายมาก

วูบ.. บอลน้ำในมือของมันหมุนวนอย่างรวดเร็วด้วยพลังอสูรที่ไป๋จูเหวินปล่อยออกมา กระสุนน้ำนี้เป็นสิ่งที่น้าจิ้งจอกเป็นผู้สอน การหมุนมันอย่างรุนแรงก่อนจะทำการโจมตีนั้นทำให้ผลที่ได้รุนแรงกว่าการปล่อยกระสุนน้ำออกไปเฉยๆมาก แต่นั่นก็ทำให้เสียพลังอสูรมากขึ้นด้วย

แน่นอนว่าไป๋จูเหวินไม่ได้คิดจะโจมตีใครเพราะตรงที่มันอยู่ก็มีเพียงตัวมันเท่านั้น ไม่มีแม้แต่สัตว์ป่าด้วยซ้ำ แต่การที่มันเรียกบอลน้ำออกมาหมุนเล่นในครั้งนี้กระทำเพื่อผลาญพลังอสูรอย่างเปล่าประโยชน์เท่านั้น ในเมื่อพลังอสูรของมันแข็งแกร่งกว่าพลังวิญญาณมาก จนพลังวิญญาณในร่างสู้พลังอสูรไม่ไหว มันก็มีอีกทางเลือกหนึ่งคือทำให้พลังอสูรในร่างอ่อนแรงลงนั่นเอง แต่ไม่ทราบว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ แก่นอสูรของมารดามันมีความสามารถฟื้นฟูพลังอสูรที่ไวมาก ทำให้พลังอสูรในร่างลดและฟื้นฟูอย่างรวดเร็วในอัตราพอๆกัน

ซ่า!! หลังจากหมุนกระสุนน้ำมาได้พักใหญ่ ในที่สุดพลังอสูรของไป๋จูเหวินก็ลดลงในปริมาณที่น่าพอใจ มันสลายการควบคุมกระสุนน้ำจนกระสุนน้ำแตกกระจายกลับลงไปในลำธาร มันไม่รอให้พลังอสูรฟื้นคืนแต่อย่างไรมันรีบชักจูงพลังวิญญาณเข้ามาในตันเถียนทันที

กึก… ร่างของไป๋จูเหวินเกร็งทันทีเมื่อพลังอสูรเริ่มตีกันในจุดตันเถียนของตน แม้พลังอสูรจะน้อยกว่าเพราะไป๋จูเหวินพึ่งใช้มันจนหมด แต่อัตราการฟื้นฟูก็รวดเร็วมากทำให้ในเวลาไม่นานพลังอสูรก็ดันเอาพลังวิญญาณออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับยังพอมีพลังวิญญาณหลงเหลืออยู่ในร่างของเขาบ้าง ทำให้ไป๋จูเหวินพอใจเป็นอย่างมาก เขาเงยหน้ามองพระจันทร์ที่ล่วงเลยกลางหัวไปนานแล้วพลางถอนหายใจออกมา แม้จะยังไม่ถึงระดับ ก่อกำเนิด ขั้นที่ 1 แต่ในร่างของไป๋จูเหวินก็พอจะมีเศษเสี้ยวพลังวิญญาณอยู่บ้าง แต่ด้วยเวลาที่ล่วงเลยมานานแล้ว ทำให้ไป๋จูเหวินตัดสินใจเดินทางกลับห้องพักของตนเอง หากมันหายไปต้าชิงและต้าเฉินคงเป็นห่วงแน่นอน….

แต่พอกลับมา ไป๋จูเหวินกลับคิดว่าตัวมันกังวลเกินไป ต้าชิงและต้าเฉินต่างยังไม่มีใครนอนเลยแม้แต่คนเดียว พวกมันฝึกฝนเคล็ดโลหิตปะทุทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน และจากที่ไป๋จูเหวินใช้ดวงตาสีม่วงเพ่งมองผ่านกำแพงห้อง พลังของต้าชิงและต้าเฉินก็ก้าวหน้าเข้าสู่ระดับ ก่อกำเนิด ขั้นที่ 4 ไปแล้ว สร้างความพึงพอใจให้แก่ไป๋จูเหวินอย่างมาก

แต่เดิมต้าชิงและต้าเฉินขาดปัจจัยในการพัฒนาพลังฝีมือไป 2 อย่าง นั่นคือร่างกายที่ไม่เหมาะจะพัฒนาพลังวิญญาณ แต่เมื่อไป๋จูเหวินปรุงยาให้ เส้นชีพจรวิญญาณในร่างก็ถูกปลดออกทำให้สามารถฝึกฝนได้ง่ายดายยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาไปต่อได้อีกเพราะพวกมันไม่รู้เคล็ดการฝึกฝน แต่เมื่อวานมันทั้งคู่ได้รับเคล็ดโลหิตปะทุมาไว้ในมือ ทันทีที่เริ่มฝึกด้วยเส้นชีพจรที่ขยายกว้างกว่าเดิมทำให้การฝึกของพวกมันรวดเร็วกว่าคนธรรมดามาก ไม่นานพวกมันต้องก้าวข้ามระดับก่อกำเนิดไปได้แน่ๆ

 ศิษย์น้อง อาจารย์ลี่ให้ข้ามาตามพวกเจ้า รอจนรุ่งเช้า ศิษพี่สี่หรือจิงหลิงก็เป็นผู้มาตามทั้งสาม ทำให้ต้าชิงและต้าเฉินต้องหยุดฝึกฝนอย่างช่วยไม่ได้ ความรู้สึกที่สามารถฝึกฝนได้ดั่งใจนั้นสร้างความตื่นเต้นให้พวกมันทั้งสองมาก หากศิษย์พี่จิงหลิงเพียงตามพวกมันไปทานอาหาร พวกมันคงปฏิเสธไปแล้ว แต่ศิษย์พี่มาตามพวกมันไปเลือกวิชายุทธตามที่อาจารย์ลี่บอกไว้เมื่อวาน ทำให้พวกมันไม่มีทางเลือกต้องออกมาแต่โดยดี เพราะไม่ว่าจะอย่างไรการฝึกฝนวิชาต่อสู้ย่อมสำคัญกว่าการฝึกฝนพลังวิญญาณในสำนักธาณโลหิตแห่งนี้

 พวกเจ้า…ก้าวหน้าไปได้ไวทีเดียว หลังจากออกมา จิงหลิงก็อดชื่นชมไม่ได้ ไป๋จูเหวินเริ่มมีพลังวิญญาณภายในร่างแล้ว แม้จะยังไม่มากก็ตาม สำหรับคนที่พึ่งเคยฝึกฝนพลังวิญญาณสิ่งที่ยากที่สุดคือการสัมผัสพลังวิญญาณในร่างของตน การที่ไป๋จูเหวินเริ่มมีพลังวิญญาณแล้วทำให้เธอมั่นใจว่าเขาต้องฝึกฝนต่อไปได้ไม่ยาก ส่วนต้าชิงและต้าเฉินนั้นสามารถข้ามระดับขั้น 3 มาเป็นขั้น 4 ได้ก็น่าชื่นชมเช่นกัน

 ตามมาเถอะ อาจารย์ลี่รออยู่ จิงหลิงว่าพลางเดินนำทั้งสามคนไปอย่างช้าๆ ระหว่างทางไป๋จูเหวินได้พบพี่ใหญ่เฟิงชิวโดยบังเอิญ เขาขยิบตาให้ไป๋จูเหวินเล็กน้อยพลางยิ้มอย่างทะเล้น ท่าทางจะพยายามเตือนให้เขาจำสัญญาเมื่อคืนเอาไว้

ห้องเก็บตำราของสำนักธารโลหิตอยู่ที่ทางเหนือของสระโลหิต ที่นี่ตั้งอยู่ก่อนถึงเรือนเจ้าสำนักไม่มาก ทำให้ไม่ค่อยมีศิษย์คนไหนเดินทางมานัก หากไม่ใช่คนที่ต้องการมาร่ำเรียนวิชาเพิ่มก็มีแต่อาจารย์เท่านั้นที่เข้ามา

 ทางนี้ อาจารย์ลี่พูดพลางโบกมือให้ทั้งสี่ที่พึ่งมาถึง แม้จะเป็นยามเช้าแต่ใบหน้าของอาจารย์ลี่ก็หมองคล้ำเช่นเดิม

 ที่นี่คือหอตำราของสำนักธารโลหิต พวกเจ้ามาลงชื่อที่นี่ อาจารย์ลี่พูดจบก็พาไป๋จูเหวินและต้าชิงต้าเฉินมาที่หน้าหอตำรา ที่นี่มีห้องเล็กๆห้องหนึ่งสร้างเอาไว้ที่ทางเข้าราวกับเป็นด่านตรวจคนเข้าเมือง ภายในห้องมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเฝ้าอยู่พร้อมจ้องมองมายังพวกไป๋จูเหวินที่พึ่งมาใหม่

 ศิษย์ใหม่หรือ ชายวัยกลางคนถามพลางส่งพลังวิญญาณออกมา พลังวิญญาณที่ปล่อยออกมาเข้มข้นอย่างมาก บางทีอาจจะมากกว่าอาจารย์ลี่เสียอีก

 ข้าพาพวกเขามาลงทะเบียน ท่านรองเจ้าสำนักโปรดมอบแผ่นไม้ให้พวกเราด้วย อาจารย์ลี่กล่าวพลางเดินมาบังพลังแรงกดดันให้ทั้งสาม

 เขียนชื่อพวกเจ้าลงบนแผ่นไม้นี่ซะ หอตำราแห่งนี้ไม่ได้ลงทะเบียนยุ่งยากอะไรนัก เพียงเขียนชื่อลงบนแผ่นไม้ที่แกะสลักตราของสำนักเอาไว้เท่านั้น ในการเข้าหอตำราแต่ละครั้ง ต้องนำแผ่นไม้มาให้ท่านรองเจ้าสำนักเก็บเอาไว้และรับกลับเมื่อออกไป กฎของหอตำราแห่งนี้มีเพียงข้อเดียวคือห้ามนำตำราเล่มใดก็ตามออกไปโดยเด็ดขาด หากต้องการศึกษาที่ห้องพัก ศิษย์สำนักสามารถคัดลอกใส่กระดาษที่มีจำหน่ายในหอตำราเพื่อคัดลอกไปฝึกฝนได้

 คนละ 3 เหรียญทอง ขณะเขียนชื่อลงบนป้าย อยู่ๆท่านรองเจ้าสำนักก็บอกราคาของป้ายไม้พวกนี้ออกมา

 3 เหรียญทอง.. ต้าชิงชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินของมันเองออกมา ภายในมีเหรียญเงินจำนวนหนึ่งให้มันใช้สอยได้ในโลกภายนอก แต่ 3 เหรียญทองนั้นออกจะเยอะเกินไป

 ไม่ต้องห่วง เจ้าสามารถผ่อนจ่ายได้ รองเจ้าสำนักว่าพลางยักไหล่ สำนักของมันเปิดให้สมัครฟรี และพักฟรีเท่านี้ก็ช่วยเหลือศิษย์มากแล้ว แถมเคล็ดวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณพวกมันก็ให้ฝึกกันอย่างอิสระไม่หวงแหนเลยแม้แต่น้อย แต่วิชาต่อสู้นำสักของพวกมันนับว่าโดดเด่นที่สุดในเขตนี้เลยก็ว่าได้ หากจะเรียนก็ต้องจ่ายค่าเรียนนิดหน่อยเพื่อบำรุงรักษาสำนักสิ จริงหรือไม่

 นี่ขอรับ ไป๋จูเหวินเห็นต้าชิงและต้าเฉินไม่หยิบเงินออกมา มันจึงวางก้อนทองที่มันเคยจะจ่ายให้เสี่ยวเอ้อในเมืองก่อนหน้านี้ลงบนโต๊ะของรองเจ้าสำนัก ทำเอารองเจ้าสำนักนิ่งไปทันที คราวก่อนมันพยายามใช้ทองก้อนเช่นนี้จ่ายค่าโรงแรม แต่เสี่ยวเอ้อกลับไม่รับจนต้องให้พี่ต้าชิงจ่ายค่าโรงแรมให้แทน

 ดะ ดีมาก รองเจ้าสำนักว่าพลางเก็บก้อนทองมาหาตนอย่างรวดเร็ว ถึงจะเก็บเงินแต่ศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักธารโลหิตค่อนข้างจะจนกันไม่น้อย แถมอยู่ในสำนักยังไม่ค่อยมีวิธีหาเงินศิษย์ที่ยังไม่ได้ออกไปดูโลกภายนอกจึงยังค้างค่าเข้าหอตำราเสียส่วนใหญ่ แม้แต่บางคนที่ออกไปชมโลกภายนอกแล้วก็ยังไม่ได้จ่ายค่าเข้าหอตำราก็มี ทำเอาสำนักแทบจะติดตัวแดงอยู่รอมร่อ สำนักของมันเป็นสำนักเล็กจึงไม่ได้เงินสนับสนุนจากเจ้าครองเขต ทำให้สำนักของมันยืนด้วยลำแข้งของตนเองจริงๆ

 ข้าจะนำมันไปขายแล้วจะให้จิงลี่นำเงินทอนไปให้เจ้า รองเจ้าสำนักว่าพลางมองก้อนทองในมือ มันไม่สามารถตัดสินราคาก้อนทองได้อย่างแม่นยำ มันจึงต้องนำไปขายให้ช่างหลอมทองในเมืองเสียก่อน

 ถ้าเช่นนั้นหักค่าเข้าสำหรับพี่ต้าชิงและต้าเฉินในทีเดียวเลยได้หรือไม่ขอรับ ไป๋จูเหวินถาม

 แน่นอนว่าย่อมได้ รองเจ้าสำนักว่าพลางเก็บก้อนทองลงใต้โต๊ะ นานๆจะมีศิษย์ใหม่เข้ามา แถมพวกมันยังชำระค่าเข้าหอตำราตั้งแต่แรกอีก สร้างความพึงพอใจให้แก่รองเจ้าสำนักผู้ตรวจสอบบัญชีของสำนักอยู่เสมอไม่น้อย

 ระ เราเข้าไปกันเถอะ อาจารย์ลี่ว่าพลางยิ้มเจื่อนๆ มันพอจะรู้อยู่หรอกว่าสำนักของพวกมันไม่ได้มีเงินมากมาย แต่ท่านรองเจ้าสำนักทำไมต้องทำตาเป็นประกายหลังจากไป๋จูเหวินวางทองก้อนไว้บนโต๊ะกัน ไม่ใช่ว่าท่านคิดจะหากำไรจากลูกศิษย์หรอกนะ….

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 23 หอตำรา

 

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล

Status: Ongoing

ตุบ! เสียงบางอย่างตกลงมาจากที่สูงทำเอาภายใต้ช่องเขาแห่งนี้เกิดเสียงสะท้อนเลื่อนลั่นไปรอบบริเวณ แต่ถึงจะสร้างเสียงดังเพียงใดก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยู่บริเวณนี้ทั้งสิ้น

วูบ… ร่างสีขาวหมดจดร่างหนึ่งปรากฏยังตำแหน่งที่เสียงดังนั้นปรากฏ แม้จะไม่มีมนุษย์แต่สถานที่แห่งนี้กลับเป็นถิ่นที่อยู่ของอสูรตนหนึ่ง มันมีเรือนร่างแปลกพิสดาร ทั่วร่างเป็นสีขาวหม่นหมองทั้งร่าง รูปร่างของมันจะว่าเหมือนแมงมุมหรือก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเหมือนมังกรหรือก็ไม่ชัดเจน ทุกคนต่างเรียกขานมันว่าฝันร้ายสีขาว มันเป็นตัวตนที่สร้างความหวาดกลัวให้ทั้งมนุษย์และอสูรด้วยกัน

แกร๊ก ทันทีที่ขาหนึ่งของมันก้าวมาถึงตำแหน่งเสียง ดวงตาทั้ง 8 ของมันก็จดจ้องไปยังร่างของเด็กชายที่ตกลงมาจากหน้าผาด้วยท่าทีประหลาดใจ เหตุใดมนุษย์ถึงไม่ตายหลังจากตกลงมาลึกขนาดนี้ ที่ๆมันอาศัยอยู่ถูกเรียกว่าผาไร้ก้น เพราะหากมองจากด้านบนจะไม่สามารถเห็นก้นเหวได้เลย แม้แต่มองจากก้นผาก็แทบจะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นด้ายเส้นบางๆเท่านั้น เพราะก้นผาแห่งนี้อยู่ลึกอย่างมาก

ขณะสงสัยอยู่ๆอสูรที่มีร่างกายสีขาวก็เริ่มอ้าปากของมันออกช้าๆ เขี้ยวราวกับแมงมุมของมันอ้าออกเผยให้เห็นปากอันกว้างใหญ่ที่หากจะกินเด็กชายตรงหน้าคงกระทำได้ด้วยการกลืนมันทั้งตัวในคำเดียวเท่านั้น แต่ขณะจะกินเด็กชายลงไปทั้งตัว ปากของมันพลันหยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆหุบกลับเช่นเดิม ดวงตาของมันเพ่งมองเด็กชายที่นอนสลบอยู่บนพื้นด้วยท่าทีนิ่งเฉย ร่างของมันแตกหักยับเยินราวกับตุ๊กตาดินที่ถูกบี้เละเทะ แขนขางองุ้ม ลำตัวแดงบ้างม่วงบ้าง แต่มันกลับยังหายใจอยู่ ด้วยร่างกายที่ยับเยินเช่นนี้มันกลับสามารถประคองชีวิตของมันเอาไว้ได้

 หรือจะเป็นโชคชะตากัน.. อสูรแมงมุมพูดออกมาพลางมองใบหน้าของเด็กชาย ทำไมมันถึงตกลงมาในที่แห่งนี้ได้ ทำไมมันถึงไม่ตาย แล้วทำไมมันถึงไม่คิดจะกินมันกัน…..

แม้แต่ตัวมันยังไม่สามารถหาคำตอบออกมาได้ . . . .

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท