บุตรอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 109 เคล็ดกระบี่เที่ยงแท้

ตอนที่ 109 เคล็ดกระบี่เที่ยงแท้

ตอนที่ 109

เคล็ดกระบี่เที่ยงแท้

ตุบ…ตุบ… เสียงฝีเท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นภายในป่าที่เงียบสงบจนเสียงเดินย่ำผืนดินยังสร้างความรำคาณให้แก่ผู้ได้ยินได้ แต่ถึงอย่างนั้นรอบกายของชายหนุ่มกลับไม่มีสัตว์ตัวไหนรำคาณเลยแม้แต่น้อย กลับกันพวกมันต่างพากันเดินตามชายหนุ่มราวกับชายหนุ่มเป็นคนเลี้ยงดูพวกมันมาเสียอย่างนั้น

 พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ อู๋หมิงพูดพลางมองสัตว์ป่าที่เดินตามตนมาอย่างช้าๆ หลังจากแยกกับอาวุโสเทียนหมิงแล้วตัวอู๋หมิงก็ออกเดินทางไปเรื่อยๆพลางฝึกฝนพลังวิญญาณไปพลางๆ จนถึงตอนนี้ตัวมันเลื่อนขึ้นมาเป็นระดับก่อกำเนิดพลังเซียนแล้วทำให้เหล่าสัตว์ตามกลิ่นไอเซียนของมันมาราวกับสัตว์เลี้ยงไม่มีผิด

แน่นอนว่าอู๋หมิงไม่มีทางเพิ่มพลังฝีมือได้รวดเร็วเช่นนี้ด้วยวิธีธรรมดาสามัยอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้เพราะอู๋หมิงได้รับยาเม็ดหนึ่งมาจากอู๋เทียนเหวินผู้เป็นน้องชาย ยาชนิดนี้เรียกกันว่าเม็ดยาจักรพรรดิ เป็นยาที่สร้างขึ้นเพื่อคนในราชวงก์เท่านั้น นั่นคือสาเหตุที่อู๋เทียนเหวินผู้ชื่นชอบการเที่ยวเล่นและหยอกเย้าสตรีกลับมีพลังเทียบเท่าเหม่ยหลินที่ฝึกมาอย่างหนักได้ ตัวยาชนิดนี้สืบทอดกันมาหลายพันปีจากหมอยาในตำนานท่านหนึ่ง มันสามารถช่วยเพิ่มพลังให้ผู้กินได้จำนวนมาก แต่วัตถุดิบและกระบวนการผลิตยุ่งยากและต้องใช้เงินจำนวนมาก ทำให้มีแต่คนในราชวงก์เท่านั้นถึงจะสามารถหามาได้

แต่เดิมอู๋หมิงเป็นบัตรชายคนแรกขององค์จักรพรรดิ เรียกง่ายๆว่าเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงก์อู๋ก็ว่าได้ แต่เพราะมันชมชอบการฝึกฝนวิชาและนับถืออาวุโสเทียนหมิงอย่างมาก เลยขอติดตามท่านฝึกฝนวิชาตั้งแต่เด็ก ทำให้ตัวมันไม่ได้กินเม็ดยาจักรพรรดิเช่นเดียวกับอู๋เทียนเหวินและพี่ๆน้องๆคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นการเดินทางกับอาวุโสเทียนหมิงก็ได้รับความยินยอมจากองค์จักรพรรดิ อู๋หมิงเลยไม่ได้เสียตำแหน่งองค์ชายไปแต่อย่างไร เมื่อพบเจอกับอู๋หมิง อู๋เทียนเหวินจึงบอกให้บ่าวรับใช้ไปนำยาจากเมืองหลวงมาให้พี่ชาย

ในตอนแรก อู๋หมิงไม่คิดจะกินยาแต่อย่างไร เพราะมันอยากแข็งแกร่งขึ้นด้วยตนเอง แต่เมื่อได้เห็นพัมนาการของไป๋จูเหวินรวมทั้งความเก่งกาจของหยงเวย ตัวมันก็ทนนิ่งฝึกไปตามธรรมชาติไม่ไหว ในที่สุดมันก็ตัดสินใจกินเม็ดยาจักรพรรดิลงไป ไม่น่าเชื่อว่าเพียงกลืนยาลงไปเม็ดเดียวตัวอู๋หมิงจะสามารถเลื่อนขึ้นมาระดับก่อกำเนิดพลังเซียนได้แล้ว ทั้งนี้ต้องขอบคุณความสามารถดั้งเดิมของตัวอู๋หมิงเองเพราะบางคนกินเม็ดยาจักรพรรดิเข้าไป หากไม่มีความสามารถยาก็ทำให้ได้เพียงเลื่อนระดับขึ้นมาครึ่งขั้นเท่านั้น แต่หากมีความสามารถพอ ต่อให้เป็นระดับเหรินเซียนก็ยังสามารบรรลุถึงได้

 คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านต้องการซื้ออะไร ขณะเดินเข้ามาในเมืองแห่งหนึ่ง ชายแปลกหน้าก็เข้ามาทักอู๋หมิงราวกับรู้จักกันดีเสียอย่างนั้น

 ข้ามาหาซื้อเสบียง ไม่ทราบว่าพี่ชายพอจะแนะนำร้านดีๆให่ได้หรือไม่ อู๋หมิงตอบพลางยิ้มบางๆ แม้จะอยู่ขั้นก่อกำเนิดพลังเซียนแล้ว แต่ร่างกายของอู๋หมิงก็ยังเป็นมนุษย์ หากยังไม่ถึงขั้นเหรินเซียนร่างกายของมันก็ยังคงต้องการอาหารและน้ำอยู่บ้าง

 ไว้ใจข้าได้เลย ข้าจะพาคุณชายไปเอง ชายหนุ่มยิ้มกว้างพลางพาอู๋หมิงไปยังร้านขายอาหารแห่งหนึ่ง

 เถ้าแก่ คุณชายท่านนี้ต้องการเสบียง ท่านช่วยจัดเตรียมให้หน่อย ชายหนุ่มว่าพลางยิ้มกว้าง เพียงแต่ร้านอาหารแห่งนี้กลับไร้ผู้คนแม้แต่เถ้าแก่ที่ชายหนุ่มเรียกก็ยังไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับ แน่นอนว่าอู๋หมิงไม่ได้แปลกใจอะไรมากมายเพราะเห็นแต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นวิชาต่อสู้ แถมยังมีพลังวิญญาณไม่เลวอีกต่างหาก

 จับมัน ชายร่างใหญ่ 3 คนกระโดดลงมาจากชั้น 2 ของร้านอาหาร พวกมันต่างเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณขั้นหลอมรวมปฐพีทั้งสิ้น

 โอ้ เป็นคุณชายที่แต่งตัวดีจริงๆ ข้าอยากรู้นักว่าเงินในกระเป๋าของมันจะมีเท่าไหร่ ชายร่างใหญ่ว่าพลางพุ่งเข้ามาจับตัวอู๋หมิงเอาไว้

 ในกระเป๋าข้าไม่มีเงินหรอกนะ อู๋หมิงว่าพลางยิ้มบางๆ

 โกหก ต่อให้เป็นขอทานในกระเป๋ามันก็ยังมีเงิน คุณชายแต่งตัวดีเช่นเจ้าจะไม่มีได้อย่างไร ชายร่างใหญ่ว่าพลางจับแขนของอู๋หมิงเอาไว้ เพียงแต่อู๋หมิงออกแรงเพียงเล็กน้อยก็กดแขนของมันกลับมาได้อย่างไม่ยากเย็น

 พวกเจ้าไปซะเถอะ ข้าไม่อยากเอาเรื่อง อู๋หมิงตอบพลางผลักร่างใหญ่ๆของชายหนุ่มออกไปราวกับเล่นกับเด็ก

 …… ชายร่างใหญ่หน้าซีดเผือดเมื่อสัมผัสได้ถึงกำลังกายของอู๋หมิง ความจริงจะโทษพวกมันก็ไม่ได้เพราะตั้งแต่เริ่มเข้าสู้ระดับก่อกำเนิดพลังเซียน พลังวิญญาณในร่างของอู๋หมิงก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นพลังเซียนแล้ว หากเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณธรรมดา บางคนก็แยกพลังเซียนกับพลังวิญญาณออกจากกันจนเข้าใจว่าอู๋หมิงมีพลังวิญญาณไม่มาก

 เหวอ คุณชายท่านได้โปรดอย่าทำร้ายพวกเราเลย ชายหนุ่มที่พาอู๋หมิงเข้ามาในร้านว่าพลางก้มหัวลงแทบเท้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา

 พวกเจ้าสัญญาได้หรือไม่ว่าจะไม่ดักปล้นคนแปลกหน้าแบบนี้อีก อู๋หมิงถามพลางชูนิ้วชี้ขึ้น พริบตานั้นนิ้วของอู๋หมิงก็จี้ไปบนร่างของชายทั้ง 4 โดยที่พวกมันไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

 ขอรับ พวกข้าจะไม่ทำอีก เหล่าโจรพากันให้คำสัญญา แน่นอนว่าพวกมันไม่มีความจริงใจเอาเสียเลย แต่หากพวกมันดักปล้นใครอีกตราอัสนีที่อู๋หมิงสลักไว้บนร่างจะทำงานและช็อตพวกมันจนสลบไปก่อนจะได้ทำเรื่องชั่วเสียอีก

 ได้โปรดเถิดคุณชาย นะ นี่เป็นสมับติประจำตระกูลข้า คุณชายท่านรับไว้แล้วปล่อยพวกเราเถอะ ชายหนุ่มว่าพลางยื่นตำราเล่มหนึ่งให้อู๋หมิง

 พวกเจ้าไปเถอะ อู๋หมิงรับตำรามาพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่เดิมมันก็จะปล่อยพวกมันไปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ตำราแต่อย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอยากให้อู๋หมิงก็เพียงรับเอาไว้เท่านั้น

 ขอบพระคุณ ชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายรับตำรามันก็วิ่งแจ้นหนีไปทันที ทำเอาชายร่างใหญ่ทั้ง 3 คนวิ่งตามแทบไม่ทัน

 เฮ้อ อู๋หมิงถอนหายใจพลางมองตำราในมือ ที่หน้าปกเขียนเอาไว้ว่าเคล็ดกระบี่เที่ยงแท้ ช่างเป็นชื่อที่โอ้อวดไม่น้อย แต่เพียงดูสภาพกระดาษและวิธีจัดทำแล้ว อู๋หมิงก็ได้แต่หัวเราะกับตัวเอง ตำราเล่มนี้เป็นตำราใหม่ไม่มีทางเป็นสมบัติประจำตระกูลอะไรนั่นอยู่แล้ว มิน่าเล่าเจ้าพวกนั้นถึงหาหลอกลวงคนต่างเมือง พวกมันคงจะหลอกคนในเมืองไม่ได้แล้วกระมัง

อู๋หมิงส่ายศีรษะ ก่อนจะเปินดูตำราอย่างช้าๆ เคล็ดวิชากระบี่เที่ยงแท้ จะว่าตั้งชื่อได้ถูกต้องหรือก็ถูก เพราะในตำราล้วนเป็นวิชาพื้นฐานที่เพียงสอนว่ากระบี่โจมตีอย่างไรเท่านั้น แถมลายมือก็หวัดไร้ซึ่งร่องรอยปราณกระบี่ ชะรอยว่าชายหนุ่มที่พาอู๋หมิงมาจะเป็นผู้เขียนเองเสียด้วยซ้ำ

สำหรับอู๋หมิงแล้ว มันเรียนทั้งเคล็ดกระบี่นิรนามของอาวุโสเทียรหมิง แถมยังศึกษาวิชากระบี่ของสำนักต่างๆมามากมาย ตำราเล่มนี้จึงแทบไม่ต่างจากหนังสือวาดเล่นของเด็กเลย เพียงแต่พอมองดูอู๋หมิงกลับรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ตัวมันที่ฝึกฝนจนวิชากระบี่แข็งแกร่งแม่นยำกลับมองภาพกระบี่ฝึกหัดเช่นนี้แปลกพิกลดี อาจจะเพราะมันวาดและเขียนโดยมือสมัครเล่น ทำให้เคล็ดวิชามั่วซั้วไปหมด แต่ก็มีบางอย่างที่ตราตรึงใจอู๋หมิงไม่น้อย

ไม่ใช่เพราะมีเคล็ดวิชาอะไรแฝงอยู่ในตำรา แต่เพราะมันเป็นสิ่งที่อู๋หมิงลืมเลือนไปแล้วครั้งหนึ่ง มันคือวิชาพื้นฐานของกระบี่นั่นเอง

เห็นเช่นนั้นภายในหัวของอู๋หมิงก็ปรากฏความคิดบางอย่างขึ้น ดวงตาของมันส่องประกายก่อนที่มันจะรีบกลับขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะซื้อเสบียงเสียด้วยซ้ำ

เคร๊ง!!! เคร๊ง!! อู๋หมิงเลือกถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขาวาดท่วงท่ากระบี่ออกมาอย่างลืมเหน็ดลืมเหนื่อย กระบี่ในมือของมันปรากฏกระบวนท่าพลิกแพลงพิสดารออกมาชนิดว่าหากมีคนมาเห็นต้องตกตะลึงตาค้างเป็นแน่ แต่ไม่ทราบทำไม ยิ่งกระบวนท่าผ่านไปหลายสิบหลายร้อยกระบวนท่า เคล็ดวิชาต่างๆของอู๋หมิงก็ราวกับธรรมดาสามัญลงเรื่อยๆ ความพิสดารหลากลายน่าหลงไหลเมื่อครู่เริ่มมลายหายไปจนหมดสิ้น

ผ่านไปกว่า 3 อาทิตย์วิชากระบี่ของอู๋หมิงก็ดูราวกับคนธรรมดากำลังร่ายรำกระบี่ด้วยท่วงท่าง่ายๆไปเสียแล้ว หากมีคนมาเห็นในตอนนี้คงได้แต่ถอนหายใจแล้วบอกว่าเคล็ดวิชาของอู๋หมิงนั้นมั่วซั้วเป็นที่สุดอย่างแน่นอน

 หึๆ แต่ย่าเสียดาย ยามนี้ไม่มีใครเลยที่จะมาต่อว่าอู๋หมิง มันยิ่งฝึกยิ่งสนุกสนาน ราวกับย้อนกลับไปวัยเด็กที่ได้เรียนวิชาใหม่ๆเสียอย่างนั้น ยิ่งมันทำให้กระบวนท่าซับซ้อนของอาวุโสเทียนหมิงธรรมดาสามัญลงมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งพอใจ แถมแต่ละกระบวนท่ายังถูกดัดแปลกเปลี่ยนแก้ไขกระบวนกระบี่จนแทบไม่เหลือเค้ากระบี่นิรนามอีกเลย

เคร๊ง! กระบี่ขออู๋หมิงแทงใส่กำแพงถ้ำอย่างจัง แต่เพราะกระบี่ทัณฑ์สวรรค์แข็งแกร่งอย่างมาก เพียงหินกำแพงไม่สามารถหยุดอะไรมันได้เลย

ครืด…อู๋หมิงลากกระบี่เขียนตัวอักษรลงบนผนังถ้ำอย่างรวดเร็ว ปรากฏเคล็ดวิชาใหม่ที่อู๋หมิงพึ่งคิดค้นด้วยตนเองออกมาช้าๆ แต่น่าเสียดายว่าคนที่มาพบแต่ละคนนั้นต่างมองมันเป็นเคล็ดวิชาธรรมดาไม่สามารถทำความเข้าใจได้เสียอย่างนั้น

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 109 เคล็ดกระบี…

 

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล

Status: Ongoing

ตุบ! เสียงบางอย่างตกลงมาจากที่สูงทำเอาภายใต้ช่องเขาแห่งนี้เกิดเสียงสะท้อนเลื่อนลั่นไปรอบบริเวณ แต่ถึงจะสร้างเสียงดังเพียงใดก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยู่บริเวณนี้ทั้งสิ้น

วูบ… ร่างสีขาวหมดจดร่างหนึ่งปรากฏยังตำแหน่งที่เสียงดังนั้นปรากฏ แม้จะไม่มีมนุษย์แต่สถานที่แห่งนี้กลับเป็นถิ่นที่อยู่ของอสูรตนหนึ่ง มันมีเรือนร่างแปลกพิสดาร ทั่วร่างเป็นสีขาวหม่นหมองทั้งร่าง รูปร่างของมันจะว่าเหมือนแมงมุมหรือก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเหมือนมังกรหรือก็ไม่ชัดเจน ทุกคนต่างเรียกขานมันว่าฝันร้ายสีขาว มันเป็นตัวตนที่สร้างความหวาดกลัวให้ทั้งมนุษย์และอสูรด้วยกัน

แกร๊ก ทันทีที่ขาหนึ่งของมันก้าวมาถึงตำแหน่งเสียง ดวงตาทั้ง 8 ของมันก็จดจ้องไปยังร่างของเด็กชายที่ตกลงมาจากหน้าผาด้วยท่าทีประหลาดใจ เหตุใดมนุษย์ถึงไม่ตายหลังจากตกลงมาลึกขนาดนี้ ที่ๆมันอาศัยอยู่ถูกเรียกว่าผาไร้ก้น เพราะหากมองจากด้านบนจะไม่สามารถเห็นก้นเหวได้เลย แม้แต่มองจากก้นผาก็แทบจะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นด้ายเส้นบางๆเท่านั้น เพราะก้นผาแห่งนี้อยู่ลึกอย่างมาก

ขณะสงสัยอยู่ๆอสูรที่มีร่างกายสีขาวก็เริ่มอ้าปากของมันออกช้าๆ เขี้ยวราวกับแมงมุมของมันอ้าออกเผยให้เห็นปากอันกว้างใหญ่ที่หากจะกินเด็กชายตรงหน้าคงกระทำได้ด้วยการกลืนมันทั้งตัวในคำเดียวเท่านั้น แต่ขณะจะกินเด็กชายลงไปทั้งตัว ปากของมันพลันหยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆหุบกลับเช่นเดิม ดวงตาของมันเพ่งมองเด็กชายที่นอนสลบอยู่บนพื้นด้วยท่าทีนิ่งเฉย ร่างของมันแตกหักยับเยินราวกับตุ๊กตาดินที่ถูกบี้เละเทะ แขนขางองุ้ม ลำตัวแดงบ้างม่วงบ้าง แต่มันกลับยังหายใจอยู่ ด้วยร่างกายที่ยับเยินเช่นนี้มันกลับสามารถประคองชีวิตของมันเอาไว้ได้

 หรือจะเป็นโชคชะตากัน.. อสูรแมงมุมพูดออกมาพลางมองใบหน้าของเด็กชาย ทำไมมันถึงตกลงมาในที่แห่งนี้ได้ ทำไมมันถึงไม่ตาย แล้วทำไมมันถึงไม่คิดจะกินมันกัน…..

แม้แต่ตัวมันยังไม่สามารถหาคำตอบออกมาได้ . . . .

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท