บุตรอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 143 ดื้อดึง

ตอนที่ 143 ดื้อดึง

ตอนที่ 143

ดื้อดึง

 อา…ความรู้สึกนี้ เสียงของอสูรตะขาบดังขึ้นพลางเลื้อยร่างไปตามร่างของไป๋จูเหวินช้าๆ ทั่วร่างของอสูรตะขายโอบรัดร่างของไป๋จูเหวินจนมิดราวกับมันอยากจะโอบกอดร่างของไป๋จูเหวินเอาไว้ทั้งหมด

กึดดด….ไป๋จูเหวินออกแรงดันจากภายในวงล้อมของอสูรตะขาบ ทำให้อสูรตะขาบคลายร่างของมันออก

 อะไรกัน เจ้าไม่ชอบแบบนี้เหรอ อสูรตะขาบว่าพลางกลายร่างเป็นร่างมนุษย์อย่างรวดเร็ว แม้ร่างตะขาบจะดูน่าเกลียดน่ากลัว แต่ยามนี้นางในร่างมนุษย์กลับงดงามราวกับดอกไม้มีพิษ

 ถ้าแบบนี้เจ้าชอบหรือไม่ อสูรตะขาบถามพลางเดินเข้ามาใกล้ไป๋จูเหวินที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง เมื่อครู่นางปล่อยพิษใส่ไป๋จูเหวินไปแล้วมันคงเคลื่อนไหวไม่ได้อีกนานเลยทีเดียว ทำให้อสูรตะขาบใช้ร่างเปลือยเปล่าของนางเข้าไปโอบกอดร่างของไป๋จูเหวินเอาไว้ด้วยท่าทีหลงไหล เรือนร่างของนางลูบไล้ไปทั่วร่างของไป๋จูเหวินอย่างยั่วยวนก่อนที่มันจะค่อยๆถอดเสื้อของไป๋จูเหวินออก

 กลิ่นอายนี้… อสูรตะขาบชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อถอดเสื้อของไป๋จูเหวินออก ที่อกของมมันปรากฏสร้อยคอที่มีลูกแก้ว 5 ลูกประดับเอาไว้ ทันทีที่เปิดออกมากลิ่นอายของเหล่าอสูรแห่งเขตอสูรผาไร้ก้นก็ทำเอาอสูรตะขาบต้องถอยกรูดออกไปทันที

 เจ้าใช้พิษนี่เอง ไป๋จูเหวินว่าพลางมองไปรอบๆรังของอสูรตะขาบ พิษของอสูรตะขาบหาได้มีผลอะไรกับมันไม่ แต่ที่ไป๋จูเหวินยอมให้อสูรตะขาบพาลงมาที่รังของมันเป็นเพราะอสูรผีเสื้อได้บอกมันเอาไว้แต่แรกแล้วว่าคนของกลุ่มนักล่าอสูรถูกอสูรตะขาบเอามากินในรังหมดแล้ว ทำให้ไป๋จูเหวินสามารถมองเห็นกระดูกจำนวนมากที่กองอยู่ในรังได้อย่างชัดเจน แม้เสื้อผ้าจะขาดเป็นชิ้นๆจนไม่ทราบว่าเป็นเครื่องแบบของกลุ่มนักล่าอสูรหรือไม่ แต่ภายใต้กองกระดูกเหล่านั้นไป๋จูเหวินก็เห็นสร้อยคอที่เหล่านักล่าอสูรมักจะใส่กัน นั่นหมายความว่าภายในกองกระดูกเหล่านี้ต้องมีร่างของกลุ่มนักล่าอสูรอยู่นั่นเอง

พริบตานั้นดวงตาของไป๋จูเหวินกลายเป็นสีม่วงในทันที มันมองผ่านเหล่าโครงกระดูกจนกระทั่งพบเจอโครงกระดูกบางชุดที่หลงเหลือพลังเซียนเอาไว้ นั่นหมายความว่าเจ้าของร่างของโครงกระดูกดังกล่าวเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างมากถึงจะเหลือพลังตกค้างเอาไว้ได้

 …….. ไป๋จูเหวินเดินไปที่กองกระดูกอย่างเชื่องช้า พลางมองโครงกระดูกตรงหน้าด้วยท่าทีจริงจัง มันไม่ทราบว่ากะโหลกตรงหน้าคือกะโหลกของใคร เพราะในกองกระดูกจำนวนมากแห่งนี้มีอยู่หลายสิบโครงกระดูกเลยที่มีพลังตกค้างอยู่เช่นนี้

ไป๋จูเหวินยื่นมือไปที่กะโหลกตรงหน้าช้าๆ คราวก่อนมันถูกเฒ่าประทับสวรรค์โจมตี ทำให้ได้เห็นวิชาๆหนึ่งเข้า ด้วยเพราะพลังอสูรของมันมีพลังธาตุเป็นธาตุรัตติกาล ทำให้มันสามารถใช้เวทมิติได้ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพียงมองเฒ่าประทับสวรรค์ใช้การแทรกแซงมิติของมันไป๋จูเหวินก็เข้าใจการทำงานของวิชาดังกล่าวในทันที

วูบ… มือของไป๋จูเหวินหายเข้าไปในมิติของกะโหลกตรงหน้า แต่เดิมมิติของคนๆนั้นจะหายไปหลังจากมันตาย และของในมิติก็จะอยู่ในมิติไร้ทางออกเช่นนั้นตลอดไป ยกเว้นของบางอย่างที่มีคุณสมบัติพิเศษ แต่กระดูกของเหล่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับเทีบนเซียนขั้น 10 นั้นมีพลังตกค้างอยู่ หรือก็คือประตูสู่มิติของคนๆนั้นยังเหลืออยู่นั่นเอง

แกร๊ก….ไป๋จูเหวินนำม้วนตำราออกมาพลางเก็บลงในมิติของมันเอง น่าเสียดายที่โครงกระดูกแรกที่ไป๋จูเหวินเลือกมาไม่ใช่หัวหน้ารุ่นก่อนของกลุ่มนักล่าอสูร แต่ถึงอย่างนั้นตำราที่ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับเทียนเซียนขั้น 10 เหลือทิ้งเอาไว้ย่อมไม่ธรรมดา

 นี่มัน ไป๋จูเหวินชะงักไปครู่หนึ่งหลังจากลองสำรวจภายในมิติของกะโหลกอันที่ 2 ไม่น่าเชื่อเลยว่าไป๋จูเหวินจะพบหัวหน้ารุ่นก่อนได้ง่ายดายเช่นนี้ ในมือของมันปรากฏตำราวิชาทวนมังกรแลกระบี่ดาวตกของกลุ่มนักล่าอสูรอย่างครบถ้วน ทำให้ไป๋จูเหวินยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ หากนำตำราเหล่านี้กลับไป อย่างน้อยก็ต้องช่วยฟื้นฟูกลุ่มนักล่าอสูรได้ไม่มากก็น้อย

เวลาผ่านไปหลายสิบนาที ไป๋จูเหวินก็สามารถรวบรวมของในมิติของโครงกระดูกในรังของอสูรตะขาบได้จนหมด โดยไม่ได้สนใจเลยว่าเจ้าบ้านจะมองมันเช่นไร

 …. อสูรตะขาบกลับมาอยู่ในร่างของตะขาบนานแล้ว นางไม่กล้าเข้าใกล้ไป๋จูเหวินนักเพราะกลิ่นอายที่อยู่บนสร้อยของไป๋จูเหวิน หากมันนำเรื่องไปบอกเจ้าของกลิ่นอายนั่นนางได้ตายศพไม่สวยอย่างแน่นอน

 แต่ถ้ามันไม่ได้ออกไปก็ไปบอกเจ้าของกลิ่นอายนั่นไม่ได้ อสูรตะขาบว่าพลางเลื้อยมาปิดทางออกเอาไว้ ขณะมันมองไป๋จูเหวินกำลังเก็บรวบรวมกระดูกร่างของมันก็โอบล้อมภายในรังเอาไว้จนหมดแล้ว

 ขอบคุณที่พาข้ามา ไป๋จูเหวินว่าพลางหันไปมองอสูรตะขาบที่กำลังจ้องมาทางมันพอดี

 ช่วยพาข้ากลับขึ้นไปด้านบนได้หรือไม่ ไป๋จูเหวินถามพลางยิ้มบางๆ ทำเอาอสูรตะขาบตัวสั่นสะท้าน คำขอร้องของคนเช่นไป๋จูเหวินนั้นเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับเหล่าอสูร นางแทบจะพาร่างของมันกลับขึ้นไปในทันทีตามที่ไป๋จูเหวินขอ แต่นางก็ส่ายหัวแรงๆในทันที

หากพามันไปส่งด้านบนมันต้องกลับไปในที่ที่มันมาอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่สามารถพบกับไป๋จูเหวินได้อีก

ไม่ ข้าจะอยู่กับเจ้าที่นี่ อสูรตะขาบว่าพลางพ่นควันสีม่วงออกมาจากปาก พริบตานั้นทั่วทั้งถ้ำก็ปกคลุมไปด้วยควันพิษที่แม้แต่ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณระดับเทียนเซียนยังรับมือได้ยากลำบากอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่พิษไม่มีผลอะไรกับไป๋จูเหวินเลย มันเพียงยืนเฉยๆเมื่อควันพิษเข้ามาหา แต่จนกระทั่งควันพาหายไปมันก็ไม่ได้รับผลใดๆของควันพิษเลย

 เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย ให้ข้าออกไปเถอะ ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินมายืนตรงหน้าอสูรตะขาบ ปกติแล้วเหล่าอสูรจะไม่ขัดคำสั่งไป๋จูเหวินเท่าไหร่ แต่เหล่าอสูรระดับสูงๆจะพอมีความต้านทานความสามารถของไป๋จูเหวินอยู่บ้างโดยพวกมันจะไม่ได้ปฏิบัติตามที่ไป๋จูเหวินสั่งทั้งหมด แต่จะทำตามที่ตนคิดมากกว่า เพียงแต่ไม่เคยมีอสูรตัวไหนคิดจะทำร้ายไป๋จูเหวินเลย แม้แต่อสูรตะขาบก็ไม่คิดจะทำร้ายอะไร

โครม อสูรตะขาบกดร่างไป๋จูเหวินลงกับพื้น มันพยายามรั้งไป๋จูเหวินเอาไว้ไม่ให้ออกไปไหน มันต้องการให้ไป๋จูเหวินอยู่ที่นี่กับมันเพียงลำพังเท่านั้น

ตูม! ฝ่ามือเพิลงพิโรธของไป๋จูเหวินสำแดงกำลังออกมาอย่างน่าหวาดหวั่น แม้อสูรตะขาบจะตัวใหญ่มากและมีพลังสูงกว่าไป๋จูเหวินอยู่หลายขั้น แต่ฝ่ามือของไป๋จูเหวินก็ทำเอาหัวของมันเอียงไปมาได้

ตูมๆ … ไป๋จูเหวินฟาดฝ่ามือออกไปอีก 2 ครั้ง ทำให้หัวของอสูรตะขาบล้มลงกับพื้น แต่นางก็ไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากมาย เพียงพริบตาเดียวนางก็โงหัวขึ้นมาได้อีกครั้ง

 ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น อสูรตะขาบว่าพลางบังคับดินรอบๆให้ปิดตัวลงจนไม่มีทางออกจากรังของนาง แม้ไป๋จูเหวินจะใช้พลังอสุรควบคุมดินได้ แต่ก็ต้องใช้เวลานานไม่น้อยเพื่อขึ้นไปด้านบน

ตูมๆๆๆ ไป๋จูเหวินใช้ฝ่ามือบังคับหกปักษาส่งพลังของตนขึ้นไปเหนือร่างของอสูรตะขาบ ฝ่ามือบังคับหกปักษามีกำลังทำลายน้อยกว่าฝ่ามือเพลิงพิโรธ ไป๋จูเหวินจึงไม่คิดจะใช้มันทำร้ายอสูรตะขาบแต่อย่างไร เพียงแต่ไป๋จูเหวินเล็งที่จะทำลายเพดานของรังต่างหาก

คลืนนนน เพดานบางส่วนที่โดนฝ่ามือบังคับหกปักษาเข้าไปพักลงมาอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นดวงตาของไป๋จูเหวินก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเพื่อใช้ลบเลี่ยงเศษหินที่ตกลงมา

 กรีดดด อสูรตะขาบกรีดร้องเพราะโดนก้อนหินจากเพดานตกมาทับร่างของนางเอาไว้

 อย่า อย่าไป อสูรตะขาบพยายามตามไป๋จูเหวินมา แต่เพราะหินที่ตกลงมาหนักไม่ใช่น้อยนางเลยต้องหันไปผลักก้อนหินออกก่อน

 พี่ไป๋ ราวกับนัดหมายกันเอาไว้ก่อน หลินหลินที่ตามลงมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้เข้ามาถึงรังของอสูรตะขาพอดี ทางที่ไม่ควรมีให้หนีก็ปรากฏขึ้นเบื้อหน้าไป๋จูเหวินในทันที

 เรารีบออกไปกันเถอะ ไป๋จูเหวินขึ้นไปบนหลังของหลินหลินทันที ก่อนจะบอกให้ทั้งหลินหลินและหงเยว่รีบกลับขึ้นไปบนพื้นก่อนที่อสูรตะขาบจะหลุดออกมาจากก้อนหิน

ตูมมม… ทันทีที่ร่างของหลินหลินขึ้นมาจากดิน ที่ด้านหลังของนางก็ปรากฏร่างของอสูรตะขาบที่พึ่งหลุดออกมาจากก้อนหินในทันที

 หยุดนะ อสูรตะขาบว่าพลางพ่นพิษออกมาจนดอกเบญจมาศด้านบนถึงกับเหี่ยวเฉาในทันที แน่นอนว่าไอพิษไม่มีผลกับไป๋จูเหวินเพียงแต่…

 พี่ไป๋ ข้าไม่มีแรง หลินหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ไม่นานนางก็หมดแรงเดินแล้วล้มลงกับพื้น

 หลินหลิน ไป๋จูเหวินและหงเยว่ต่างตกใจเป็นอย่างมาก โชคดีที่อสูรตะขาบไม่อยากฆ่าไป๋จูเหวินนางเลยใช้แต่พิษที่ทำให้ร่างกายชาเท่านั้น

 หลินหลิน เจ้าเข้าไปในมิติของข้าก่อน หงเยว่ว่าพลางพาร่างของหลินหลินหายเข้าไปในมิติของนาง ดูเหมือนว่าพิษของตะขาบก็ไม่มีผลกับหงเยว่เช่นกัน

ตูม!!! พอออกมานอกรัง แทนที่จะหนีง่ายยขึ้น ตะขาบยักษ์กลับสามารถเคลื่อนไหวได้ดีกว่าเดิม นางฟาดหางลงบนร่างของหงเยว่ที่กำลังนำร่างของหลินหลินเข้าไปในมิติ ทำให้หงเยว่ไม่สามารถหลบการโจมตีครั้งนี้ของอสูรตะขาบได้

 กรีดดด ร่างของหยงเยว่กระเด็นออกไปไกลทีเดียว แม้อสูรจะไม่ทำร้ายไป๋จูเหวิน แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่โจมตีอสูรของมัน

 หงเยว่ ไป๋จูเหวินวิ่งเข้ามาดูอาการของหงเยว่ที่ถูกกระแทกจนปลิวไปนอนอยู่อีกมุมหนึ่งของสวนเบญจมาศที่เหลือแต่ซาก

 ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าให้หลินหลินเข้ามาในมิติของข้าแล้ว หงเยว่ว่าพลางหายใจอย่างรวนริน นางเป็นอสูรระดับหยกขาวที่พึ่งเลื่อนระดับไม่นาน ไม่สามารถรับการโจมตีของอสูรตะขาบได้มากนัก ไม่นานดวงตาของนางก็ค่อยๆหลับลงช้าๆ

 ….. ไป๋จูเหวินนิ่งไปพักหนึ่งกับการเห็นอสุรเลี้ยงของตนล้มลงต่อหน้า พริบตานั้นความรู้สึกโกรธที่มันไม่ค่อยได้สัมผัสก็พลันพรุ่งพรูออกมา พริบตานั้นดวงตาสีแดงของไป๋จูเหวินก็หันไปมองอสูรตะขาบ หากมันไม่หยุดนางเอาไว้หงเยว่คงโดนเล่นงานอีกแน่

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 143 ดื้อดึง

 

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล

Status: Ongoing

ตุบ! เสียงบางอย่างตกลงมาจากที่สูงทำเอาภายใต้ช่องเขาแห่งนี้เกิดเสียงสะท้อนเลื่อนลั่นไปรอบบริเวณ แต่ถึงจะสร้างเสียงดังเพียงใดก็ไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยู่บริเวณนี้ทั้งสิ้น

วูบ… ร่างสีขาวหมดจดร่างหนึ่งปรากฏยังตำแหน่งที่เสียงดังนั้นปรากฏ แม้จะไม่มีมนุษย์แต่สถานที่แห่งนี้กลับเป็นถิ่นที่อยู่ของอสูรตนหนึ่ง มันมีเรือนร่างแปลกพิสดาร ทั่วร่างเป็นสีขาวหม่นหมองทั้งร่าง รูปร่างของมันจะว่าเหมือนแมงมุมหรือก็ไม่ใช่ จะบอกว่าเหมือนมังกรหรือก็ไม่ชัดเจน ทุกคนต่างเรียกขานมันว่าฝันร้ายสีขาว มันเป็นตัวตนที่สร้างความหวาดกลัวให้ทั้งมนุษย์และอสูรด้วยกัน

แกร๊ก ทันทีที่ขาหนึ่งของมันก้าวมาถึงตำแหน่งเสียง ดวงตาทั้ง 8 ของมันก็จดจ้องไปยังร่างของเด็กชายที่ตกลงมาจากหน้าผาด้วยท่าทีประหลาดใจ เหตุใดมนุษย์ถึงไม่ตายหลังจากตกลงมาลึกขนาดนี้ ที่ๆมันอาศัยอยู่ถูกเรียกว่าผาไร้ก้น เพราะหากมองจากด้านบนจะไม่สามารถเห็นก้นเหวได้เลย แม้แต่มองจากก้นผาก็แทบจะเห็นท้องฟ้าเป็นเส้นด้ายเส้นบางๆเท่านั้น เพราะก้นผาแห่งนี้อยู่ลึกอย่างมาก

ขณะสงสัยอยู่ๆอสูรที่มีร่างกายสีขาวก็เริ่มอ้าปากของมันออกช้าๆ เขี้ยวราวกับแมงมุมของมันอ้าออกเผยให้เห็นปากอันกว้างใหญ่ที่หากจะกินเด็กชายตรงหน้าคงกระทำได้ด้วยการกลืนมันทั้งตัวในคำเดียวเท่านั้น แต่ขณะจะกินเด็กชายลงไปทั้งตัว ปากของมันพลันหยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆหุบกลับเช่นเดิม ดวงตาของมันเพ่งมองเด็กชายที่นอนสลบอยู่บนพื้นด้วยท่าทีนิ่งเฉย ร่างของมันแตกหักยับเยินราวกับตุ๊กตาดินที่ถูกบี้เละเทะ แขนขางองุ้ม ลำตัวแดงบ้างม่วงบ้าง แต่มันกลับยังหายใจอยู่ ด้วยร่างกายที่ยับเยินเช่นนี้มันกลับสามารถประคองชีวิตของมันเอาไว้ได้

 หรือจะเป็นโชคชะตากัน.. อสูรแมงมุมพูดออกมาพลางมองใบหน้าของเด็กชาย ทำไมมันถึงตกลงมาในที่แห่งนี้ได้ ทำไมมันถึงไม่ตาย แล้วทำไมมันถึงไม่คิดจะกินมันกัน…..

แม้แต่ตัวมันยังไม่สามารถหาคำตอบออกมาได้ . . . .

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท