ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) – บทที่ 84 โครงการ

บทที่ 84 โครงการ

บทที่ 84 โครงการ

บางทีอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าอย่างหนักจึงทำให้ซูเฉินหลับสนิทและเริ่มฝัน ในความฝันนั้นเขาสอบผ่านเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้สำเร็จ และกลายเป็นผู้มากพรสวรรค์อันดับ 1 ของแผ่นดินหลงซาง

ด้วยการสนับสนุนจากดวงตาที่น่าอัศจรรย์ของเขา ทำให้ซูเฉินก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ได้รับสายเลือดของเทพอสูรบรรพกาลและฝ่าทะลวงคอขวดได้ทั้งหมดก่อนจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ก่อนจะแต่งงานกับกู่ชิงลั่ว

ในช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิต คลื่นสัตว์อสูรก็ได้มาเยือน ซูเฉินพุ่งเข้าสู่สนามรบและต่อสู้อย่างกล้าหาญ เขาเอาชนะจักรพรรดิสัตว์อสูรได้ แต่ในไม่ช้าเขาก็ได้เผชิญกับสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่ทรงพลังและน่ากลัวยิ่งกว่า

อสูรยักษ์ตัวนั้นมีขนาดเท่าภูเขาลูกย่อม ๆ ทุกย่างก้าวของมันสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว มันพุ่งตรงเข้าหากองทัพมนุษย์ เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็เป่าทั้งกองทัพมนุษย์ให้กลายเป็นเถ้าถ่าน

ซูเฉินพยายามต่อสู้กับมันอย่างหนัก แต่สิ่งที่เขาเห็นได้มีเพียงมือยักษ์คู่หนึ่งที่เอื้อมมาหาเขาจากท้องฟ้าและคว้าตัวเขาไว้ ไม่ว่าซูเฉินจะดิ้นรนแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถหนีไปจากพวกมันได้เลย เขารู้สึกหายใจไม่ออกขณะที่ตัวสั่นด้วยความสิ้นหวัง …

 นายน้อย นายน้อยขอรับ!  หมิงชูเขย่าซูเฉิน

 อา!  ซูเฉินผุดลุกขึ้นนั่งในทันใดและคว้าคอของหมิงชูไว้แน่น

 นายน้อย … ปล่อย …   หมิงชูพยายามพูดขึ้นอย่างยากลำบาก ดวงตาของเขาเริ่มกลอกกลับไปด้านหลัง

 หมิงชู?  ซูเฉินรีบปล่อยมือทันที

หมิงชูนวดคอของตนขณะที่เขาถอยหลังออกไป  นายน้อย ท่านเรียกให้ข้ามาหาท่าน เพื่อบีบคอข้าน้อยหรือขอรับ? 

 เอ่อ  ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูเฉินก็ได้สติกลับมา  ขอโทษที เผอิญข้าฝันร้ายน่ะ 

จากนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นได้ และถามหมิงชูว่า  มันมาถึงแล้ว? 

หมิงชูพยักหน้า  โจวหงเห็นมันที่ประตูเมือง มันไม่ได้ขี่ม้าและเดินเท้ากลับมา สภาพของมันดูแย่มาก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ดูเหมือนว่ามันจะตกลงไปในคูน้ำเมื่อเย็นวานนี้ เสื้อผ้าที่ใส่เองก็ขาดรุ่งริ่ง ยามนี้มันยังคงเดินกะเผลกกลับมาที่คฤหาสน์ ดังนั้นคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะมาถึง 

 ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ตอนนี้กี่โมงแล้ว 

 บ่ายแก่ ๆ เพิ่งผ่านเวลาอาหารไป ท่านอยากจะทานอะไรก่อนไหมขอรับ? 

 ไม่ล่ะ  ซูเฉินกล่าวชมเยี่ยเม่ยอย่างลับ ๆ เขาไม่คาดคิดเลยว่าสาวใบ้คนนี้ช่างน่าเชื่อถือ ถึงกลับทำให้อีกฝ่ายกลับมาในตอนบ่ายตามที่ร้องขอไว้ได้จริง ๆ

ซูเฉินลุกจากเตียงและจัดแจงตัวเอง เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็พูดว่า  เรียกเจี้ยนซินมาหาข้า แล้วไปรอฉันที่ทางเข้าบ้าน เมื่อเจ้าเห็นจางซง ก็ทำตามที่ข้าบอกให้เจ้าทำเมื่อวานนี้ 

 ขอรับ  หมิงชูตอบรับและจากไป

หลังจากนั้นไม่นานเจี้ยนซินก็มาถึง  นายน้อยมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ? 

 ข้ากำลังจะไปที่เรือนปัญญาคุณธรรม เจ้าไปกับข้า 

 หือ?  เจี้ยนซินตกตะลึงไปในทันที

เรือนปัญญาคุณธรรมเป็นที่พักของซูเค่อจี่ ซูเฉินจะวิ่งไปที่นั่นเพื่ออะไรกัน?

 ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านลุงสอง  ซูเฉินตอบ

ระหว่างพวกท่าน 2 คนยังมีอะไรให้คุยกันอีกหรือ? เจี้ยนซินหัวเราะเยาะเงียบ ๆ ในใจ แต่เขาก็ยังแสดงออกมาว่าเห็นด้วย

เรือนปัญญาคุณธรรม

ซูเค่อจี่กำลังถือหม้อหินทรงแบนที่ทำจากทรายแดงอันเป็นที่รักของเขาตรงไปที่ลานบ้านตามปกติ เขานอนลงบนเก้าอี้โยกตัวใหญ่และเริ่มงีบตอนบ่ายอย่างสบาย ๆ พลางฮัมเพลง  ศาลาสมบัติ  ของหวางซียาน 2-3 ท่อน

ตอนนั้นเองเด็กรับใช้คนหนึ่งได้รีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก  นายท่าน นายน้อยสี่มาขอพบท่านขอรับ 

 โอ้ มีเรื่องอะไร … เจ้าว่าอะไรนะ? นายน้อยสี่?  ซูเค่อจี่ลุกขึ้นนั่งทันที และมองไปที่เด็กรับใช้ของเขาด้วยความประหลาดใจ

 ใช่ขอรับ นายน้อยสี่ซูเฉินมาขอพบท่านขอรับ!  เด็กรับใช้พูดซ้ำอีกครั้ง

ซูเฉิน? มันมาหาข้าทำไมกัน?

ซูเค่อจี่ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่า ซูเฉินกำลังพยายามจะทำอะไรอยู่

หลังจากตกตะลึงอยู่พักหนึ่งเขาก็โบกมือและพูดว่า  ให้มันเข้ามา 

ไม่นานนักซูเฉินกับเจี้ยนซินปรากฏตัวขึ้นในลานบ้านของซูเค่อจี่

ซูเฉินโค้งคำนับซูเค่อจี่และกล่าวว่า  หลานซูเฉิน ทักทายท่านลุงสอง 

ซูเค่อจี่มองไปที่ซูเฉินอย่างเย็นชา  เอาล่ะ บอกข้ามาเจ้ามาทำอะไรที่นี่? 

ซูเฉินยิ้มและกล่าวว่า  เหตุใดท่านลุงสองถึงได้กล่าวเช่นนั้นกัน? การที่หลานชายคนหนึ่งจะมาเยี่ยมท่านลุงสองของตน จำเป็นจะต้องมีเหตุผลพิเศษด้วยหรือ? 

มาเยี่ยมข้า?

ซูเค่อจี่ตกตะลึง เขาอดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไปบนฟ้าเพื่อยืนยันว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้โผล่ขึ้นมาผิดทิศ สายตาของเขาจ้องไปที่ซูเฉิน ก่อนที่จะย้ายไปที่เจี้ยนซิน

เจี้ยนซินกางมือทั้ง 2 เป็นเชิงบอกว่าเขาก็ไม่รู้ว่าซูเฉินกำลังตั้งใจทำอะไรอยู่เช่นกัน

ซูเค่อจี่ตะคอกอย่างเย็นชา  มาเยี่ยมข้า? หรือจะมาดูว่าข้าตายหรือยังกันแน่? 

ซูเฉินยังคงยิ้มและพูดว่า  เหตุใดท่านลุงสองถึงกล่าวเช่นนั้น? ไม่ว่ายังไงเราก็เป็นสมาชิกตระกูลซูเหมือนกัน ในฐานะสมาชิกตระกูลเดียวกันเราควรให้อภัยซึ่งกันและกัน เหตุใดเราถึงต้องกลายเป็นศัตรูกันทุกครั้งที่เจอด้วยเล่า? 

ซูเค่อจี่หัวเราะเสียงดัง  ให้อภัยซึ่งกันและกัน เมื่อยามที่เจ้าเอาชนะซูชิง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่ามันก็สมาชิกตระกูลเดียวกัน? 

ซูเฉินถอนหายใจ  เมื่อยามที่ท่านลุงสองใช้สมองของท่านเพื่อเปลี่ยนวิธีการทดสอบ ท่านไม่คิดหรือว่าข้าเองก็เป็นสมาชิกตระกูลเช่นเดียวกัน? 

 เจ้า!  ซูเค่อจี่ลุกขึ้นยืนทันที  ซูเฉิน เจ้ามาที่นี่เพื่อยั่วยุข้างั้นรึ!? 

 ข้าแค่อยากรู้ว่าความเป็นศัตรูของเราจะสามารถเปลี่ยนเป็นมิตรภาพได้หรือไม่ 

 งั้นเจ้ามาที่นี่เพื่อขอความเมตตาหรือ? 

 ไม่ ท่านลุงสอง ข้าถามหาสันติไม่ใช่ความเมตตา 

 สันติ? มันไม่เคยมีความสันติระหว่างเจ้ากับข้ามาแต่แรกแล้ว! 

 บางทีมันคงจะเป็นเช่นนั้น ท้ายที่สุดแล้วในฐานะมนุษย์ข้าก็ยังคงต้องเผชิญกับชะตากรรม 

ซูเค่อจี่หรี่ตาลง  ข้าเข้าใจ เจ้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อจงใจทำให้ผู้อื่นคิดว่าเจ้าต้องการสันติและข้าเป็นผู้ปฏิเสธมัน เช่นนั้นผู้อื่นก็จะมองว่าข้ากำลังกลั่นแกล้งเจ้าและสร้างความขัดแย้งภายใน ใช่หรือไม่? 

ซูเฉินพูดอย่างไม่แยแสว่า  ท่านลุงสองอยากจะตีความมันอย่างไรขึ้นอยู่กับท่าน หากท่านไม่มีความสุขออกไป ท่านก็สามารถไล่ข้าออกไปจากที่ของท่านได้ตามต้องการอยู่แล้ว 

 ข้าจะไม่ตกหลุมพรางของเจ้าหรอก  ซูเค่อจี่พึมพำ  ข้าจะให้ชิงเอ๋อร์หักขาเจ้าบนเวทีประลอง เมื่อถึงยามนั้นจะไม่มีใครพูดอะไรได้อีก! 

ในที่สุดลุงและหลานชายก็ฉีกความสัมพันธ์สุดท้ายทิ้งไป เหลือเพียงความเกลียดชังและคำสาปแช่งที่ขมขื่น

ซูเฉินไม่โกรธ เด็กหนุ่มยังคงแลกเปลี่ยนคำพูดกับซูเค่อจี่ต่อไป ดูเหมือนว่าเขาต้องการระบายความคับข้องใจที่สะสมไว้จาก 2-3 วันที่ผ่านมา

ในขณะที่พวกเขากำลังโต้เถียงกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงอึกทึกดังมาจากด้านนอก

ซูเค่อจี่กล่าวอย่างหงุดหงิด  ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น? 

เด็กรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน  เรียนนายท่าน หมิงชูกับจางหยวนกำลังทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อยขอรับ 

 ฮึ่ม ดูเหมือนว่าทาสก็เป็นเหมือนเจ้าของ หมิงชูผู้นี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง  ซูเค่อจี่กล่าวอย่างโกรธเคือง

 ใครถูกและใครผิด มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูด ท่านลุงสองช่วยไปตัดสินด้วยกันกับข้าได้หรือไม่? 

 ตกลง!  ซูเค่อจี่เดินออกจากไปจากเรือน

ด้านนอกหมิงชูและคนรับใช้ที่รู้จักกันในนามจางหยวนกำลังพัวพันอยู่กับการต่อสู้

ซูเค่อจี่เดินออกมาถามอย่างโกรธเกรี้ยวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็แยกออกจากกัน จางหยวนลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมแต่จู่ ๆ หมิงชูก็พุ่งมาเข้าใส่เขา ในขณะที่เขากำลังเดินอยู่ แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ไม่ได้โกรธ จนกระทั่งหมิงชูดุด่าเขาออกมา เขาไม่สามารถทนต่อการดูถูกได้และเริ่มต่อสู้กลับไป

ขณะพวกเขากำลังพูดคุยและโต้เถียงกัน แต่สายตาของซูเฉินไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป เขามองข้ามไปที่ด้านหลังของทุกคน

ไปยังผู้ที่กำลังเข้ามาในคฤหาสน์จากด้านนอก

จ่างซง!

ในที่สุดเขาก็กลับมาหลังจากที่ซูเฉินจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเห็นจ่างซงกลับมา ซูเฉินก็พูดว่า  เจี้ยนซิน 

 นายน้อย? 

 ดูเหมือนว่าข้าจะลืมพัดเอาไว้ในลานบ้านของท่านลุงสอง เจ้าเข้าไปดูให้ข้าหน่อย 

 ขอรับนายน้อย  เจี้ยนซินหันหลังและกลับเข้าไปในลานบ้าน

 อย่าลืมหาให้ละเอียดและรอบคอบล่ะ  ซูเฉินกล่าวอย่างมีความหมาย

ในเวลาเดียวกันจ่างซงก็ได้ติดต่อกับซูเค่อจี่ในที่สุด

เมื่อได้เห็นจ่างซงนำยาที่เขารอคอยกลับมา ซูเค่อจี่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อีกต่อไป เขาดึงจ่างซงเข้าไปในห้องข้าง ๆ และคุยกับอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับกล่องไปจากจ่างซง เมื่อเปิดเช็คจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ซูเค่อจี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากนั้นก็คว้ากล่องและกลับไปที่บ้านของเขา

เมื่อเห็นฉากนี้ปากของซูเฉินก็คลี่ยิ้มขึ้น ขณะที่เขาพูดว่า  หมิงชูไปกันเถอะ 

หมิงชูรีบตามไปทันที

คนรับใช้ชื่อจางหยวนผู้ขาดสามัญสำนึก เมื่อเห็นว่าคนที่รังแกเขากำลังจะจากไป เขาก็กระโจนเข้าไปขวางและพูดว่า  นายน้อยสี่ เรื่องนี้มันยังไม่จบ 

ทว่าซูเฉินกลับออกกำปั้นและส่งเขาบินออกไป ก่อนจะพูดออกมาว่า  ตอนนี้มันจบแล้ว 

 

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

Status: Ongoing

ซูเฉินเคราะห์ร้ายสูญเสียการมองเห็นจากการเผชิญหน้ากับชายแก่ลึกลับ จากเด็กหนุ่มที่เคยยืนอยู่จุดสูงสุดในตระกูลกลับร่วงลงมาสู่ก้นเหวแห่งความมืดมิด แม้จะทุกข์ทรมานกับโลกอันดำมืด แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้โดยง่าย ซูเฉินยังคงมุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรคต่อไป เพื่อลิขิตโชคชะตาของตัวเองและเผ่ามนุษย์ขึ้นเสียใหม่!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท