ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) – บทที่ 113 งานมงคล

บทที่ 113 งานมงคล
อวี้เหวินถูกทำให้อารมณ์เสียอีกแล้ว เขาชี้นิ้วตามแผ่นหลังที่เคลื่อนออกไปไกลของเฉินฉีแล้วพูดกับอวี้ถังว่า “เจ้าดูสินั่น ไม่รู้เหตุใดสกุลเผยต้องให้เขามาส่งข่าวด้วย? หนึ่ง ไม่บอกว่าสกุลใดประมูลได้แผนที่ไป สอง ไม่…” วาจาพูดถึงตรงนี้ สีหน้าเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย
เขาเองก็เหมือนกัน เหตุใดไม่ถามเรื่องประมูลออกไปเล่า?
อวี้ถังก้มหน้าแอบหัวเราะพักหนึ่ง พอคิดว่าตนเองควบคุมสีหน้าได้แล้ว ถึงค่อยเงยหน้าแล้วส่งเสียงเรียก “ท่านพ่อ” ก่อนเอ่ยต่อไปว่า “เวลานี้การประมูลคงเพิ่งจะสิ้นสุด เหล่าสกุลใหญ่พวกนั้นคงยังไม่กลับ ตอนที่ประมูลเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง? เป็นสกุลใดที่ได้แผนที่ไป? เหตุใดเงินทองที่ได้มาจึงมากมายปานนี้? ตอนที่ข้าเจอท่านเฉินก็อยากถามออกไปแล้ว แต่คิดว่าตอนนี้นายท่านสามคงวุ่นวายอยู่กับเรื่องจะส่งแขกที่มาร่วมงานประมูลออกจากเมืองหลินอันอย่างสันติและราบรื่นได้อย่างไร ตอนนี้จะหาเวลากับเรี่ยวแรงที่ไหนมาเล่าเรื่องพวกนี้ให้เราฟังล่ะเจ้าคะ? ข้าคิดว่าพวกเราควรรออย่างสงบสักหลายวันก่อน ให้นายท่านเผยเสร็จธุระแล้ว ค่อยเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไปคารวะ เพื่อเป็นการขอบคุณเขาอย่างดีที่สุด!”
พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมงานประมูลด้วยซ้ำไป กลัวว่าจะมีคนเจตนาร้ายเชื่อมโยงเรื่องแผนที่กับสกุลอวี้เข้าด้วยกัน อีกอย่างนี่ก็คือความหมายที่เผยเยี่ยนต้องการบอก แล้วพวกเขาจะทรยศกับความหวังดีของเผยเยี่ยนได้อย่างไร หลายวันนี้ไม่เพียงรอคอยสกุลเผยอย่างสงบเสงี่ยม ยิ่งกว่านั้นก็ควรทำปฏิบัติตัวเช่นเมื่อก่อน ออกจากเรือนให้น้อย พูดจาให้น้อย สืบข่าวให้น้อย รอให้คนที่เข้าร่วมงานประมูลจากไปแล้ว พวกเขาค่อยหาเหตุผลไปเยี่ยมคารวะเผยเยี่ยนอย่างเปิดเผย
อวี้เหวินได้ฟังดังนั้นก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเฉินฉีอีก
เขาถามอวี้หย่วนว่า “งานแต่งเจ้า เจ้าส่งเทียบเชิญให้สกุลเผยแล้วหรือไม่?”
เรื่องใหญ่เช่นนี้ ย่อมต้องส่งเทียบเชิญให้สกุลเผยอยู่แล้ว
อวี้หย่วนตอบว่า “ส่งแล้วขอรับ แต่เป็นอาหมิงที่ส่งต่อให้ผู้ดูแลประตูขอรับ”
ปีๆ หนี่งไม่รู้ว่าสกุลเผยได้รับเทียบเชิญเช่นนี้มากน้อยเท่าไร ปกติมักจะมอบให้ผู้ดูแลประตู ผู้ดูแลประตูจะส่งต่อให้ผู้ที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ผู้ดูแลจะจัดการตามความห่างเหินหรือใกล้ชิดระหว่างสกุลผู้ส่งเทียบเชิญกับสกุลเผย คนส่วนมากทำเช่นนี้เพื่อแสดงความเคารพต่อสกุลเผย จึงได้ตั้งใจมาเรียนแจ้งให้ทราบสักคำ สกุลเผยก็จะเตรียมของขวัญอวยพรเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้ สกุลใดที่พอรู้จักมักคุ้นกับสกุลเผยอยู่บ้าง ก็จะได้ซองแดงสองตำลึงเป็นของขวัญ แต่หากมีความสัมพันธ์ดีขึ้นไปอีก ผู้ดูแลก็จะไปรายงานต่อเผยเยี่ยน โดยจะให้เผยเยี่ยนเป็นคนตัดสินใจว่าเขาจะไปแสดงความยินดีด้วยตนเองหรือจะส่งผู้ดูแลถือของขวัญอวยพรที่เหมาะสมไปมอบให้
สกุลอวี้ไม่ต้องการเชิญเผยเยี่ยนอย่างเอิกเกริก ดังนั้นจึงปฏิบัติตามธรรมเนียมเหมือนกับชาวเมืองคนอื่นๆ ที่ส่งเทียบเชิญไปให้ ส่วนว่าสกุลเผยจะจัดการอย่างไร ก็ให้เป็นเรื่องของสกุลเผยแล้ว
แต่อวี้เหวินคิดว่าเผยเยี่ยนไม่น่าจะมาร่วมงาน
งานประมูลกับงานแต่งของอวี้หย่วนห่างกันไม่กี่วัน หากเขามาแสดงความยินดีด้วยตนเอง กลัวแต่ว่าคนประสงค์ร้ายอาจสังเกตเห็นได้
เผยเยี่ยนคงจะยุ่งมากจริงๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกับสกุลของพวกเขาอีกเลย
พวกเขาเองก็เริ่มเตรียมข้าวของสำหรับงานแต่งของอวี้หย่วนอย่างสงบใจ
แต่สิ่งที่สกุลอวี้คาดไม่ถึงก็คือ ก่อนหน้างานแต่งของอวี้หย่วนหนึ่งวัน แม้เผยเยี่ยนจะไม่ได้มาด้วยตนเอง แต่ก็ส่งพ่อบ้านใหญ่เผยหม่านมาแทน
สีหน้าของเผยหม่านเต็มไปด้วยความละอายใจ “นายท่านสามยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่สะดวกมาร่วมงานด้วยตนเอง ขอนายท่านอวี้โปรดเข้าใจด้วยขอรับ!”
จริงอยู่ว่าเผยเยี่ยนกำลังไว้ทุกข์ แต่ในสายตาของชาวเมืองหลินอัน สกุลอวี้ยังไม่หน้าใหญ่พอจะเชิญเผยเยี่ยนมาร่วมดื่มสุรามงคลได้ ดังนั้นคำพูดนี้ของเผยหม่านจึงฟังรื่นหูและไว้หน้าสกุลอวี้อย่างมากแล้ว พวกนายท่านอู่ที่มาช่วยงานมีผู้ใดบ้างที่ไม่ฉลาดหัวไว พลันตอบกลับไปทันทีว่า “พ่อบ้านใหญ่พูดอะไรเช่นนั้น นายท่านสามจดจำวันมงคลของคุณชายอวี้ได้ก็นับว่ายากยิ่งแล้ว ยังจะให้นายท่านสามมาร่วมงานอีกได้อย่างไร พ่อบ้านใหญ่ในเมื่อมาเป็นตัวแทนของสกุลเผย เช่นนั้นก็เชิญดื่มสุรามงคลแล้วค่อยกลับไปรายงานผลเถอะ”
เผยหม่านบอกปัดอย่างนิ่มนวล “เหล่าเจ้านายยังเก็บตัวอยู่ในจวน ข้าผู้เป็นเพียงบ่าวไพร่จะกล้าฝืนธรรมเนียมได้อย่างไร ข้าขออวยพรให้คุณชายอวี้สามีภรรยารักใคร่ปรองดอง มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง รอให้ผ่านช่วงนี้ไปแล้ว จะมาเยี่ยมเยือนแสดงความยินดีกับนายท่านอวี้อีกครั้ง”
นายท่านอู่เป็นผู้ช่วยรับรองแขกในวันนี้ พอได้ฟังเขาเอ่ยเช่นนั้น ย่อมไม่ฝืนใจเขาต่ออีก เพียงไปส่งเผยหม่านถึงหน้าประตูด้วยรอยยิ้ม
คนของสกุลเซียงที่มาส่งสินเดิมและช่วยปูเตียงหันไปเห็นเข้า อดจะพยักหน้าติดๆ กันไม่ได้ แล้วแอบกระซิบกระซาบกันว่า “มิน่าผู้อื่นล้วนบอกว่าท่านป้านั้นเก่งกาจ ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่รับคุณหนูใหญ่มาเลี้ยงดู ทั้งหาสกุลที่มีหน้ามีตาให้คุณหนูใหญ่ตบแต่งได้ นี่ใช่ว่าใครที่ไหนจะทำได้นะ”
คนที่พวกเขาเรียกว่า ‘ท่านป้า’ นั้น หมายถึงนายหญิงเว่ยนั่นเอง
“นี่นับเป็นวาสนาของคุณหนูใหญ่!”
“ได้ยินว่าเหล่าบัณฑิตในเมืองหลินอันล้วนมาร่วมงานกันหมด งานแต่งนี้นับว่ายิ่งใหญ่ไม่เลวเลย”
“ต่อไปหากคุณหนูใหญ่คลอดคุณชายน้อยออกมา อย่างน้อยต่อไปเรื่องเล่าเรียนวิชาก็ไม่ต้องกังวลใจ ตอนนั้นนายท่านถึงยืนกรานจะแต่งกับนายหญิงให้ได้ ก็มิใช่เพราะสกุลเสิ่นเป็นสกุลบัณฑิตหรอกหรือ ต่อไปเหล่าคุณชายจะได้เล่าเรียนตามท่านลุงท่านอาอย่างไรเล่า”
คนของสกุลเซียงยังวิพากษ์วิจารณ์ต่อไม่หยุด
อวี้ถังกลับไปช่วยมารดาเตรียมความพร้อมของงานแต่งในวันพรุ่งนี้
ชากับสุราเพียงพอหรือไม่? ของขวัญตอบแทนที่ต้องมอบให้สกุลเซียงตกหล่นหรือเปล่า? คนที่จะไปรับเจ้าสาววันนี้เดินทางออกไปอย่างราบรื่นแล้วหรือยัง?
แม้จะเต็มไปด้วยเรื่องจุกจิก แต่หากขาดสิ่งใดไปก็อาจส่งผลให้งานมงคลเกิดข้อผิดพลาดได้ทั้งสิ้น
อลหม่านวุ่นวายอยู่เช่นนั้น ไม่ทันไรฟ้าก็มืดลงแล้ว เพราะฟู่หยางห่างออกไปเป็นระยะเดินทางหนึ่งวัน เกี้ยวรับเจ้าสาวของสกุลอวี้จึงต้องออกเดินทางล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อรับประกันว่าจะรับเจ้าสาวมาส่งเข้าประตูได้ทันฤกษ์ยามมงคล อวี้ถังกับมารดาออกมาส่งเกี้ยวรับเจ้าสาวด้วยกัน จากนั้นก็ไปตรวจสอบที่ห้องครัวและห้องหอ เห็นว่าทุกขั้นตอนจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงได้กลับเรือนไปแล้วทิ้งตัวนอนหลับสนิท
ผ่านไปเช่นนี้จึงถึงเช้าวันที่สอง ฟ้ายังไม่ทันสว่างนางก็ถูกป้าเฉินปลุกให้ตื่น “คุณหนู ป้าหวังบ้านนายท่านใหญ่มาถามว่า ท่านเอาป้ายคำอวยพรที่ใช้ตอนพิธีกราบไหว้ฟ้าดินไปวางไว้ไหนเจ้าคะ ทางโน้นกำลังจะจัดห้องโถงพิธีแล้ว”
ตอนแรกผู้มาช่วยงานได้ร่ายรายการของใช้ออกมา สิ่งของจำเป็นที่ใช้ในพิธีล้วนซื้อกลับมาในคราวเดียว ป้าสะใภ้ใหญ่ตอนนั้นกำลังชั่งตวงปลาและเนื้อสำหรับงานเลี้ยงอยู่ในครัว นางจึงช่วยป้าสะใภ้เก็บของไว้ให้ก่อน
อวี้ถังนั่งกอดผ้าห่มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพลางเปิดปากหาววอดๆ “จัดเร็วเกินไปหรือเปล่า? ระวังเด็กๆ ที่มาร่วมงานจะทำป้ายคำอวยพรเลอะเทอะเสียก่อน ข้าว่ารอเก็บกวาดงานเลี้ยงช่วงเที่ยงให้เสร็จแล้วค่อยติดป้ายคำอวยพรก็ได้นี่นา”
ป้าเฉินทางหนึ่งก็สั่งซวงเถาที่กำลังสัปหงกไม่ต่างกันให้มาช่วยอวี้ถังแต่งตัวหวีผม ทางหนึ่งก็คว้าชุดที่อวี้ถังเตรียมเอาไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนลงมาจากราวไม้ที่ใช้แขวนชุด
อวี้ถังบ้วนปากล้างหน้าเสร็จ คนก็เริ่มตื่นเต็มตาบ้างแล้ว จึงเอ่ยกับป้าเฉินว่า “เจ้าไปบอกป้าหวังสักคำเถอะ ป้ายคำอวยพรเก็บอยู่ในกล่องไม้สีดำที่วาดลายดอกเหมยในห้องเก็บของของป้าสะใภ้ ข้าหวีผมเสร็จแล้วจะตามไปช่วยงาน”
ป้าเฉินรับคำแล้วจึงเดินออกไป
ซวงเถาช่วยนางหวีผมเป็นทรงมวยก้นหอยคู่ ปักเครื่องประดับผมไข่มุกสีชมพูอย่างเรียบง่ายหนึ่งชิ้น แล้วเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมหังโจวตัวยาวสีฟ้าอ่อนลายผีเสื้อดอมดมบุปผาที่รีดเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้
ชุดนี้ค่อนข้างมีอายุ หากมิใช่ว่าอวี้ถังเป็นคนสวยจริงๆ จะใส่ชุดไหนก็ไม่อาจข่มความงามของนางได้ ไม่อย่างนั้นถ้าหลงหายไปกลางผู้คนก็คงหาตัวไม่เจอแล้ว
ทว่า วันนี้เป็นวันมงคลของคุณหนูเซียง งานแต่งสามวันไม่นับเด็กแก่[1] พอคุณหนูเซียงผ่านเข้าประตูมา ตอนที่เปิดผ้าปิดหน้า พวกนางเหล่าญาติๆ ก็กรูเข้าไปชมความคึกคักในห้องหอ นางจึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนไปโดยปริยาย ซึ่งการแต่งตัวเช่นนี้ก็เป็นไปตรงตามความต้องการของนางพอดี
ซวงเถาอดจะบ่มงึมงำไม่ได้ “คุณหนูควรจะเชื่อนายหญิงแต่แรก ใส่ชุดคลุมสีชมพูลายดอกชางผูงามกว่ากันตั้งเยอะ ทั้งยังเป็นผ้าลายใหม่ของปีนี้ที่เมืองหังโจวทำออกมาด้วย…”
แม้ระหว่างกลางจะมีงานประมูลเกิดขึ้น แต่คนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินก็พาอวี้ถังไปหังโจวมารอบหนึ่ง ไม่เพียงซื้อผ้าและเครื่องประดับที่ออกใหม่ ซ้ำยังซื้อถ้วยชามช้อนตะเกียบชุดใหม่ให้ที่เรือนเพิ่มอีกด้วย
ชุดที่ซวงเถาพูดถึงนั้น ก็คือชุดที่คนสกุลเฉินซื้อมาเพื่อให้นางใส่ตอนวันแต่งงานของอวี้หย่วน
อวี้ถังก็คิดว่างดงามดี
ทั้งเนื้อผ้า และสีชมพูนั่น เหมือนดั่งดอกเหมยที่เบ่งบานตอนเดือนสาม ช่วยขับเน้นผิวกายผู้สวมใส่ แต่มันทำให้นางโดดเด่นเกินไป…ตอนนางไม่ยิ้มก็ค่อนไปทางเคร่งขรึม ลดทอนความใสซื่อไร้เดียงสาของเด็กสาวไป ตรงข้ามกับสีแดงเข้มอีกชุดที่เข้ากับนางมากกว่า
ทว่า นางไม่คิดจะบอกเรื่องพวกนี้กับซวงเถา นางตัดบทซวงเถาที่กำลังร่ายยาวไม่หยุดว่า “เหตุใดเจ้าพูดมากเช่นนี้? เมื่อวานไม่ได้ใช้งานเจ้ามากพอใช่หรือไม่!”
ซวงเถานึกถึงความทุกข์ระทมของเมื่อวานที่เท้าแทบไม่ได้แตะพื้น จึงรีบหุบปากทันที
ความจริงนางแค่อยากจะพูดว่า วันนี้จะมีเหล่าสตรีมาร่วมงานมากมาย หากว่าอวี้ถังบรรจงแต่งตัวให้สะสวย ผู้คนก็ยิ่งจะจดจำนางได้มากขึ้น ไม่แน่อาจมีนายหญิงสกุลใดเห็นนางเข้าตา แล้วมาสู่ขออวี้ถังก็เป็นได้
นายหญิงใหญ่กับนายหญิงรองยังพูดแล้วเลยว่า รอให้คุณชายตบแต่งเรียบร้อยก่อน ค่อยทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่การหาเขยชายให้คุณหนู
สองคนมาถึงเรือนของอวี้ป๋อ คนสกุลหวังกับนายหญิงอีกหลายคนกำลังสนทนากันอยู่กลางลาน โถงใหญ่ยังมีสภาพเหมือนเมื่อวาน ไม่ได้ตกแต่งสิ่งใดเพิ่มเติม
หรือป้าสะใภ้เปลี่ยนใจแล้ว?
อวี้ถังเดินเข้าไปทักทายป้าสะใภ้อย่างงุนงง
ป้าสะใภ้ลากอวี้ถังเข้าไปแนะนำให้เหล่านายหญิงทั้งหลายได้รู้จักด้วยรอยยิ้มที่เกลื่อนหน้า
ทุกคนล้วนเป็นนายหญิงคุมเรือนที่มีหน้ามีตาของเมืองหลินอันทั้งสิ้น
บางคนอวี้ถังเคยพบหน้าแล้วเมื่อครั้งอยู่สกุลหลี่ตอนชาติก่อน บางคนนางเคยได้ยินชื่อเสียงของผู้เป็นสามีมาบ้าง คนสกุลหวังแนะนำเพียงรอบเดียว อวี้ถังก็จำชื่อทุกคนได้ขึ้นใจ ตอนที่สนทนากันก็เรียกชื่อได้ไม่ตกหล่น บวกกับนางมีประสบการณ์ที่สั่งสมจากชาติก่อน ระหว่างพูดจาก็วางตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าพวกนางจะถามสิ่งใดนางล้วนตอบได้อย่างรื่นไหลไม่ติดขัด นายหญิงทั้งหลายต่างมองนางด้วยสายตาที่สูงขึ้นกว่าเดิม ความชื่นชมแสดงออกผ่านน้ำเสียง ทั้งให้ความเป็นมิตรกับนางอย่างมาก
มีนายหญิงของซิ่วไฉสกุลเจิงผู้หนึ่งถึงขนาดถามไถ่อายุของนางโดยไม่สนใจกาลเทศะ ซักไซ้ว่าปกตินางทำอะไรเป็นงานอดิเรก อ่านสมุดบัญชีเป็นหรือไม่
ป้าสะใภ้กลับไม่ได้กีดกัน นายหญิงคนอื่นต่างก็มองนางยิ้มๆ ทำหน้าคล้ายว่าอยากรู้ด้วยเช่นเดียวกัน
อวี้ถังเพิ่งจะรู้ตัวตอนนั้นเอง
ป้าสะใภ้กำลังฝากฝังให้ผู้อื่นเป็นแม่สื่อให้นางอยู่!
อวี้ถังพลันดวงหน้าแดงก่ำ แต่ยังคงตอบคำถามของนายหญิงเจิงอย่างกระชับคำอยู่ดี
นายหญิงเมิ่งเห็นดังนั้น มีเจตนาจะช่วยอวี้ถังขัดตาทัพ นางหันไปเอ่ยกับคนสกุลหวังพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้ยินมานานว่าหลานสาวบ้านนี้งดงามนัก วันนี้ได้มาเห็น ไม่เพียงสะสวยสมคำ วาจากิริยาก็เข้าที นายหญิงเฉินช่างอบรมมาดีเหลือเกิน!”
นายหญิงคนอื่นๆ จึงเอ่ยเยินยอตามไปด้วย
คนสกุลหวังเห็นว่าพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ให้อวี้ถังไปเตรียมของที่จะใช้ตกแต่งโถงพิธีเอาไว้ ทั้งยังเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดมีเหตุผล พวกเราเก็บกวาดงานเลี้ยงมื้อเที่ยงแล้วค่อยตกแต่งโถงพิธีจะดีกว่า”
ในเมื่อเป็นงานมงคล ธุระเรื่องตกแต่งโถงพิธีและห้องหอล้วนเป็นหน้าที่ของบิดามารดาทั้งสองฝ่าย หรือไม่ก็นายหญิงที่มีทั้งบุตรธิดาครบพร้อม เหล่านายหญิงหลายคนนี้คะเนว่าคงมาช่วยงานเป็นแน่
อวี้ถังรับคำแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องน้ำชา พลันได้ยินเสียงนายหญิงเมิ่งอย่างเลือนลางว่า “พวกท่านได้ยินเรื่องสกุลหลี่แล้วหรือไม่?”
มีคนเอ่ยต่อทันทีว่า “สกุลหลี่ที่อยู่ตอนใต้ของเมือง ที่มีคุณชายเป็นจวี่เหรินน่ะรึ?”
“ถูกต้องแล้ว” นายหญิงเมิ่งตอบเสียงเบา แต่อวี้ถังก็ยังได้ยินประโยคถัดไปว่า “ได้ยินว่าถูกถอนหมั้น…หลายวันก่อนไปเมืองหังโจวยังไม่กลับมาเลย…ใต้เท้าหลี่ร้อนใจแทบแย่ ส่งกุนซือข้างกายมาเอง ให้เดินทางไปสกุลกู้พร้อมกับฮูหยินหลี่…”
————————————————————-
[1]งานแต่งสามวันไม่นับเด็กแก่ คือประเพณีของงานแต่งงาน หลังจากแต่งงานได้สามวัน แขกเหรื่อ เพื่อนบ้าน มิตรสหายล้วนไม่แบ่งแยกอาวุโส ชายหญิงเด็กผู้ใหญ่สามารถมาร่วมหยอกล้อสร้างความครื้นเครงแก่คู่บ่าวสาวได้ทั้งสิ้น โดยมีความเชื่อว่าการทำเช่นนี้เป็นการเสริมบรรยากาศมงคล ขับไล่ความชั่วร้ายและหลีกเลี่ยงสิ่งอัปมงคลต่างๆ ถือเป็นการอวยพรให้บ่าวสาวสมปรารถนา เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป
ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇)

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇)

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ดราม่า ผลงานใหม่จาก ‘จือจือ’ แนวชิงไหวชิงพริบแวดวงค้าขาย และรักต่างชนชั้นน่าลุ้น! ‘อวี้ถัง’ บุตรสาวคนโตของตระกูลพ่อค้า ลืมตาตื่นขึ้นมาในวันที่กิจการครอบครัวถูกไฟไหม้วอดวาย วันนั้น…คือห้วงเวลาก่อนที่ตัวนางต้องแต่งงานเข้าสกุลหลี่เพื่อพยุงกิจการครอบครัว แล้วกลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว และถึงคราวพบจุดจบแสนอาภัพ เมื่อโชคชะตาไม่ใจร้าย ส่งให้นางย้อนกลับมาแก้ไขเรื่องราวก่อนจะสายเกินไป นางจึงต้องทำทุกทาง แม้กระทั่งไปพัวพันกับคนสกุลเผยที่สถานะสูงศักดิ์เหนือผู้ใด เพื่อกอบกู้ฐานะทางการเงิน เพื่อรักษาครอบครัวให้ยังอยู่พร้อมหน้า ทักษะทางการค้า ไหวพริบ เล่ห์กลจึงต้องมี ทว่า ‘เผยเยี่ยน’ นายท่านสามแห่งสกุลเผย ผู้ที่ครั้งก่อนไม่เคยอยู่ในสายตากลับปรากฏตัวให้นางเห็นอยู่ร่ำไป นอกจากชะตาครั้งใหม่ เห็นทีเรื่องหัวใจอาจเป็นฤดูกาลใหม่เช่นกัน ฤดูใหม่นี้… หญิงสาวไร้เดียงสาดั่งบุปผากลีบบาง จะเปลี่ยนเป็นบุปผางามที่แข็งแกร่ง นี่คือ ห้วงเวลาของบุปผาที่กำลังผลิบาน บนย่านการค้าแห่งนี้ที่แข่งกันเร่าร้อนดั่งฟอนไฟ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท