ทุกคนหันไปมองนายพรานบนเตียง เขายังอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยเลือด เพียงแต่พลังปีศาจรอบตัวของเขาหายไปแล้ว ชางผิงเดินขึ้นหน้าจับชีพจรของอีกฝ่าย ทันใดนั้นเบิกตาโต หันไปมองคนอื่นด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“เจ้าสำนัก พลังปีศาจบนตัวหายไปหมดแล้ว พลังชีวิตกำลังฟื้นกลับมาอย่างช้าๆ” เขามองชวีฉิวหมิงด้วยสายตาเหลือเชื่อ ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะมีฝีมือเก่งกาจเช่นนี้ ใช้เวลาเพียงครึ่งเค่อเท่านั้น ตอนนั้นทั้งเขาและหมอรักษาพลังลมปราณอีกสองคนใช้สุดความสามารถถึงรักษาเศษเสี้ยวพลังชีวิตของอีกฝ่ายไว้ได้ เขากลับสามารถกำจัดพลังปีศาจได้รวดเร็วเช่นนี้ “ฝีมือของสหายท่านนี้ช่างน่าตะลึง!”
“ฮึ! เพียงแค่พลังปีศาจเท่านั้น ข้าไม่ใส่ใจหรอก” ชวีฉิวหมิงหัวเราะเสียงเย็น กวาดตามองทุกคนอย่างดูถูก จากนั้นหันไปหาผู้คุมสอบอย่างอวิ๋นเจี่ยว ก่อนจะพูดขึ้นราวกับท้าทาย “ไม่ทราบว่าหมอรักษาพลังลมปราณท่านนี้มีความเห็นอย่างไรกับฝีมือข้า”
สีหน้าของอวิ๋นเจี่ยวไม่มีการเปลี่ยนแปลง นางเดินเข้าไปมองดูคนบนเตียง สายตากวาดผ่านบาดแผลที่ยังคงมีเลือดไหลออกมา ทันใดนั้นสีหน้าดำลง ก่อนจะพูดขึ้นมา “ทำไมถึงไม่ห้ามเลือดและทำแผลให้เขา” แม้ว่าพลังปีศาจจะกำจัดไปแล้ว แต่บาดแผลลึกเพียงนี้ หากเลือดยังไหลต่อไปก็เป็นอันตรายเช่นเดียวกัน
ชางผิงที่อยู่ด้านข้างผงะ ก่อนจะตั้งสติได้ “ใช่ๆๆ ห้ามเลือด” ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นบททดสอบของชวีฉิวหมิง เขารีบหยิบเข็มเงินออกมาจากกล่องข้างตัว ห้ามเลือดให้อีกฝ่าย พร้อมทั้งใช้ยันต์วิเศษในการเร่งให้บาดแผลสมานตัว
ชวีฉิวหมิงสีหน้าดำลง ในดวงตามีบางอย่างแวบผ่านไป ก่อนจะโต้เถียงขึ้น “ข้าสามารถกำจัดพลังปีศาจบนตัวเขา ก็เพียงพอที่จะยืนยันฝีมือของข้าแล้ว ส่วนเรื่องเล็กอย่างการห้ามเลือดทำแผล คงไม่ต้องให้ข้าทำ?”
“เรื่องเล็ก?” อวิ๋นเจี่ยวผงะไป ทันใดนั้นเสียงเย็นลงทันที หันไปมองเขาอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น “ท่านรู้ไหมว่าเสียเลือดมากจะเกิดอะไรขึ้น หากอาการหนักอาจทำให้เกิดการช็อก! กำจัดพลังปีศาจมากแค่ไหนก็ไม่ช่วย ท่านในฐานะที่เป็นหมอกลับคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก? วิชาทางการรักษาไม่เคยมีเรื่องเล็ก!”
“เจ้า…” ชวีฉิวหมิงถูกนางตำหนิ ทันใดนั้นความโกรธยิ่งมากขึ้น สีหน้าราวกับถูกคนดูถูก “ข้าว่าท่านจงใจหาเศษกระดูกในไข่ไก่ ไม่ยอมเห็นคนอื่นมีฝีมือดีกว่า”
“เจ้าว่าใครฝีมือไม่ดี!” อวิ๋นเจี่ยวยังไม่ทันตอบ ชายแก่ที่อยู่ด้านข้างกลับทนไม่ไหว ตอกกลับไปทันที “กำจัดเพียงพลังปีศาจ คิดว่าเจ้ามีฝีมือมาก เจ้าหนูแม้แต่ปีศาจยังเคยรักษา จะสนใจแค่การกำจัดพลังปีศาจของเจ้า” ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ดูท่าทางขาดแคลนการฝึกฝนด้วย!
“ฮึ ข้ารักษาคนป่วยนี้ทุกคนก็เห็น” ชวีฉิวหมิงยังคงยิ้มเสียงเย็น “นางกลับยึดเอาเรื่องห้ามเลือดทำแผลมาเป็นประเด็น ไม่ได้จงใจหาเรื่องคืออะไร หากไม่พอใจให้ข้าเป็นท่านอาวุโสก็พูดตามตรง ไม่ต้องใช้แผนการเช่นนี้ สำนักเทียนซือยังแทนตัวเองว่าเป็นผู้นำเสวียนเหมิน ดูท่าก็เป็นเพียงพวกโจรขโมย”
“สหายชวีระวังคำพูด!” เจ้าสำนักแต่ละคนล้วนสีหน้าดำทะมึน ยิ่งพูดยิ่งเหลวไหล เมื่อครู่อวิ๋นเจี่ยวเพียงแค่เตือนให้รีบห้ามเลือด ในฐานะที่เป็นหมอ ปฏิกิริยาแรกคือช่วยเหลือผู้ป่วย แต่เขากลับคิดไปไกลเช่นนี้ อีกทั้งยังไร้เหตุผลสิ้นดี
“ข้าพูดความจริง” ชวีฉิวหมิงยังคงทำสีหน้าไม่ยอม มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวอีกครั้ง “หากท่านไม่ยอม ท่านมาแข่งกับข้า ไม่ว่าคนป่วยแบบไหน ข้าจะรักษาให้หาย”
สีหน้าของทุกคนดำยิ่งกว่าเดิม เจ้าสำนักสวีกำลังจะพูด
อวิ๋นเจี่ยวกลับถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างจริงจัง “ได้!”
ทุกคน “…”
ชายแก่ “…”
ทำไมรู้สึกไม่ค่อยดี อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้โกรธขึ้นมาจริงๆ คิดอยากจะแข่งขันกับคนแซ่ชวีนี้ใช่หรือไม่
ชวีฉิวหมิงกลับยิ้มเยาะเย้ย “หากเป็นเช่นนี้ คนป่วยที่จะรักษาท่านเลือกมาได้เลย ไม่ว่าคนแบบไหนข้าก็รักษาได้ทั้งนั้น พวกท่านจะได้ไม่มีเหตุผลมาพูดอีก”
“ใครก็ได้?” อวิ๋นเจี่ยวยืนยันอีกครั้ง
“แน่นอน!” เขาพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ท่านแน่ใจ?”
“ไม่ต้องพูดมาก พาข้าไปหาคนป่วยได้เลย” เขาโบกมือไปมาอย่างตัดรำคาญ
“ดี!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “หากจะรักษา ไม่ต้องยุ่งยาก” พูดเสร็จนางก็หันไปมองข้างตัวของเขา “เริ่มจากน้องฉ่ายเตี๋ยข้างตัวท่านเถอะ”
“…”
หลังจากที่นางพูดจบ ไม่เพียงแต่ชวีฉิวหมิง แม้แต่เจ้าสำนักสวีและเหล่าเจ้าสำนักล้วนตะลึงไป กระทั่งฉ่ายเตี๋ยเองก็ผงะไป ตามมาด้วยสายตาดีใจอย่างยิ่ง
“ท่าน…ท่านพูดอะไร” ชวีฉิวหมิงสักพักถึงได้พูดออกมา มองไปยังฉ่ายเตี๋ยที่อยู่ด้านข้างจากนั้นหันไปมองนาง ทันใดนั้นกล่าวอย่างโกรธเคือง “ท่านพูดเหลวไหลอะไร ฉ่ายเตี๋ยนางไม่เป็น…”
“นางใกล้ตายแล้ว!” เขายังพูดไม่ทันจบ อวิ๋นเจี่ยวกลับพูดขัดขึ้นทันที “เส้นชีพจรขาดสิ้น พลังถูกทำลาย อีกทั้งจิตเดิมไม่เสถียร ถึงแม้จะดูเหมือนปกติ แต่มีความเสี่ยงที่จะวิญญาณสลายทุกเวลา”
สีหน้าของชวีฉิวหมิงและฉ่ายเตี๋ยต่างซีดลง เพียงแต่ชวีฉิวหมิงเป็นความตกตะลึง ส่วนของฉ่ายเตี๋ยเป็นความกังวล
“เป็นไปไม่ได้! ฉ่ายเตี๋ยอยู่กับข้าตลอด ทำไมข้าจะ…” ชวีฉิวหมิงโพล่งออกมา ก่อนจะหยุดลงอย่างกะทันหัน ราวกับต้องการปิดบังอะไรบางอย่าง ส่วนฉ่ายเตี๋ยที่อยู่ด้านข้างสีหน้าดำลง ดวงตามีความสงสัยแวบผ่าน
“แม่นางฉ่ายเตี๋ย ให้ข้าดูชีพจรให้ท่านเถอะ” ชางผิงเดินขึ้นหน้าด้วยความสงสัย เขาเอื้อมมือไปจับบนเส้นชีพจรของอีกฝ่าย เขาเป็นหมอรักษาพลังลมปราณเช่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายอาการหนักจริง คงจะสามารถดูได้จากชีพจร
เขาตรวจอยู่สักพัก สีหน้าซีดเผือดลงในทันที ดวงตาเบิกโพลงมองไปยังอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อ “เป็นเรื่องจริง! ชีพจรของนางขาดหมดแล้ว อีกทั้งยังดูเหมือนขาดเป็นเวลานาน ท่าน…ท่านยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
ร่างกายของนางย่ำแย่มาก อีกทั้งยังแย่กว่าที่อวิ๋นเจี่ยวพูดเสียอีก คนธรรมดาหากบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ขยับหนึ่งทียังทำไม่ได้ อย่าว่าแต่เดินไปมาอย่างสะดวกเช่นนี้ แต่แม่นางฉ่ายเตี๋ยนี้ดูจากภายนอกกลับไม่มีความผิดปกติ
สีหน้าของชวีฉิวหมิงตกตะลึงมากยิ่งขึ้น เขามองไปยังฉ่ายเตี๋ยราวกับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ “ฉ่ายเตี๋ย เจ้า…จริง…”
ชางผิงกำลังจะดูให้ละเอียดลงไป สีหน้าของฉ่ายเตี๋ยกลับเปลี่ยนไปทันที นางชักมือออกอย่างรวดเร็ว หันไปกอดชวีฉิวหมิงแน่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและอ้อนวอน “พี่หมิงฝีมือเก่งกาจเช่นนี้ จะต้องรู้ว่าฉ่ายเตี๋ยป่วยอย่างแน่นอน พี่จะรักษาข้าให้หายใช่หรือไม่” น้ำเสียงของนางราวกับรอคอยมานาน
ชวีฉิวหมิงตัวแข็งทื่อ สีหน้าไม่ธรรมชาติปรากฏขึ้น มองไปยังรอบด้าน แต่ไม่มีน้ำเสียงปลอบประโลมเหมือนอย่างเคย สีหน้าของเขาซีดเผือด “ฉ่ายเตี๋ย ข้า…”
“เริ่มเถอะ!” อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้น นางยังคงใบหน้าจริงจังนั้น “พวกท่านคุ้นเคยกัน เช่นนั้นท่านเริ่มก่อน? ต้องการให้พวกข้าถอยออกไปไหม”
“…”