“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่! ไม่ใช่แบบเมื่อก่อนสิ! พวกเราต้องสนิทสนมกันมากๆ มากๆ ต่างหาก!”
หวังเจียเหยาร้อนรน หล่อนรู้ว่าตัวเองพูดผิดอีกแล้ว หล่อนทำให้เย่เฉินนึกถึงเรื่องแย่ๆ ที่ตนเองเคยทำกับเขาในตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา
เย่เฉินเหยียดยิ้ม “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกมั้ง? แค่ไม่ให้คุณย่ารู้ว่าพวกเราหย่ากันก็น่าจะพอแล้วล่ะมั้ง?”
สำหรับข้อเสนอเรื่อง ‘แกล้งทำเหมือนกับว่ายังไม่ได้หย่ากัน’ เขาเห็นด้วย ถึงหวังเจียเหยาไม่พูด เขาเองก็อาจจะเป็นฝ่ายพูดก่อนด้วยซ้ำไป
เพราะคุณย่าเล็กหวังอย่างมากว่าคนทั้งสองจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ตอนนี้หญิงชราใกล้จะตายถ้ารู้เรื่องที่พวกเขาหย่ากันเกรงว่าจะตายไปด้วยใจที่ไม่เป็นสุขนัก
อย่างไรเสียหญิงชราผู้นี้ก็เป็นผู้มีพระคุณกับเย่เฉิน เขาจะทนให้อีกฝ่ายจากไปอย่างทุกข์ทรมานได้อย่างไร?
หวังเจียเหยาอธิบาย “จำเป็นสิ จำเป็นมากๆ เลย! คุณย่าบอกว่าย่าเล็กรู้ตัวตนของนายนานแล้ว แล้วก็รู้เรื่องที่ทั้งสองตระกูลตกลงกัน ตอนนี้เวลาสามปีที่กำหนดก็ผ่านไป ถ้าหากเราสองคนยังไม่หย่ากัน นายก็จะต้องบอกความจริงฉันแล้ว พอฉันรู้เรื่องของนายก็ย่อมไม่ทำกับนายเหมือนเดิม เราสองคนจะต้องรักกันมากๆ ถึงจะถูก!”
เย่เฉินนิ่งไป “คุณย่าเล็กรู้ตัวตนของผมเหรอ?”
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว การคาดเดาของคุณนายหวังก็มีเหตุผลอยู่บ้าง
เขยที่แต่งเข้าอย่างเย่เฉิน คนอื่นละเลยเขา เยาะเย้ยเขา มีแต่คุณย่าเล็กที่ดีกับเขาขนาดนี้
บางทีคุณย่าเล็กอาจรู้ความจริงของเรื่องนี้เหมือนกับพี่ชายของหล่อน!
เย่เฉินถอนหายใจยาว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหญิงชราคนนี้ก็เป็นคนดีทีเดียว ไม่ใช่เฉพาะกับเย่เฉินแต่ดีกับคนอื่นเหมือนๆ กัน
ต่อให้หล่อนดีกับเขาแบบนั้นเพราะรู้ตัวตนของเย่เฉินจริงๆ แต่บุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้อย่างไรก็ต้องทดแทน
เย่เฉินนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ก็ได้ ผมรับปากแล้วกัน ตอนนั้นคุณจะทำอะไรก็ตามใจคุณแล้วกัน”
หญิงชราป่วยใกล้ตาย เย่เฉินทำได้แค่ให้ความร่วมมือแสดงกับอีกฝ่ายให้ดีที่สุดเท่านั้น
“อืม” หวังเจียเหยาดีใจอย่างมาก “เย่…ที่รัก ตั้งแต่ตอนนี้ฉันจะเรียกนายว่าที่รักแล้วกัน จะได้ไม่พลาดเวลาเจอคุณย่าเล็กเรียกชื่อกันเฉยๆ เดี๋ยวคุณย่าจะสงสัย!”
เย่เฉินหัวเราะเสียงเย็น “ตามใจ”
อย่างไรเสียก็เป็นแค่การแสดงเท่านั้น ต่อให้หวังเจียเหยาเรียกเขาว่าที่รัก เขาก็ไม่มีทางเห็นอีกฝ่ายเป็นภรรยา!
หวังเจียเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ที่รักว่างตอนไหนคะ? คุณย่าบอกว่าทางที่ดีออกเดินทางคืนนี้ อย่างช้าก็พรุ่งนี้ตอนเช้า ไม่อย่างนั้นอาจจะไปไม่ทันดูใจคุณย่าเล็กเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว!”
เย่เฉินไม่ได้มีธุระอะไรที่สำคัญ เขาอยากจะเป็นคนกล่าวขอบคุณหญิงชราในเรื่องเมื่อก่อนด้วยตัวเองจึงกล่าว “ออกเดินทางตอนนี้เลยแล้วกัน”
ตอนนี้ 20.46 น.เดินทางไปหยางหนิงใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่ง จะได้นอนพักที่นั่นสักคืนพอดี
หวังเจียเหยาดีใจอย่างยิ่งรีบกล่าว “ได้เลย อย่างนั้นในเมื่อพวกเรายังไม่ได้หย่ากัน ฉันว่าฉันนั่งรถ มายบัคของนายไปดีกว่าคุณย่าน้อยจะได้ไม่สงสัย ให้มันสมจริงสักหน่อย”
หวังเจียเหยายังคงระลึกถึงรถมายบัคคันนั้นอยู่ตลอดเวลา
เย่เฉินไม่ปฏิเสธ “ก็ได้”
หวังเจียเหยาจึงกล่าวต่อว่า “ขอบคุณนะคะที่รัก! แล้วก็พ่อบ้านฟางมีรถโรลส์-รอยซ์ป้ายทะเบียนปักกิ่งคันหนึ่งใช่ไหมคะ? คุณย่าบอกว่าอยากจะนั่งคันนั้น”
คนบ้านนี้ขี้อวดจริงๆ แค่ไปเยี่ยมญาติ แถมญาติใกล้จะตายยังมีอารมณ์จัดแจงอะไรพวกนี้อีก เย่เฉินคิดในใจ
ทว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เขาจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย
“พวกคุณรอที่วิลล่าเขตซีซาน เราจะไปกันเดี๋ยวนี้”
พอวางสายเย่เฉินก็บอกพ่อบ้านฟาง “ผมคงต้องขอยืมรถสักสองวัน”
พ่อบ้านฟางกลัวเย่เฉินคุยโทรศัพท์นานจนคอแห้ง จึงรีบรินชาให้ชายหนุ่มแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “คุณชายอย่าพูดแบบนั้นเลยครับ รถของผมก็คือรถของคุณ ให้ผมใช้คนขับรถไปส่งให้ที่ซีซานไหมครับ?”
เย่เฉินพยักหน้า เขาดื่มชาจิบหนึ่งแล้วถาม “พ่อบ้านฟาง คุณพอจะจำน้องสาวของปู่หวังเจียเหยาได้หรือไม่? หล่อนรู้ตัวตนของผมมาตลอดเลยหรือเปล่า?”
สามปีก่อนเรื่องที่เขาแต่งเข้าตระกูลหวัง พ่อบ้านฟางไปส่งคุณปู่ของเขาคุยเรื่องนี้ดังนั้นเขาน่าจะรู้รายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมด
พ่อบ้านฟางส่ายศีรษะแล้วกล่าว “หล่อนน่าจะไม่รู้ แต่ถ้ารู้ก็น่าจะเป็นเพราะปู่ของหวังเจียเหยาเป็นคนบอก”
เย่เฉินจุดบุหรี่อย่างอดใจไม่ไหวแล้วเกิดสงสัยขึ้นมา “จากที่ผมเข้าใจย่าเล็กและคุณปู่ของหวังเจียเหยาสองคนพี่น้องสนิทสนมกันอย่างมาก ต่างก็เห็นลูกหลานของอีกฝ่ายเป็นลูกหลานของตัวเอง ในเมื่อย่าน้อยตระกูลหวังรู้ว่าผมเป็นใคร ย่อมต้องไม่ยอมให้ผมหย่ากับหวังเจียเหยา แล้วปล่อยให้ตระกูลหวังต้องสูญเสียเขยที่ร่ำรวยแบบผมแต่ว่าคุณย่าเล็กไม่เพียงแต่ปล่อยให้ผมหย่ากับหวังเจียเหยาแถมยังปล่อยให้หวังเจียเหยาแต่งกับฟางเชาด้วย นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย! ชักจะแปลกเกินไปแล้ว นอกเสียจากว่าหวังเจียเหยาไม่ใช่ลูกหลานตระกูลหวังจริงๆ ไม่อย่างนั้นทำไมคุณย่าเล็กถึงไม่ห้ามกันนะ? แถมยังปล่อยให้หลานสาวโดดจากสวรรค์ไปลงนรกด้วย?”
พ่อบ้านฟางเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกมากทีเดียว ฟางจื่อเผิงจึงกล่าวถาม “หรือเป็นเพราะว่าคุณย่าเล็กคนนั้นป่วยหนักเลยไม่รู้ข่าวเรื่องที่พวกคุณหย่ากันหรือเปล่าครับ?”
เย่เฉินกล่าวว่า “ผมเองก็หวังให้เป็นอย่างนั้น แต่ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะง่ายดายอย่างนั้น”
ตอนนี้เย่เฉินยังไม่รู้สถานการณ์จริงๆ ในตอนนี้ของคุณย่าเล็ก แต่ถ้าหากว่าหญิงชราป่วยหนักมาเดือนกว่า อย่างนั้นแล้วถึงคนบ้านนั้นจะรู้ข่าวคราวเรื่องการหย่ากันของพวกเขาสองคนแต่ก็คงไม่บอกหญิงชราเพื่อสุขภาพของหล่อน
เช่นนั้นก็แปลว่าหญิงชราน่าจะยังไม่รู้อะไร
แต่ถึงหล่อนจะไม่รู้เรื่องอะไร คนฉลาดอย่างหล่อนก็น่าจะเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้านานแล้ว น่าจะสั่งเสียญาติหรือลูกน้องเอาไว้ทำนองว่า ถ้าหากว่าฉันเป็นอะไรไป ถ้าบ้านหวังเกิดอะไรขึ้นมา พวกเธอต้องทำอะไรบ้างอะไรพวกนี้
เย่เฉินปวดหัวตุบๆ เขาจึงเลิกคิด เขาชันตัวลุกขึ้นแล้วนั่งรถไปที่วิลล่าที่ซีซาน
พอไปถึงปากประตูวิลล่าคนตระกูลหวังก็เตรียมตัวกันเสร็จนานแล้ว หวังเจียเหยาถือกระเป๋าเป้ใบหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูรถเขาแล้วเข้ามานั่งด้านใน
พอจะมองออกว่าหวังหยวนหยวนที่อยู่ไกลๆ กระทืบเท้าอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก เห็นได้ชัดว่าเจ้าหล่อนเองก็อยากจะนั่งรถมายบัคคันนี้ด้วยเช่นกัน
ทว่าหวังหยวนหยวนกับคุณนายหวังต่างก็ไปนั่งในรถโรลซ์-รอยซ์ของพ่อบ้านฟาง
รถทั้งสองคันบวกกับออดี้ Q7 ของหวังจื้อหย่วนก็ออกเดินทางไปหยางหนิงทันทีโดยไม่พิรี้พิไร
หวังเจียเหยาดีใจอย่างยิ่งที่ได้นั่งในรถมายบัคอีกครั้ง คราวก่อนนั่งไปแค่สองนาทียังไม่หนำใจเลย!
หล่อนหยิบแชมเปญออกมาจากกระเป๋าแล้วกล่าว “ที่รัก ให้ฉันเทแชมเปญให้ที่รักสักแก้วนะคะ!”
หวังเจียเหยาอยากจะลองสัมผัสบรรยากาศดื่มแชมเปญในด้านหลังรถนั้นตั้งแต่นั่งรถคันนี้เมื่อคราวก่อน
เสียดายที่ครั้งก่อนเย่เฉินไม่ยอมรินให้หล่อน
คราวนี้หวังเจียเหยาจึงเตรียมแชมเปญมาเองขวดหนึ่ง
เย่เฉินมองหวังเจียเหยาแล้วถาม “ดื่มแชมเปญเนี่ยนะ? ฉลองที่ย่าเล็กของคุณจะลาโลกหรือไง?”