เพราะว่าหลิ่วอวี่เจ๋อต้องการจะไปตรวจร่างกายซ้ำที่เทียนไห่อีกรอบ เพื่อจะได้ตรวจให้แน่ใจว่าตนเองเป็นหมันจริงหรือไม่
ดังนั้นตั้งแต่หลิ่วอวี่เจ๋อออกจากโรงพยาบาลมาก็รีบโร่ไปเทียนไห่ทันที
ส่วนหวังเจียเหยานั้นก็ติดตามหลิ่วอวี่เจ๋อมาที่เทียนไห่ด้วยเช่นกัน
หลังจากที่หลิ่วอวี่เจ๋อแอบหวังเจียเหยาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้วก็พบว่าผลก็ยังเหมือนที่อวิ๋นโจวนั่นคือเขาไม่สามารถมีลูกได้แล้วจริงๆ
ด้วยโทสะเขาใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีจัดแจงให้หมอ พยาบาที่อยู่เวรในวันนั้นโดนไล่ออก แถมยังใช้เงินก้อนใหญ่ควานหาตัวพยาบาลที่เป็นคนฉีดยาให้ตนเองในวันนั้นด้วย
แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังทำตัวเหมือนว่าตนเองไม่มีอะไรผิดปกติเวลาอยู่ต่อหน้าหวังเจียเหยา
อีกอย่างพอมาถึงเทียนไห่แล้วหลิ่วอวี่เจ๋อและหวังเจียเหยาก็นอนด้วยกัน
เพราะตอนนี้หวังเจียเหยากำลังตั้งครรภ์อยู่ ทั้งสองคนจึงยังไม่ได้เผด็จศึกกัน
หลิ่วอวี่เจ๋อส่งโทรศัพท์ให้หวังเจียเหยาดูพลางกล่าว “คุณดูนี่ ฉินหงเหยียนลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทแล้ว”
“อะไรนะ? ทำไมล่ะ? ผู้หญิงคนนี้อยากเป็นประธานบริษัทจะตายไม่ใช่เหรอ? คุณโจมตีบริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ปอีกแล้วใช่ไหม?”
หวังเจียเหยารู้ดีว่าฉินหงเหยียนเป็นคนทะเยอะทะยานไม่มีทางยอมลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทง่ายๆ แน่
หลิ่วอวี่เจ๋อแสร้งทำท่าทางใสซื่อ “เปล่านะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรพวกเขาเลยเหมือนว่าในอินเตอร์เน็ตจะแฉเรื่องหล่อนบอกว่าชีวิตส่วนตัวของฉินหงเหยียนยุ่งเหยิงวุ่นวาย แถมยังเคยอ่อยพวกผู้บริหารที่มีภรรยาแล้วเยอะแยะ ดังนั้นหัวเซิ่งถึงพลอยซวยไปด้วย ราคาหุ้นก็ตกลงฮวบๆ ต่อมาเหมือนพวกผู้ถือหุ้นบีบบังคับให้หล่อนลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัท”
หวังเจียเหยากล่าวอย่างอารมณ์ดี “เป็นแบบนั้นเหรอคะ? ฮ่าๆ ฉินหงเหยียนก็มีวันนี้เหมือนกัน!”
ฉินหงเหยียนเคยตบหน้าหญิงสาวฉาดหนึ่ง แถมยังมักจะเอาคุณสมบัติและความสามารถมาข่มหล่อน แถมยังมักจะมองข้ามหวังเจียเหยา และสนิทสนมกับอดีตสามีของหล่อนอย่างมาก
ดังนั้นหวังเจียเหยาจึงเกลียดชัง และริษยาและฉินหงเหยียน
หล่อนรีบร้อนเอามือถือออกมาเพื่อดูข่าวของฉินหงเหยียน เมื่อดูเสร็จแล้วก็กล่าวเสียงดัง
“ฉินหงเหยียนเดิมทีเป็นผู้หญิงแพศยา! คุณย่าฉันเคยบอกว่าฉินหงเหยียนไม่ใช่คนอวิ๋นโจว หล่อนเป็นประธานบริษัทได้ในระยะเวลาสั้นๆ เบื้องหลังของหล่อนจะต้องมีนายทุนคอยหนุนหลังแน่นอน! ผู้หญิงหน้าไม่อายคนนี้ วันๆ เอาแต่คอยเกาะแกะอยู่กับพวกผู้บริหาร คอยยั่วยวนให้พวกเขาหลงรัก แพศยาจริงๆ!”
หลิ่วอวี่เจ๋อหัวเราะร่วน “ที่รักอย่าไปสนใจเรื่องพวกคนจนอย่างพวกเขาเลย คุณรีบตื่นไปอาบน้ำเถอะ ผมจะพาคุณไปซื้อของขวัญที่ห้างสรรพสินค้า คืนนี้ต้องไปพบพ่อกับแม่ผม เพื่อรีบขอให้พวกเขาเห็นด้วยยินยอมให้คุณแต่งเข้าบ้านเรา!”
หวังเจียเหยากระวีกระวาด “ได้ค่ะ ผิดที่คุณเลย ไม่ยอมให้ฉันนอนทั้งคืน ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่นอนตื่นเที่ยงแบบนี้หรอก”
หลิ่วอวี่เจ๋อหัวเราะเจ้าเล่ห์ เขาค่อนข้างดีใจทีเดียวที่ได้คนสวยๆ แบบหวังเจียเหยามาครอบครอง
……
อวิ๋นโจว
บ่ายสอง
เย่เฉินและฉินหงเหยียนเพิ่งจะกินข้าวเที่ยงกันตอนนี้ ซึ่งฉินหงเหยียนเป็นคนทำอาหารทุกจานด้วยตนเอง อาหารทั้งหมดนั้นเป็นอาหารกวางตุ้งขนานแท้
ฉินหงเหยียนมองเย่เฉินที่ไม่ได้สวมเสื้อก็มีท่าทีเขินอายน้อยๆ เย่เฉินหุ่นสุดยอด โดยเฉพาะกล้ามหน้าท้องทำให้ผู้หญิงจำนวนมากน้ำลายไหล
ได้เป็นแฟนกับเย่เฉินถือเป็นประสบการณ์ที่หล่อนไม่เคยมีมาก่อน
ก่อนนี้ผู้ชายของฉินหงเหยียนเป็นคุณลุงที่อายุไม่ต่างกับพ่อของเธอเท่าไหร่
แต่เย่เฉินอายุน้อยกว่าฉินหงเหยียน ความสดใส ร่าเริงและมีชีวิตชีวานั้นเป็นสิ่งที่ชายสูงวัยไม่มี
“คุณว่าฝีมือทำอาหารของฉันเป็นยังไงบ้าง?” ฉินหงเหยียนถาม
เย่เฉินใช้ตะเกียบคีบปลากระบอกจีน เนื้อสดใหม่ รสชาติถูกปาก เขาพยักหน้ารับแล้วกล่าว “สุดยอดมาก! ผมยังไม่เคยไปเมืองเสินเฉิง ได้กินอาหารฝีมือคุณทำให้ผมอยากลองไปเที่ยวที่นั่นเลย”
ฉินหงเหยียนกล่าวพร้อมระบายยิ้ม “ได้สิคะ เมืองเสินเฉิงมีคนสวยเยอะแยะเลยล่ะ อีกอย่างอาหารที่น้องสาวฉันทำน่ะอร่อยกว่าฉันเสียอีก พอไปถึงเมืองเสินเฉิง ฉันจะบอกให้หล่อนทำให้คุณกิน”
เย่เฉินกล่าว “อ้อจริงด้วย คุณยังมีน้องสาวอีกคนด้วย ตอนนี้หล่อนโตแล้วใช่ไหมล่ะ? ทำงานหรือยัง?”
ฉินหงเหยียนพยักหน้า “เป็นแอร์โฮสเตสค่ะ หุ่นดีกว่าฉันอีกจะดูรูปหล่อนไหมล่ะ?”
เย่เฉินเห็นรอยยิ้มของฉินหงเหยียน ทันใดนั้นเองก็สังเกตเห็นเงาอำมหิตน้อยๆ ลอยออกมา รีบร้อนโบกมือปฏิเสธพัลวัน “ไม่ดูครับๆ ผมสนใจแต่คุณ”
“หึๆ ถือว่าคุณฉลาดนะคะ!” ฉินหงเหยียนผุดยิ้มออกมา
ทันใดนั้นเองฉินหงเหยียนก็มีท่าทีตึงเครียดแล้วกล่าว “เย่เฉินฉันอยากไปจากเมืองอวิ๋นโจวไปเทียนไห่ ฉันมีเพื่อนที่เปิดบริษัทเครื่องสำอาง ก่อนนี้หล่อนชวนฉันทำงานด้วย ตอนนี้พอรู้ว่าฉันลาออกจากหัวเซิ่ง ก็ส่งวีแชทมาจำนวนนับไม่ถ้วนเพราะอยากจะชวนให้ฉันไปทำงานด้วย คุณเองก็รู้ เมืองเทียนไห่เป็นเมืองนานาชาติ ถึงแม้ว่าอวิ๋นโจวจะเป็นเมืองหลัก แต่ถึงที่สุดแล้วก็ยังเป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวแต่ไม่ให้ความสำคัญกับธุรกิจ ฉันอยากไปที่นั่นมาตลอด”
เย่เฉินซดน้ำแกงจากนั้นก็เช็ดปาก เขารู้ว่าฉินหงเหยียนเป็นผู้หญิงที่มีความทะเยอทะยาน
อวิ๋นโจวไม่ใช่บ้านของหล่อน เดิมทีหล่อนก็ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่อวิ๋นโจวไปตลอด ตอนนี้ลาออกพอดีถือเป็นโอกาสที่จะได้ไปฝึกฝนหาประสบการณ์ที่เมืองที่เจริญกว่านี้
เย่เฉินกล่าว “อวิ๋นโจวเองก็เป็นสถานที่ที่ทำร้ายจิตใจผม ผมเองก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ ผมจะไปเทียนไห่เป็นเพื่อนคุณ!”
“จริงเหรอ?” ฉินหงเหยียนดีใจอย่างยิ่ง แต่หล่อนก็ยังลังเลใจน้อยๆ “แต่ว่าศักยภาพของตระกูลหลิ่วที่เทียนไห่แข็งแกร่งมากนะ ฉันกลัวว่าพวกเขาจะหาคนมาจัดการคุณ…”
เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร เทียนไห่เป็นเมืองที่พัฒนาที่สุดในประเทศนะ และเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดด้วย พวกเขาไม่กล้าทำอะไรผลีผลามแน่ พูดอีกอย่างด้วยความสามารถของผมแล้ว คนสามคนห้าคนทำอะไรผมไม่ได้หรอก”
เย่เฉินคิดในใจทางที่สุดหลิ่วอวี่เจ๋อคุณอย่ามาหาเรื่องผม ไม่อย่างนั้นผลจะไม่ใช่แค่มีลูกไม่ได้อีก!
วันนี้หลิ่วอวี่เจ๋อใส่ความฉินหงเหยียน ทำให้คนทั้งประเทศคิดว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่ชอบอ่อนผู้ชายรวยๆ เย่เฉินยังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย!
……
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
เย่เฉินและฉินหงเหยียนเอากล่องเก็บของใส่หลังรถ แล้วขับรถออกจากอวิ๋นโจว
ออกจากอวิ๋นโจวคราวนี้ ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะเป็นเมื่อไหร่
“ลาก่อนอวิ๋นโจว!”
ตอนที่รถขับเข้าปากทางด่วน ฉินหงเหยียนก็ถ่ายภาพหนึ่งใบแชร์ลงในวีแชทโมเม้นต์
ที่นี่คือสถานที่ที่หล่อนต่อสู่ฝ่าฝันมา7 ปี ตอนนี้หล่อนจะไปยังสถานที่ที่กว้างใหญ่กว่าเดิม!
หลังจากขึ้นทางด่วนแล้วฉินหงเหยียนก็ถามเย่เฉิน “คุณเองก็อยู่อวิ๋นโจวมาตั้ง 3 ปีคงคิดถึงมันมากเลยใช้ไหม?”
เย่เฉินส่ายหน้า “ไม่เลย”
เย่เฉินคุ้นเคยกับการลาจากมาตั้งแต่เด็ก ปีนี้ฝึกฝนที่นี่ ปีหน้าก็อาจจะไปประเทศอื่น
เขาไม่มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับที่ไหน เขาแค่รู้สึกอาลัยอาวรณ์กับคนเท่านั้น
ความทรงจำก็เหมือนทางด่วนในกระจกมองหลัง ยิ่งอยากจะคว้ามันเอาไว้เท่าไหร่ มันก็ยิ่งห่างออกไปทุกที
ในหัวของเย่เฉินมีภาพของหวังเจียเหยาปรากฏขึ้นไม่หยุด
แปลกพิกลเหลือเกิน ที่ถึงแม้ว่าหวังเจียเหยาจะทำผิดต่อเย่เฉินถึงสองครั้ง แต่ที่เย่เฉินคิดนั้นกลับไม่ใช่เรื่องที่ว่าหญิงสาวทำอะไรไม่ดีกับเขาบ้าง
แต่กลับเป็นภาพแสนหวานที่แทบจะนับนิ้วได้ของพวกเขาสองคน
โชคดีที่เย่เฉินตัดใจหย่าให้จบๆ ไม่อย่างนั้นยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่แน่ว่าตนเองอาจจะให้อภัยหล่อนอีกครั้ง
“ลาก่อนอวิ๋นโจว!”