ตอนที่ 17 การสนทนาระหว่างครอบครัว
หลี่ฮ่าวเหลือบมองไปยังหลินโรโร่วและยิ้มให้กับเย่เชียนอย่างมีเลศนัยพร้อมกับพูดว่า
พี่สอง งั้นผมจะเข้าไปข้างในก่อนก็แล้วกัน พี่คุยกับเธอตามสบายเลย
เย่เชียนเข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั้นของหลี่ฮ่าวดี เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจอะไร ๆ เป็นตุเป็นตะไปเองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเย่เชียนกับหลินโรโร่วอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เย่เชียนก็ไม่ได้คิดจะอธิบายเพราะต่อให้เขาอยากอธิบาย เรื่องแบบนี้มันก็ละเอียดอ่อนไม่ชัดเจนและยากที่จะอธิบายได้อยู่ดี
เย่เชียนไม่ได้คาดหวังว่าหลินโรโร่วจะกังวลและคิดกับเขาเช่นนั้น ความรู้สึกของเขาประหนึ่งอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก
‘ผู้หญิงคนนี้ชอบเราจริง ๆ เหรอ ?’ เย่เชียนคิดในใจ
หลังจากมองตามหลี่ฮ่าวจนเขาเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยแล้ว เย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า
ผมไม่เป็นไร ผมอยู่นี่แล้ว สบายดีทุกอย่าง ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ…
เมื่อคืนนี้หลินโรโร่วทำงานกะกลางคืน เธอเข้าไปในห้องของหยางเจียนกัวและเห็นว่าเย่เชียนไม่ได้อยู่ที่นั่น เธอจึงถามถึงเขาจากชายแก่และได้รู้ว่าเย่เชียนถูกจับกุมตัวไปโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เธอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเป็นกังวลอย่างไม่รู้จบตลอดทั้งคืน
หลินโรโร่วไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมเธอถึงรู้สึกร้อนใจราวกับถูกไฟแผดเผาให้ลุกเป็นไฟแบบนั้น เธอไม่มีกะจิตกะใจทำงานแม้แต่น้อย ในที่สุดเมื่อเธอเห็นเย่เชียนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า หินในใจของเธอก็ถูกปลดปล่อยออกมา และเมื่อเธอได้ยินเสียงเขาพูด มันยิ่งตอกย้ำกับเธอว่าเขายืนอยู่ตรงนี้จริง ๆ ไม่ได้เป็นเพียงภาพจินตนาการในหัวของเธอ
หลังจากที่ตั้งสติได้ หลินโรโร่วก็เริ่มรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองกำลังแสดงความตื่นเต้นออกมามากเกินไปแล้ว ใบหน้าเธอเริ่มแดงเพราะความเขินอายอย่างไม่รู้จบ แก้มของเธอเหมือนจะแตกระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อจากการยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
อะแฮ่ม… ดีแล้วที่คุณไม่เป็นอะไร งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ
หลินโรโร่วเขินอายจนเธอไม่สามารถแม้แต่จะสบตาของเย่เชียนได้เลย แต่หางตาของเธอก็เห็นว่าเย่เชียนเหลือบมองเธอเช่นเดียวกัน และนั่นทำให้เธอรู้สึกมวนท้องอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากพูดจบ หลินโรโร่วก็รีบเดินออกไปราวกับว่าเธอกำลังวิ่งหนี
เย่เชียนจ้องท่าทีของหลินโรโร่วอย่างว่างเปล่า เขามองตามหลังเธอไป อยู่ดี ๆ ปากของเขาก็พูดขึ้นมาเองว่า
เอ่อ… คืนนี้คุณว่างไหม ? ผมอยากชวนคุณไปทานอาหารค่ำด้วยกัน!
หลินโรโร่วหยุดชะงัก แต่เธอก็ยังไม่กล้าหันกลับมา เธอได้แต่ตอบเบา ๆ ไปว่า
วันนี้หกโมงเย็น… ฉันจะไปรอคุณที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาลก็แล้วกัน… หลังจากพูดจบ เธอก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องพยาบาล
หลินโรโร่วปิดประตูเสียงดังไล่หลังพลางยืนพิงประตูหายใจหอบ เธอตบแก้มที่แดงก่ำของตัวเองเบา ๆ ขณะที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่คืบคลานเข้ามาในหัวใจ ‘เกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย ?’ แต่เมื่อนึกถึงคำเชิญชวนไปทานอาหารมื้อค่ำเมื่อครู่ หลินโรโร่วก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนยิ้มและหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ อย่างมีความสุข
……
ที่ห้องผู้ป่วย หลังจากที่เย่เชียนและหลี่ฮ่าวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟังจนจบแล้ว สองพี่น้องก็ขอตัวออกไปหาร้านอาหารเพื่อนั่งพูดคุยกัน ในตอนแรกพวกเขาต้องการเชิญพี่ชายคนโต ‘จ้าวกาง’ ให้มาด้วย แต่ก็ไม่มีใครรับโทรศัพท์ หลี่ฮ่าวเข้าใจไปว่าจ้าวกางอยู่ที่เมืองหลวงในเขตทหารและอาจจะไม่สะดวกที่จะรับสาย
อาหารทานเล่นเริ่มถูกทยอยนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะของสองพี่น้อง
หลี่ฮ่าวเริ่มบทสนทนาก่อน
พี่สอง… พี่ไปอยู่ไหนมาตั้งหลายปี ? ทำไมพี่ไม่ติดต่อกลับมาบ้านของเราบ้างเลย ?
พี่ไปอยู่ต่างประเทศมา เย่เชียนตอบสั้น ๆ
หลี่ฮ่าวรู้ว่าเย่เชียนคงไม่อยากพูดถึงมันสักเท่าไร และตัวเขาก็ไม่ได้อยากบังคับพี่ชาย เขาจึงพูดต่อไปว่า
อ้อ! พี่สอง ตอนนี้เมืองทั้งเมืองมีจุดประสงค์ที่จะรักษาความสงบและความมั่นคงเป็นอันดับหนึ่ง หากพี่ทำเรื่องใหญ่อีก มันจะไม่ดีสำหรับพี่ นอกจากนี้ อีกฝ่ายก็ค่อนข้างที่จะมีอิทธิพลอยู่
เรื่องของพี่น่ะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก แต่เรื่องที่ทำร้ายพ่อ พี่ทนไม่ได้ น้องสาม… ตอนนี้แกลืมความเมตตาที่พ่อมีต่อพวกเราไปแล้วเหรอ ? ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อ ทั้งตัวแกและพี่จะมีโอกาสได้มากินข้าวกันที่นี่ ตอนนี้ไหม ? นายยังจะมีโอกาสได้เป็นถึงคนใหญ่คนโตขนาดนี้ไหม ? เย่เชียนพูดอย่างเย็นชา
พี่สอง… คำพูดมันพี่มันช่างแทงใจดำผมเหลือเกิน… ผม หลี่ฮ่าวผู้นี้จะเป็นคนที่ลืมบุญคุณของคนเป็นพ่อได้เหรอ ? หลี่ฮ่าวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อเห็นการแสดงออกของหลี่ฮ่าว เย่เชียนก็รู้ว่าสิ่งที่เขาเพิ่งพูดนั้นเหมือนเป็นหลุมฝังศพของเขาเอง เขาพูดเบา ๆ ว่า
ขอโทษที พี่ดื่มมากไปหน่อย ถึงอย่างไรก็เถอะน้องสาม… เรื่องนี้พี่คงจะไม่ยอมจบง่าย ๆ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมาขอโทษพ่อของเราเป็นการส่วนตัว!
เมื่อเห็นสีหน้าที่มุ่งมั่นของเย่เชียน หลี่ฮ่าวก็ถอนหายใจเล็กน้อยและจะไม่พยายามจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ บุคลิกของเย่เชียนนั้นชัดเจนมาก หากไม่ใช่เพื่อครอบครัวหรือพวกพ้องของเขาแล้ว เขาคงจะไม่ไปเสี่ยงหรือทำอะไรรุนแรง อย่างกรณีเรื่องในอดีตของพวกเขา เย่เชียนถึงกับไปแทงนักเลงบางคนเพื่อน้องชายของตัวเองและทำให้ตัวเองต้องหนีออกจากประเทศนี้ไป
พี่สอง… ไม่ว่าพี่จะมีปัญหาอะไรหรือเรื่องอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ พี่โทรหาผมได้เสมอนะ ไม่ต้องเกรงใจเลย หลี่ฮ่าวพูดด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
เย่เชียนพยักหน้าตอบรับเบา ๆ แล้วพูดว่า
ได้เลย! เรื่องนั้นไว้ว่ากันทีหลัง ว่าแต่แกเถอะ พี่ได้ยินมาว่าน้องของพี่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว พี่ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับแกเลย
เมื่อพูดถึงภรรยาของเขา หลี่ฮ่าวก็ได้แต่ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
ในเวลานั้น เหอเหม่ย เป็นดาวคณะของมหาวิทยาลัยที่มีผู้คนมากมายให้ความสนใจและติดตาม แต่ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับรักแท้ของเพื่อนหนุ่มผู้น่าสงสาร หลี่ฮ่าวคนนี้ ซึ่งในที่สุดแล้วทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน ตอนนี้เธอเป็นถึงศาสตราจารย์ของโรงพยาบาลส่วนกลาง และต้นปีที่ผ่านมา พวกเขาก็เพิ่งจะมีลูกที่เข้ามาเติมสีสันและทำให้ชีวิตที่เรียบง่ายของครอบครัวสมบูรณ์มากขึ้น ชีวิตครอบครัวของหลี่ฮ่าวนั้นช่างมีความสุขจริง ๆ
ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ จิตใจของเหอเหม่ยนั้นดีงามยากที่จะหาใครมาเปรียบ ในขณะที่หลี่ฮ่าวขอให้พ่อของเขาไปอยู่ที่บ้านด้วย เหอเหม่ยก็ไม่ได้ปฏิเสธความปรารถนานี้ของผู้เป็นสามี ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเห็นด้วยกับหลี่ฮ่าวที่ต้องการให้พ่อย้ายมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว พ่อของพวกเขาก็ยังคงยืนกรานเช่นเดิม
พี่สอง…พี่เองก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว… ให้ผมบอกเหอเหม่ยให้แนะนำใครสักคนให้พี่ไหม ? เธอมีเพื่อนที่เรียนรุ่นเดียวกันที่ยังไม่ได้แต่งงานอยู่เยอะเลย พวกเธอทั้งสวยและจิตใจดีงามกันทั้งนั้น สนไหมพี่ หลี่ฮ่าวพูดพร้อมยิ้มเล็กยิ้มน้อย
เย่เชียนส่ายหัว
อย่าเลย… พวกเธอเป็นคนที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดี ๆ มีอนาคตที่ดี ทำไมพวกเธอจะต้องมาเกี่ยวข้องกับชายผู้ต่ำต้อยอย่างพี่ด้วยล่ะ
พี่สอง… ผมรู้ดีว่าพี่น่ะจริง ๆ แล้วไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลยนะ หลี่ฮ่าวพูดด้วยความจริงใจ
ทว่าเย่เชียนกลับตงิดใจไปชั่วครู่ ในแวบแรกนั้นเขาคิดว่า …หรือหลี่ฮ่าวจะรู้ความจริงแล้วว่าตัวตนของเขาคือใคร เพราะหลี่ฮ่าวก็เป็นถึงอธิการกระทรวงความมั่นคง ซึ่งมันไม่ใช่ตำแหน่งที่ธรรมดา ๆ แต่ก็คลายความสงสัยได้เมื่อฉุกคิดขึ้นมาว่า หลี่ฮ่าวนั้นเพียงคิดซื่อ ๆ แบบน้องชายสุดที่รักของพี่ชายคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง
เย่เชียนยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า
แกอย่ามาเยินยอพี่ให้มากนักเลย พี่รู้ตัวหน่าว่าตัวเองหล่อมากขนาดไหน หึ ๆ ๆ!
เมื่อเห็นเย่เชียนที่ดูสนุกแล้ว หลี่ฮ่าวก็รู้สึกมีความสุขมากและยิ้มได้อย่างสบายใจในแบบที่ไม่ได้สัมผัสมันมานานนมเน ในหัวใจของเขามักจะรู้สึกผิดต่อเย่เชียนบ่อยครั้ง ก่อนหน้านี้เขารู้สึกราวกับว่าพายุแห่งความอัดอั้นถาโถมอยู่เต็มหัวใจของเขา แต่ในตอนนี้ที่เขากำลังเผชิญหน้ากับเย่เชียนที่ดูผ่อนคลายและมีความสุข ในหัวใจของหลี่ฮ่าวก็รู้สึกประหนึ่งถูกเติมเต็มความสุขที่ขาดหายไป
ถ้าจะพูดถึงเรื่องอารมณ์ทางเพศของเย่เชียนแล้ว เขามักจะมีโอกาสได้ปลดปล่อยมันออกมาตลอด เขาเคยนอนกับผู้หญิงมามากมาย ทั้งสาวสวยในหน่วยทหารรับจ้าง ทั้งไฮโซสาวสวยที่ว่าจ้างเขามาทำภารกิจแต่บางทีก็ทำอย่างอื่นร่วมด้วย
ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขานั้นเป็นดั่งอาวุธชั้นยอด แต่เมื่อเขาคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยมีความรักจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้งและเขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
มื้อเที่ยงกับบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์กำลังใกล้จะจบลง หลี่ฮ่าวบอกเป็นนัย ๆ ว่าเขาจะช่วยเย่เชียนในการหางานให้ แต่เย่เชียนก็ปฏิเสธ ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่อยากรับความหวังดีของน้องชาย แต่เขาคิดว่าต่อให้เขาไม่มีงานทำ มันก็ไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อนอะไรเพราะเขาเองไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง
สำหรับการหางานทำนั้น เขาเพียงแค่ต้องการทำเพื่อให้คนเป็นพ่อรู้สึกสบายใจ พ่อจะได้ไม่จำเป็นต้องมากังวลว่าเขาจะกลับไปใช้ชีวิตเดิม ๆ ด้วยการหลอกลวงตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา
แต่เดิมหลี่ฮ่าวตั้งใจจะขับรถไปส่งเย่เชียนที่โรงพยาบาล แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากสำนักงานและถูกบังคับให้ต้องรีบกลับอย่างเร่งด่วน เขาจึงไม่ได้ไปส่งเย่เชียนดังที่หวังไว้
ระหว่างกลับไปที่โรงพยาบาล เย่เชียนกดหมายเลขโทรศัพท์หาเซียวหลงนู เธอช่วยเขาสืบหาข้อมูลตามที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว แต่เขายังไม่ได้จ่ายเงินอีกครึ่งหนึ่งให้เธอเลย สิ่งที่สำคัญสิ่งแรกเกี่ยวกับการทำธุรกิจใต้ดินคือความไว้วางใจ
การที่เย่เชียนติดต่อมาทำให้เซียวหลงนูรู้สึกมีความสุขมาก แต่ทว่าเย่เชียนพูดกับเธอแค่ว่าเย็นนี้เขาจะส่งเงินมาให้เธอ แล้วเขาก็วางสายไป
เซียวหลงนูรู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจเพราะไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้มาก่อนเลย อย่างไรก็ตามเธอก็ยิ่งตระหนักและคิดว่าชายผู้นี้นั้นน่าจะมีรสนิยมสูงกว่าที่เธอคิด และนั่นก็เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเธอในการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เขามาครอบครอง