ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งนี้มีมากกว่ายี่สิบชั้น มันถือได้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่เฟื่องฟูที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้นี้ แต่ละชั้นต่างก็ขายสินค้ามากมายหลากหลาย มีทั้งสินค้าจากในประเทศจีนเองและสินค้านำเข้าจากหลากหลายแบรนด์ดังทั่วโลก
สำหรับห้างแห่งนี้ อาจกล่าวได้ว่าหากคุณมีเงินอยู่เต็มกระเป๋า คุณก็จะสามารถหาซื้ออะไรก็ได้ที่ต้องการ ซึ่งแน่นอนว่าสินค้าที่นี่ก็มีราคาแพงมากเช่นกัน ผู้คนจำนวนมากต่างก็ทำได้แค่จ้องมองและถอนหายใจไปกับสินค้าชั้นนำเหล่านี้ พนักงานธรรมดา ๆ บางคนอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนในการประหยัดอดออมเพื่อที่จะมาช้อปปิ้งในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็สามารถซื้อได้เพียงแค่ไม่กี่อย่าง
สินค้าและบริการที่มีราคาแพงนั้น แน่นอนว่ามันต้องมาพร้อมกับคุณภาพการบริการที่เป็นเลิศ เพราะฉะนั้นพนักงานขายทุกคนในสถานที่แห่งนี้จึงต้องผ่านการคัดเลือกและถูกอบรมมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุด
มีสถานที่เช่นนี้อยู่อีกหลายแห่งในต่างประเทศ แต่สำหรับเย่เชียนแล้ว เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตเช่นนี้สักเท่าไหร่นัก เพราะสำหรับเขาแล้ว ที่นี่มันไม่มีอะไรน่าสนใจเลย
เย่เชียนชอบใส่เสื้อผ้าที่สบาย ๆ มากกว่า และมันก็ไม่สำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อยว่าเสื้อผ้าพวกนั้นจะมาจากแบรนด์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงหรือมาจากร้านค้าตามท้องถนน
แต่เนื่องจากนี่เป็นคำขอของฉินหยู เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธเธอได้ เพียงเพราะเขาไม่สนใจของพวกนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉินหยูจะไม่สนใจด้วย ท้ายที่สุดแล้วคืนนี้เขาก็เสนอตัวเป็นแฟนของฉินหยูชั่วคราวและต้องพาเธอไปที่งานราตรี ถึงแม้ว่าส่วนตัวเย่เชียนเองจะไม่เชื่อว่าการใส่สูทผูกไทมันจะทำให้เขากลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมชนชั้นสูง เย่เชียนเพียงแค่ไม่ต้องการให้ฉินหยูต้องเสียหน้าต่อหน้าผู้คนเหล่านั้นเพราะเขามากกว่า
ฉินหยูพินิจพิจารณาเย่เชียนด้วยสายตาที่กวาดมองขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวอยู่หลายรอบ จากนั้นเธอก็ตัดสินใจพาเขาไปที่ร้านสูทชั้นนำของจิอานฟรังโก้ เฟอร์เร่
เย่เชียนไม่ได้เข้าถึงแฟชั่นสักเท่าไหร่ แต่ภายใต้อิทธิพลของหลี่เหว่ยยี่ที่เป็นคนทันสมัยใฝ่ในแฟชั่น เขาก็พอจะคุ้นเคยกับชื่อแบรนด์ต่างประเทศอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ของจิอานฟรังโก้ เฟอร์เร่ สไตล์ของเสื้อผ้าแบรนด์นี้จะมีลายเส้นเล็ก ๆ และโครงสร้างที่เหมาะสมลงตัว อีกทั้งยังคงความหรูหราและประณีต โดยนักออกแบบระดับโลกคนนี้สามารถใช้รูปทรงเรขาคณิตได้อย่างเต็มที่ในการรังสรรค์การตัดเย็บ นี่คือสิ่งที่ทำให้แบรนด์นี้มีความโดดเด่นไม่เหมือนใครในแฟชั่นของสุภาพบุรุษทั้งหลาย
โดยรวมแล้วชุดสูทของจิอานฟรังโก้ เฟอร์เร่นั้นดูมีสไตล์มาก ทั้งสูทตัวนอก เสื้อเชิ้ต เนคไท รวมไปถึงชิ้นส่วนที่ใช้ประดับอื่น ๆ ล้วนเป็นแฟชั่นแบบคลาสสิคสุดหรู มีสีค่อนข้างอ่อนและเรียบเนียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีดำและสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีโมโนโทน
ณ ตอนนี้แบรนด์ไหน ๆ ต่างก็ใช้การออกแบบที่ผสมผสานความคลาสสิคและยุคสมัยใหม่กันทั้งนั้น เพราะมันจะช่วยส่งเสริมความเป็นสุภาพบุรุษให้กับผู้สวมใส่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้มันยังช่วยปลดปล่อยเสน่ห์ของความเป็นชายที่มีเอกลักษณ์เป็นเลิศอีกด้วย
“สวัสดีค่ะ… ยินดีต้อนรับนะคะคุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงกำลังมองหาสินค้าประเภทไหนอยู่คะ ?” พนักงานขายยิ้มแย้มแจ่มใสและถามอย่างสุภาพอ่อนน้อม แต่เมื่อสายตาของเธอเหลือบไปเห็นเย่เชียน เธอก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
เธอไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ร่ำรวยและสวยเหมือนฉินหยูมาก่อน และเธอก็ไม่เคยเห็นผู้ชายที่แต่งตัวธรรมด๊าธรรมดาแต่กล้าเดินเข้าร้านสูทชั้นนำเหมือนเย่เชียนมาก่อนเช่นกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพวกเราเดินดูรอบ ๆ กันเอง” ฉินหยูพูดเบา ๆ
หลังจากนั้นเธอก็เดินมาที่ชั้นแขวนเสื้อผ้าและดึงเสื้อผ้าออกมาดูอยู่เป็นครั้งคราว แต่ทุกครั้งที่เธอดึงออกมาดู เธอเพียงแค่ขมวดคิ้วและนำมันกลับไปแขวนไว้ที่เดิม
เย่เชียนเดินตามหลังเธอด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เขาไม่สามารถเข้าถึงความเป็นแฟชั่นอะไรได้เลยจริง ๆ เพราะสำหรับเขาแล้ว ถึงยังไงพวกมันทั้งหมดก็เป็นแค่เสื้อผ้าที่เอาไว้ใส่ปกปิดร่างกาย มันจะมีเรื่องอะไรไปมากกว่านี้ให้คิด แล้วทำไมพวกผู้หญิงถึงต้องจู้จี้จุกจิกขนาดนี้ด้วย ?
ตราบใดที่มันพอดีกับสัดส่วนของคนใส่ มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าเหล่านี้ก็ดูคล้ายกันไปหมด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเลือกมากไปทำไม ?
หลังจากผ่านไปนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดฉินหยูก็หยิบสูทและเนคไทชุดหนึ่งออกมา เธอไม่ได้ถามความคิดเห็นของเย่เชียนเลย แต่กลับส่งมอบชุดเหล่านั้นให้พนักงานขาย
“นี่ค่ะ ช่วยห่อให้ฉันด้วย”
“ได้ค่ะคุณผู้หญิง” พนักงานขายรับสินค้าไปด้วยท่าทางสุภาพอ่อนน้อมโดยใช้มือทั้งสองรับสินค้าและเริ่มบรรจุผลิตภัณฑ์ลงถุงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ถามว่า “คุณจะชำระด้วยบัตรเครดิตหรือเงินสดคะ ?”
“บัตรค่ะ” ฉินหยูตอบขณะดึงบัตรเครดิตออกจากกระเป๋าของเธอและยื่นให้พนักงานขาย
“ขอบพระคุณคุณลูกค้ามากนะคะ… ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับคุณทั้งคู่ค่ะ” พนักงานขายตอบกลับหลังจากส่งเสื้อผ้าที่ห่อใส่ถุงเสร็จแล้ว
เย่เชียนรับถุงมาจากมือของพนักงานขาย เนื่องจากฉินหยูจ่ายเงินให้เขาไปแล้ว เขาจึงไม่อยากให้เธอต้องมาถือถุงแทนเขาอีก
ดูเหมือนว่าฉินหยูจะยังไม่หายเขินจากเหตุการณ์บนรถ เพราะจนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ยอมปริปากพูดกับเขาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อออกมาจากร้านจิอานฟรังโก้ เฟอร์เร่แล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไปในร้านฮิวโก้ บอสต่อ ร้านนี้เป็นแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังจากประเทศเยอรมนี การออกแบบและโครงสร้างของเสื้อผ้าที่นี่มีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างมาก ว่ากันว่าแบรนด์นี้สามารถเพิ่มความน่าลุ่มหลงของผู้ชายได้อย่างดีเยี่ยม
ด้วยประสบการณ์ความชำนาญด้านแฟชั่นของฉินหยู ร้านนี้เธอใช้เวลาเลือกน้อยลงมาก เธอใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงในการทำให้รูปลักษณ์ของเย่เชียนเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นเธอก็ไม่ลืมที่จะหยิบรองเท้าหนังมาด้วยคู่หนึ่งและนาฬิกาสุดหรูมาด้วยอีกเรือน
ตลอดเวลานี้ เย่เชียนเดินตามเธอจากด้านหลังด้วยสีหน้าเหม่อลอย จนบางครั้งเขาก็รู้สึกแปลก ๆ ว่าเขาเป็นของเล่นคั่นเวลาของคุณหนูฉินหยูงั้นเหรอ ?
เย่เชียนเดินไปด้านข้างฉินหยูและโน้มตัวไปใกล้เธอ เขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “คุณซื้อเสื้อผ้าราคาแพงให้ผมมากมายขนาดนี้ ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าค่าจ้างของผมมันจะพอให้คุณหักมัน… คุณคงไม่ได้คิดให้ผมทำงานให้คุณไปตลอดชีวิตใช่มั้ย ?”
“ไม่ตลอดชีวิตแน่นอน นายก็แค่ต้องเซ็นสัญญาทาสระยะยาวเท่านั้นเอง” ฉินหยูตอบอย่างเฉยเมย
“หา ? นี่คุณเห็นผมเป็นแค่ของเล่นคั่นเวลาจริง ๆ เหรอ ? ถ้าผมไม่สามารถจ่ายหนี้นี้คืนได้จริง ผมก็ไม่คิดที่จะจ่ายมันด้วยร่างกายของผมหรอกนะ ถ้าเราไปถึงโรงแรมแล้วคุณคิดจะทำอะไรผมล่ะก็ ผมจะกลับทันที”
เย่เชียนดูเสียใจมากราวกับว่าฉินหยูนั้นหลอกลวงอะไรเขา หากคนอื่นได้เห็นการแสดงออกและปฏิกิริยาที่เขาทำใส่เธอแล้ว พวกเขาคงจะคิดว่าฉินหยูนั้นเป็นมนุษย์ป้าที่ล่อลวงเด็กมาบำเรอความสุขให้
ฉินหยูจ้องมองเขาอย่างหมั่นไส้ แต่เธอก็ไม่ใส่ใจคำพูดพวกนั้นของเย่เชียน
“เลิกพูดมากซะที นายมีเสื้อผ้าของนายแล้ว… แต่ฉันยังไม่มีชุดราตรีสำหรับงานคืนนี้เลย… ไปกันต่อเถอะ”
หลังจากพูดจบ ฉินหยูก็เดินเข้าไปในร้านดิออร์โดยไม่ลังเล ส่วนเย่เชียนก็ทำได้เพียงแค่เดินตามเธอไปพร้อมด้วยถุงใบใหญ่และใบเล็กสองสามใบที่เขาถืออยู่ในมือ
ร้านนี้ให้ความสำคัญกับผู้ชายมาก เมื่อเข้าไปในร้านจะมีเลานจ์พร้อมโซฟาสำหรับผู้ชายเอาไว้นั่งรอให้ผู้หญิงจับจ่ายใช้สอยได้อย่างสบายใจ เย่เชียนเดินไปที่นั่นอย่างเป็นธรรมชาติแล้วนั่งลง เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเสื้อผ้าของผู้หญิงเลยและไม่สามารถให้ความคิดเห็นใด ๆ ได้ ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ฉินหยูไปทำสิ่งต่าง ๆ ตามใจของเธอเอง
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ แต่ฉินหยูก็ยังไม่พบชุดราตรีที่เธอถูกใจ สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของเย่เชียนเริ่มส่อแววไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
การออกแบบของดิออร์นั้นมุ่งเน้นไปที่ส่วนเว้าส่วนโค้งของสรีระตามร่างกายของผู้หญิงมากกว่าสีสัน มันจึงทำให้ทุก ๆ ครั้งที่ฉินหยูลองชุด เย่เชียนต้องตกตะลึงจนสรรหาคำพูดไม่ได้ไปเสียทุกชุด
หากจะพูดอย่างตรงไปตรงมา ในบรรดาผู้หญิงที่เย่เชียนรู้จัก ฉินหยูเป็นคนที่ดูมีเสน่ห์สมเป็นกุลสตรีมากที่สุด
ในที่สุดฉินหยูก็ก้าวออกมาจากห้องลองชุดอีกครั้ง ครั้งนี้เธอเลือกสวมชุดราตรีสีดำมันวาว ทั้งที่เขาเองก็รู้สึกชอบทุกชุดที่เธอลองให้ดู แต่ไม่รู้ทำไมชุดนี้มันถึงทำให้เขาถึงกับตกตะลึงจนอ้าปากค้างและพูดไม่ออก เขาไม่สามารถสรรหาคำพูดใด ๆ มาอธิบายความงดงามอันน่าทึ่งของเธอในตอนนี้ได้เลย แต่ถ้าหากเขาต้องพูดอะไรบางอย่างจริง ๆ เขาก็คงพูดได้แค่ว่า …มันคือความงดงามที่สามารถทำให้เมืองนี้เกิดหายนะได้เลยทีเดียว
แต่ทว่าในตอนนั้นเอง… หางตาของเย่เชียนได้เหลือบไปเห็นร่างที่ดูคุ้นเคยอย่างไม่คาดฝันมาก่อนโดยไม่ตั้งใจ…