หลี่ฮ่าวเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “พี่สอง พี่บอกผมมาครับว่าพี่อยู่ที่ไหน ผมจะได้ไปรับพี่”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปเอง แค่บอกที่อยู่มาก็พอ” เย่เชียนพูด
“ได้ ๆ เจอกันสิบโมงเช้าที่สโมสรเจิดจรัสห้อง VIP เบอร์สองครับ” หลี่ฮ่าวเงียบไปครู่หนึ่งทำอย่างกับจะวางสาย แต่แล้วเขาก็พูดเสริม “พี่สองห้ามมาสายเลยนะพี่”
“เออ ๆ มั่นใจได้เลยว่าฉันจะไปตรงเวลา” พูดจบเย่เชียนก็วางสายไป
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูโทรศัพท์มือถือของตัวเองและกดไปที่เบอร์โทรศัพท์โทรหาหลี่เหว่ยยี่
“หลี่เหว่ยยี่ นายเตรียมของขวัญให้ฉันที ขอแพง ๆ แต่อย่าหรูหราเกินไป ส่วนจะเป็นอะไรนั้นนายจัดการเลือกมาเองเลย”
“บอสจะให้ใคร ?” หลี่เหว่ยยี่ถาม
“เลขานุการคณะกรรมการเทศบาลเซี่ยงไฮ้ หวังปิง” เย่เชียนตอบ
“ไม่มีปัญหา ว่าแต่บอสต้องการเมื่อไหร่ครับ” หลี่เหว่ยยี่ถามต่อ
“ก่อนเก้าโมงเช้า นำมันไปที่โรงแรมไฮแอทแล้วรอฉันอยู่แถว ๆ ทางเข้า” เย่เชียนพูด
“ได้บอส เดี๋ยวผมจัดให้” หลังจากที่หลี่เหว่ยยี่พูดจบ เขาก็รีบวางสายไป
การเลือกของขวัญนั้น สำหรับเขาแล้วมันค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร ของขวัญให้คนระดับสูง ๆ แบบนั้นมันควรจะแพงและมีระดับแต่ก็ต้องไม่เวอร์วังอลังการมากเกินไปนัก ตัวเขาลี่เหว่ยยี่กลัวการให้ของขวัญแก่ใคร ๆ มาก ยิ่งเป็นการมอบของขวัญให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ยิ่งยาก แม้มันจะมีหลากหลายวิธีในการเลือกของ แต่ก็ต้องรอบคอบเพราะปัญหาหลาย ๆ อย่างอาจเกิดขึ้นได้ เช่นว่าของขวัญที่เลือกให้ดันไม่ตรงตามรสนิยมของผู้รับ อย่างไรเสียของขวัญมันต้องเข้ากับรสนิยมของผู้รับแต่ก็ยังต้องเป็นไปตามความเหมาะสมกับสถานะของผู้ให้
“คุณตื่นแล้วเหรอ ?” ขณะที่เย่เชียนยืนขึ้นและกำลังจะกลับไปที่ห้องนอน เขาเห็นหลินโรโร่วยืนอยู่ข้างประตูห้องนอน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เธอยังคงดูมีความสุขเหมือนเมื่อคืน
เย่เชียนเดินเข้าไปสวมกอดเธอ โน้มใบหน้าลงจูบริมฝีปากของเธอเบา ๆ จากนั้นก็พูดว่า “คุณหิวมั้ย ? ถ้าหิวผมจะเรียกบริกรมาส่งอาหารเช้า”
หลินโรโร่วส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ฉันไม่หิว แล้วคุณล่ะหิวมั้ย ? หรือจะไปบ้านฉันดีล่ะ ฉันจะได้ทำอาหารให้คุณไง”
“เกรงว่าจะไม่ได้แล้วเพราะผมมีนัดกับท่านหวังปิง คืนนี้ผมค่อยไปที่บ้านของคุณนะ อ้อ ระวังไว้หน่อยล่ะเพราะผมว่าคืนนี้ผมคงคันปากมาก ผมอาจจะจู้จี้จุกจิกหน่อย คุณอาจจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้” เย่เชียนพูดและฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าคุณมีธุระก็ไปทำก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้านของฉันคืนนี้นะ” หลินโรโร่วพูดพลางครุ่นคิดถึงความหมายที่เย่เชียนบอกว่าคันปาก
เย่เชียนยิ้มอย่างมีความสุข “อืม… ตอนนี้เรายังพอมีเวลาอยู่ ถ้างั้นเรามาสนุกกันก่อนเถอะ” หลังจากพูดอย่างนั้นแล้ว เย่เชียนก็มองหน้าหลินโรโร่วพร้อมกระโจนเข้าใส่เธอ
“อ๊า…!” หลินโรโร่วร้องลั่น เธอกระโดดวิ่งหนีเขา จากนั้นทั้งสองคนก็ต่อสู้กันอยู่ในห้อง เอาหมอน ผ้าห่ม หรืออะไรก็ตามที่หยิบได้โยนใส่กัน ทั้งคู่เล่นกันอย่างสนุกสนานแทบลืมเวลา
หลินโรโร่วไม่เคยมีความสุขเหมือนเมื่อคืนและวันนี้มาก่อน เธอเหมือนได้ปลดปล่อยความซุกซนและความไร้เดียงสาที่อัดอั้นมานานออกมา ทั้งคู่สู้กันไป ในที่สุดหลินโรโร่วก็ไม่สามารถหลบหนีจากเงื้อมมืออันชั่วร้ายของเย่เชียนได้ เธอถูกเย่เชียนกอดเอาไว้และทั้งสองก็กลิ้งไปบนเตียง เมื่อสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ทั้งสองคนก็นอนลงอย่างเงียบ ๆ เหลือเพียงเสียงลมหายใจ
“เย่เชียน… ตลอดชีวิตของฉันไม่เคยมีความสุขเท่าสองวันที่ผ่านมานี้เลย ขอบคุณนะ” หลินโรวโร่วพูดพร้อมกับมองเย่เชียนอย่างมีความหมาย
เย่เชียนหันหน้ามาหาเธอ เขายิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คนโง่ มันไม่ใช่แค่วันนี้หรอก เรายังมีพรุ่งนี้ วันมะรืน และวันต่อ ๆ ไปทุกวัน ผมจะทำให้คุณมีความสุขเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ในทุกๆ วันเลยคุณเชื่อผมมั้ย ?”
“ฉันเชื่อคุณ” หลินโรโร่วยิ้มอย่างมีความสุข เธอซบหน้าลงบนแผงอกของเย่เชียน
เมื่อใกล้เวลาเก้าโมงเช้า ทั้งสองก็แต่งตัวเตรียมจะออกจากโรงแรม พวกเขาเดินไปยังลิฟต์และเมื่อพวกเขาไปถึงล็อบบี้ของโรงแรม หลินโรโร่วก็แสดงออกอย่างผ่าเผย เธอโอบกอดเย่เชียนอย่างใกล้ชิด ใบหน้าดูมีความสุขเอ่อล้น เธอพูดคุยกับเย่เชียนในบางครั้งและพวกเขาก็หัวเราะกันคิกคัก
เย่เชียนชอบตัวเธอที่เป็นอยู่ในตอนนี้มาก เธอดูปราศจากความกังวลใด ๆ เหมือนได้ปลดปล่อยความซุกซน น่ารัก และไร้เดียงสาออกมาเต็มที่
เมื่อออกจากประตูโรงแรม เย่เชียนก็กวาดตามองไปทั่วบริเวณก่อนจะพบว่าหลี่เหว่ยยี่นั่งยอง ๆ อยู่ตรงจุดหนึ่ง เขานั่งยอง ๆ อยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางที่ดูหยาบคายและน่าสมเพชมาก บางครั้งเขาก็มองพวกสาว ๆ ที่เดินผ่านไปมาพร้อมเผยแววตาชั่วร้ายหื่นกามและยังผิวปากเป็นครั้งคราวจนทำให้เขาดูเหมือนพวกอันธพาล อย่างไรก็ตาม เย่เชียนสังเกตเห็นว่าเขาถือกระดาษม้วนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นภาพวาดอะไรบางอย่างอยู่ในมือ
“คุณรู้จักเขาเหรอ ?” หลินโรโร่วถามอย่างสงสัย
เย่เชียนพยักหน้า “อื้ม เขากับผม เราสองคนเป็นดั่งพี่น้องของเขี้ยวหมาป่าน่ะ” จากนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเพราะความระอากับพฤติกรรมของหลี่เหว่ยยี่ เขาจูงมือหลินโรโร่ว เดินไปข้างหน้าและเตะก้นหลี่เหว่ยยี่เบา ๆ จากนั้นก็พูดว่า “นายเอาของมาหรือยัง ?”
หลี่เหว่ยยี่หัวเราะอย่างซุกซนพลางยื่นม้วนกระดาษในมือของเขาที่ดูเหมือนจะเป็นภาพวาดอะไรบางอย่างให้เย่เชียน เขาพูดว่า “นี่เป็นผลงานชิ้นเอกซึ่งเป็นของแท้ของถังป๋อหู ผมรู้มาว่าหวังปิงเป็นคนชอบวาดภาพและการประดิษฐ์อักษร เพราะฉะนั้นเขาต้องชอบอันนี้แน่นอน” จากนั้นเขาก็หันไปมองที่หลินโรโร่วพร้อมกับยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ บอสของผมคงเงอะงะทำอะไรไม่ถูกเมื่อคืนนี้แน่ ๆ เลยใช่มั้ยครับ ? ผมบอกเขาไปก่อนหน้านี้แล้วว่าให้เขาซ้อมก่อนลงสนามจริงแต่เขาก็ไม่ฟังผมเลย เขาต้องเสียหน้าแน่ ๆ เลยเมื่อคืนนี้ฮ่า ๆ ๆ”
หลินโรโร่วไม่เคยถูกหยอกล้อเรื่องแบบนี้ที่ไหนมาก่อน สีแดงก่ำกระจายไปทั่วใบหน้าเธอทันที เธอเขินอายจนอยากจะหาหลุมสักที่และมุดไปแอบอยู่ในนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ไอ้หนู… อย่ามาทำขายหน้าที่นี่!” เย่เชียนพูดแล้วเตะก้นหลี่เหว่ยยี่เป็นเชิงแกล้ง
หลี่เหว่ยยี่รีบหลบแล้ววิ่งหนีออกไปทันที และหลังจากหลบลูกเตะของเย่เชียนได้ เขาก็หันหน้ากลับมาหัวเราะเยาะเย้ยอย่างซุกซนและพูดว่า “บอสก็คือบอสอยู่วันยังค่ำ เฮ้อ… ผ่านไปตั้งคืนนึงแล้วยังมีเรี่ยวแรงอยู่อีกเหรอครับ ? ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้คงจะขยันไม่พอนะ” หลังจากพูดแบบนี้แล้ว หลี่เหว่ยยี่ก็รีบวิ่งหนีอย่างใจจดใจจ่อ เขาเคยโดนเย่เชียนเตะแบบแกล้ง ๆ มาก่อนซึ่งมันแอบเจ็บ เพราะงั้นครั้งนี้ เขาไม่รอให้เย่เชียนมาเตะก้นเขาหรอก
เมื่อมองไปที่ร่างของหลี่เหว่ยยี่ที่วิ่งหนีอย่างซุกซนและจู่ ๆ ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา หลินโรโร่วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ เขาน่ารักดีนะ”
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่นและคิดในใจ ‘เขาน่ารักงั้นเหรอ ? หลินโรโร่ว ถ้าคุณได้เห็นตอนที่หลี่เหว่ยยี่ฆ่าใครสักคนแล้วล่ะก็ คุณจะไม่สามารถคิดแบบนี้ได้อีกต่อไปเลยแหละ’
เย่เชียนส่ายหัวเล็กน้อย “โรโร่ว คุณอย่ามองว่าเด็กคนนี้น่ารักเลย เมื่อไรก็ตามที่เขาต้องปฏิบัติภารกิจ เขาจะขยันมุ่งมั่นและดูเหี้ยมมาก ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่สามารถเรียนรู้ทักษะของเขาได้เพราะพรสวรรค์ของเขาโดดเด่น เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักล่าที่แท้จริงเลยเชียวล่ะ” เย่เชียนพูดอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินเย่เชียนพูดว่านักล่า หลินโรโร่วก็ทำหน้าสงสัยเพราะเธอไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก
“นักล่าควรมีสัมผัสและการดมกลิ่นที่ดีเหมือนสุนัข เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก ดุร้ายเหมือนหมาป่า และเก่งในการตามล่าเหยื่อ หลี่เหว่ยยี่มีลักษณะและทักษะตามที่ผมพูดมาทุกอย่าง ตราบใดที่เขาเฝ้ามองศัตรู นั่นหมายความว่าแทบจะไม่มีใครรอดพ้นไปจากเงื้อมมือของเขาได้” เย่เชียนอธิบาย จากนั้นก็โบกมือเรียกแท็กซี่
“ผมจะไปส่งคุณที่โรงพยาบาลก่อนแล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันกลับเองดีกว่า คุณมีธุระของคุณก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องห่วงฉันนะ” หลินโรโร่วพูดอย่างเกรงใจ
“ไม่ ๆ ผมยังมีเวลาอยู่ เราไปกันเถอะ” เย่เชียนจับแขนเธอและพาขึ้นรถแท็กซี่ หลังจากบอกที่อยู่ให้คนขับแล้ว คนขับก็ออกรถและขับตรงไปที่โรงพยาบาลเหรินเหมิน
เมื่อส่งหลินโรโร่วถึงโรงพยาบาลก็เป็นเวลาใกล้จะเก้าโมงครึ่งแล้ว เย่เชียนไม่กล้าที่จะเอื่อยเฉื่อยอีกต่อไป เขาบอกคนขับรถให้พาเขาไปที่สโมสรเจิดจรัสต่อทันที
นี่เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างตัวเขากับหวังปิง เย่เชียนจึงไม่ต้องการที่จะทำตัวไร้มารยาทมากเกินไป เขาเองก็คิดเช่นกันว่าสุดท้ายแล้วเขาคงจะต้องคบค้าสมาคมกับหวังปิงไปอีกนานและต้องพบกันอีกหลายครั้งในอนาคต มันคงเป็นการดีกว่าที่จะมีพันธมิตรเพิ่มมาหนึ่งคนแทนที่จะมีศัตรูเพิ่มมาหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้น การมีพันธมิตรที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการและมีโอกาสเป็นคนของรัฐบาลในอนาคต จะช่วยให้การทำสิ่งต่าง ๆ มากมายกลายเป็นเรื่องที่สะดวกมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าประเทศใดก็ตาม การพัฒนาองค์กรไม่สามารถขาดการสนับสนุนของรัฐบาลได้ ประเทศจีนก็ไม่มีข้อยกเว้นนี้ หากว่าเขี้ยวหมาป่าต้องการขยายสาขาในเมืองเซี่ยงไฮ้ในอนาคต แน่นอนว่าจะต้องขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์อันดีที่มีกับหวังปิง ถึงแม้ว่าเขี้ยวหมาป่านั้น ภายนอกจะดูเหมือนองค์กรหรือบริษัทที่เป็นประเภทรับประกันความปลอดภัยของสาธารณะ แต่เป้าหมายของเย่เชียนก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม…