“บางครั้ง… การเติบโตมาในครอบครัวแบบนี้มันก็น่าเศร้าใจจริง ๆ นะ ถ้าฉันเลือกได้ ฉันอยากเกิดมาเป็นลูกสาวของคนธรรมดา ๆ ดีกว่า ฉันจะได้ไม่ต้องมาแบกรับความรับผิดชอบของครอบครัวแบบนี้” หลินโรโร่วพูดด้วยสีหน้าที่ดูเศร้า ๆ
“เย่เชียน… ฉันน่ะตกลงกับพ่อแม่ของฉันเอาไว้ว่าฉันจะยอมแต่งงานกับคนที่ฉันไม่ได้รักก็ได้ แต่พวกเขาจะต้องให้เวลาฉันสองปี เพื่อให้ฉันได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าและได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง… สองปี… ถึงแม้มันจะไม่ได้นานก็ตาม แต่มันจะกลายเป็นความทรงจำที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันเลยล่ะ และฉันก็สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่า ฉันจะไม่ตกหลุมรักใครทั้งนั้น เพราะหลังจากสองปี ฉันก็ต้องทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับพ่อแม่ซึ่งก็คือการแต่งงานกับลูกชายคนโตของผู้ว่าการคนนั้น…
เย่เชียน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าครั้งแรกที่ฉันได้พบกับคุณในโรงพยาบาล เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่ฉันเห็นคุณร้องไห้ด้วยความตื้นตันเหมือนกับเด็กตัวเล็ก ๆ ในตอนนั้น มันเหมือนกับว่าหัวใจของฉันถูกแทงไปด้วยหนามนับร้อยนับพัน พอรู้ตัวอีกที ฉันก็ตกหลุมรักคุณไปแล้วอย่างหมดหัวใจ เฮ้อ… นี่มันบ้ามาก ฉันไม่สมควรจะรักคุณใช่มั้ย ?”
ดวงตาของหลินโรโร่วเริ่มวาววับไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถอดกลั้นมันไว้ได้อีกต่อไปจึงก้มหัวลงและร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างขมขื่น ในช่วงเวลาสองปีที่เธอนั้นได้รับอิสระและเสรีภาพอย่างเต็มที่ เธอต้องแลกมันมาด้วยความทุกข์ตลอดทั้งชีวิตของเธอ
เย่เชียนโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนของเขาเบา ๆ หัวใจของเขาเจ็บปวดมากราวกับว่าถูกใครบางคนแทงอย่างโหดเหี้ยมเข้าไปกลางใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลินโรโร่วจะต้องพบกับเรื่องราวเช่นนี้ เธอได้รับความกดดันแบบที่คนเป็นลูกสาวไม่สมควรแบกรับมันเอาไว้ และเมื่อเปรียบเทียบกับจ้าวหยากับฉินหยูแล้ว พวกเธอไม่อาจรู้ตัวเองว่าพวกเธอโชคดีมากเพียงใด
หลังจากนั้นไม่นาน หลินโรโร่วก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ขณะที่เธอจ้องเข้าไปในดวงตาของเย่เชียน เธอก็พูดว่า “เย่เชียน… ได้โปรดยกโทษให้กับความเห็นแก่ตัวของฉันด้วยนะ แต่ฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองให้ไม่รักคุณได้จริง ๆ สัญญากับฉันนะ… สัญญากับฉันได้มั้ยว่าถ้าหากว่าในอนาคตฉันต้องจากคุณไป คุณจะต้องไม่เสียใจ เพราะไม่ว่าตัวของฉันจะไปอยู่ที่ไหน แต่หัวใจของฉัน มันจะเป็นของคุณตลอดไป… ฉันเชื่อว่าครึ่งปีที่เหลืออยู่นี้ มันจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีและมีความสุขที่สุดในชีวิตของฉันอย่างแน่นอน”
“คนโง่… ผมจะไม่ปล่อยให้คุณไปไหนทั้งนั้นแหละ… ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณทิ้งผมไปตลอดชีวิตหรอก” เย่เชียนพูดอย่างเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่
หลินโรโร่วยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “ฉันรู้… ว่าคุณรักฉันมากเหมือนกับที่ฉันรักคุณมากเช่นกัน… แต่ฉันก็ต้องนึกถึงครอบครัวของตัวเองด้วย จะด้วยความทุกข์ทรมานหรืออะไรก็ตามแต่ มันไม่มีทางเลือกอื่นเลย บางสิ่งบางอย่างมันก็เกินกว่าที่พวกเราจะสามารถควบคุมได้ เย่เชียน… อย่าให้ฉันทำให้คุณทุกข์ใจเลย เย่เชียนคนที่ฉันรู้จักน่ะเขาเป็นคนเข้มแข็งเด็ดขาด ฉันรู้ว่าคุณต้องทำสิ่งที่ฉันขอได้แน่ เพราะไม่ว่าฉันจะทำอะไรหรืออยู่ที่ไหน ความรู้สึกเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ตลอดไปและเวลาที่เหลืออยู่อีกครึ่งปีนี้ เราจะใช้มันอย่างคุ้มค่าและมีความสุขที่สุด…
เย่เชียน… ได้โปรดรักฉันอย่างถูกต้องเถอะนะ… ฉันอยากจะจดจำคุณในทุก ๆ ส่วนของคุณ เพื่อเก็บคุณไว้ในความทรงจำที่แสนดีของฉัน”
เมื่อหลินโรโร่วพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก
เย่เชียนส่ายหัวเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเพื่อหยุดการกระทำของหลินโรโร่ว จากนั้นก็พูดว่า “ใส่เสื้อผ้าของคุณกลับไปก่อน”
หลินโรโร่วชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ส่งเสียงร่ำไห้และสะอึกสะอื้นอย่างหนักหน่วง
เย่เชียนกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาและพูดว่า “โรโร่ว… ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหัวใจของคุณจะบอบช้ำและได้รับความกดดันแบบนี้มาตลอด เป็นเพราะผมเองที่เป็นแฟนที่มีความสามารถไม่มากพอ บางทีคุณอาจจะเรียกผมว่าคนโง่เลยก็ได้… แต่ผมไม่อยากให้คุณมอบใจมอบกายให้ผมภายใต้สถานการณ์แบบนี้ หลังจากนี้ไปผมสัญญาว่าผมจะทำให้คุณมีความสุขโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีกเลย เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว คุณก็จะสามารถมอบใจและมอบกายให้กับผมได้อย่างมีความสุขจริง ๆ ดูเหมือนว่าผมจะยังไม่เคยเล่าเรื่องของผมให้คุณฟังเลยสินะ… คุณอยากฟังมันไหม ?”
หลินโรโร่วพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ผมขอสูบบุหรี่ได้ไหม ? ฮ่า ๆ ถ้าผมไม่สูบบุหรี่ ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอารมณ์เล่าน่ะ”
หลังจากพูดเช่นนั้น เย่เชียนก็ควักบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟแล้วคาบมันเอาไว้ที่ปาก
“คุณรู้แล้วว่าผมได้ออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปเมื่อแปดปีที่แล้ว คุณรู้ไหมว่าทำไม ? ก็เพราะว่าตอนนั้นผมยังเป็นเด็กเลือดร้อนและดันมีมาเฟียคนนึงที่ทำร้ายร่างกายน้องสามของผม… ผมจึงไม่สามารถทนอยู่เฉย ๆ ได้ ผมใช้มีดแทงเขาไปสองครั้ง โชคดีที่เขาไม่ตาย แต่ถ้ามีดของผมแฉลบเข้าไปลึกอีกนิดเดียว เขาก็คงจะได้ไปพบกับยมบาลในนรกแล้ว แต่ก็เพราะเขาไม่ตายนั่นแหละ เขาก็เลยส่งคนออกตามล่าตัวผม พอเป็นแบบนี้ ผมก็เลยไม่อยากอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้นี่อีกต่อไปเพราะเกรงว่าพ่อและพี่น้องของผม รวมไปถึงคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะได้รับอันตรายไปด้วย ดังนั้นผมจึงแอบหนีออกจากเมืองอย่างลับ ๆ…
ตอนนั้นผมเองก็ยังเด็กมาก ผมไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปหาที่นอนริมถนนหรือไม่ก็ตามใต้สะพานลอย คอยเก็บอาหารที่เหลือเศษจากถังขยะหน้าประตูร้านอาหารประทังชีวิตไปวัน ๆ เพื่อขจัดความหิวโหย ผมได้รับการปฏิบัติเยี่ยงสุนัขจรจัดโดยผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้น และถูกขับไล่อย่างกับหมูกับหมา…
พอนึกถึงช่วงเวลานั้นแล้ว สิ่งที่ผมต้องเผชิญคือชีวิตที่น่าอับอาย ซึ่งมันทำให้แม้แต่หัวใจของผมก็ได้ตายด้านไปด้วย…
บางทีมันอาจจะเป็นโชคชะตาของผมก็ได้นะที่ผมได้รับความช่วยเหลือจากใครบางคน เขาคนนั้นเป็นคนที่เปลี่ยนผมไปโดยสิ้นเชิงจากหน้ามือเป็นหลังมือ เดิมทีเขาเป็นผู้นำของกองกำลังทหารพิเศษเขี้ยวหมาป่าของประเทศจีน แต่เขาละเมิดกฎและถูกไล่ออกจากทะเบียนทหาร เขาพาผมไปแถบทวีปตะวันออกกลางและพาผมเข้าไปอยู่ในกลุ่มทหารรับจ้างที่ก่อตั้งโดยตัวของเขาเอง ตอนนั้นผมอายุได้สิบเจ็ดปีและอาศัยอยู่ร่วมกับเหล่าทหารจากกองทัพนานาประเทศที่ถูกไล่ออกจากราชการ ผมน่ะได้รับการฝึกฝนร่วมกับพวกเขา…
ในมุมมองของคนนอก บางทีพวกเขาอาจเป็นเพียงอาชญากรกลุ่มหนึ่งที่สามารถฆ่าคนโดยไม่สำนึกผิดได้ แต่ในสายตาของผมแล้ว พวกเขาเป็นคนที่น่ารักที่สุดในโลก พวกเขาดีกับผมมาก ทั้งช่วยสอนศิลปะการป้องกันตัว สอนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาวุธปืน สอนภาษาของประเทศต่าง ๆ แถมยังสอนวิธีการฆ่าคนให้ผมอีก…
ครั้งแรกที่ผมฆ่าใครสักคน ตอนนั้นผมอายุสิบแปดเอง ผมจำไม่ได้ว่าสถานการณ์ในช่วงนั้นเป็นยังไงกันแน่ แต่ที่รู้ ๆ คือในช่วงแปดปีที่ผ่านมา ผมได้เห็นการพลัดพรากจากกันมาแล้วมากมาย มันทำให้ผมตระหนักถึงหลักการที่ว่า ‘โลกนี้เป็นโลกที่มนุษย์กินคนด้วยกันเอง… ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง’ มันเป็นหลักการที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนับชั่วนิรันดร์กาล…
และเมื่อสองปีก่อน หัวหน้าคนนั้นถูกฆ่าตายโดยศัตรูระหว่างปฏิบัติภารกิจ บนร่างของเขามีบาดแผลจากกระสุนอย่างน้อยสี่สิบแผล และตอนที่ผมอุ้มร่างอันไร้วิญญาณของเขานั้น ผมคิดว่าผมจะต้องร้องไห้ออกมาแน่ แต่ผมกลับไม่ร้องออกมาเลยสักแอะ…
โรโร่ว คุณอาจจะคิดว่าผมใจจืดใจดำหัวใจด้านชาหรือเปล่า แต่ทั้งหมดมันเป็นเพราะว่าผมจำสิ่งที่เขาบอกผมเอาไว้ได้เป็นอย่างดีว่า ลูกผู้ชายหลั่งเลือดได้แต่พวกเขาจะไม่หลั่งน้ำตา…
หลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตางั้นเหรอ ? ผมไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ทำมาจากเหล็ก ผมเองก็เป็นมนุษย์คนนึงที่มีความรู้สึกเหมือนกันนะ หลังจากที่ผมกวาดล้างศัตรูได้ทั้งหมดแล้ว ในที่สุดผมก็ร้องไห้ออกมาจนได้ และคุณรู้ไหมว่ากองกำลังทหารรับจ้างของเราถูกเรียกว่าอะไร ?
เขี้ยวหมาป่า! ใช่ พวกเราถูกเรียกแบบนั้น อาจเป็นเพราะผู้นำเคยอยู่กับกองกำลังพิเศษของกองทัพหมาป่าของจีน ดังนั้นเขาจึงมีความผูกพันจึงตั้งชื่อองค์กรว่า ‘เขี้ยวหมาป่า’ แต่จากมุมมองของพวกเราแล้ว เขี้ยวหมาป่าเป็นตัวแทนจิตวิญญาณของพวกเรา ซึ่งมีความสามัคคีที่หลอมรวมจิตวิญญาณที่คล้ายกับเขี้ยวแหลม ๆ ของหมาป่าที่สามารถสะบั้นศัตรูออกจากกันได้…
ท้ายที่สุด… ผมก็ทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำขององค์กร ผมรู้ว่าหน้าที่ความรับผิดชอบที่ผมจะต้องแบกรับนั้นมันมากมายและยิ่งใหญ่มาก ผมตั้งใจว่าจะทำภารกิจที่ผู้นำคนก่อนเริ่มไว้ให้สำเร็จ เพื่อให้เขี้ยวหมาป่าได้เบ่งบานและเปล่งประกายอย่าสง่าผ่าเผยบนโลกใบนี้…”