“ไม่ใช่หรอก… ผมยืมเพื่อนมาน่ะ” เย่เชียนพูดขณะที่เขาพาหลินโรโร่วเข้าไปในรถ
หลินโรโร่วมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ดังนั้นเธอจึงรู้เรื่องรถหรู ๆ ราคาแพง ๆ อยู่เล็กน้อย เธอรู้ว่ารถคันนี้มีราคาหลายล้านและหากเย่เชียนสามารถยืมรถคันนี้จากเพื่อนของเขามาได้ง่าย ๆ นั่นก็ต้องหมายความว่าคนคนนั้นคงเป็นเพื่อนที่ดีของเขาอย่างแน่นอน
สัมผัสที่หกของผู้หญิงนั้นช่างเฉียบคมและแม่นยำยิ่งนัก ขณะที่นั่งอยู่ในรถ หลินโรโร่วก็ได้กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ เธอรู้ดีว่ากลิ่นนี้คือน้ำหอมยี่ห้อชาแนลรุ่นหมายเลขห้า ทำให้เธอแน่ใจว่าเจ้าของรถคันนี้ต้องเป็นผู้หญิง
เธอเกิดลางสังหรณ์บางอย่างที่บอกเธอว่าเจ้าของรถคันนี้และเย่เชียนจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน แต่เมื่อเธอเห็นใบหน้าที่ดูสงบของเย่เชียน เธอก็ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะถึงอย่างไรเธอเองก็ไม่อยากจะนึกสงสัยในตัวของเย่เชียน
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า ? ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะ ?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจ
หลินโรโร่วยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก… คือ… นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่ได้มานั่งรถหรูขนาดนี้น่ะ ฉันเลยรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย”
หลินโรโร่วตัดสินใจจากก้นบึ้งหัวใจของเธอแล้วว่า ต่อให้เย่เชียนจะมีผู้หญิงอีกคนอยู่ข้างกายแต่เธอก็จะรับมันให้ได้ ตราบใดที่เย่เชียนยังคงรักเธอ เธอก็จะยังอยากอยู่กับเขา
คนอย่างเย่เชียนจะมีสักกี่คนบนโลกกันล่ะ ? เธอรู้สึกได้ว่าความรู้สึกที่เย่เชียนมีต่อเธอนั้นเป็นของแท้และจริงใจ เย่เชียนรักเธอจริง ๆ และเธอก็รักเขาอย่างแท้จริงเช่นกัน ความรักนั้นมันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและเป็นเรื่องของคนสองคนจึงไม่มีอะไรที่จะมาขวางกั้นได้
มื้อเย็นจบลงด้วยบรรยากาศอันแสนอบอุ่น ทักษะการทำอาหารของหลินโรโร่วนั้นไม่เลวนักหากเทียบกับการที่เธอต้องเติบโตมาในครอบครัวที่ใหญ่และมีฐานะดีขนาดนั้น อันที่จริงเย่เชียนต้องการเข้าไปในห้องครัวเพื่อที่จะช่วยเธอ แต่หลินโรโร่วก็ปฏิเสธและบอกให้เขารออยู่เฉย ๆ ในห้องนั่งเล่น
หนึ่งในข้อดีของหลินโรโร่วก็คือ เธอสามารถเข้าใจคนอื่นได้เป็นอย่างดี และนี่คือสิ่งที่เย่เชียนชอบมากที่สุดในตัวเธอ
เมื่อเย่เชียนกำลังจะออกจากบ้านของหลินโรโร่ว เธอก็จัดเสื้อผ้าให้เขาอย่างพิถีพิถัน เย่เชียนพูดหยอกล้อกับเธอว่า “คุณไม่เต็มใจใช่มั้ย ? ถ้าคุณทนไม่ได้ที่ผมจะต้องกลับไป ผมก็จะอยู่กับคุณนะ”
หลินโรโร่วเพียงแค่ยิ้มอย่างอ่อนโยนเพราะเธอรู้ว่าเย่เชียนเป็นคนที่จริงจังกับเธอมาก ถ้าเธอต้องการให้เย่เชียนอยู่ เขาก็จะทิ้งเรื่องสำคัญทั้งหมดที่เขาจะไปทำและอยู่กับเธอ แต่เธอก็ปฏิเสธไปอย่างอ่อนโยน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่อยากให้เขากลับไป แต่เธอก็ไม่อยากที่จะให้เขาทิ้งบ้านหรือทิ้งเรื่องสำคัญอื่น ๆ เพื่อมาอยู่กับเธอในชั่วข้ามคืน
หลังจากอ้อยอิ่งอยู่สักพัก เย่เชียนก็สตาร์ทรถและขับออกไป
เมื่อมาถึงบ้านพักของฉินหยูแล้ว เย่เชียนก็ยุ่งอยู่กับการทำครัว ระหว่างทำอาหารและเตรียมอะไร ๆ ให้ฉินหยู เขาก็คิดอะไรไปเรื่อย
ก่อนหน้านี้ที่บ้านของหลินโรโร่ว เขาต้องการช่วยเธอทำอาหารด้วยแต่หลินโรโร่วรู้สึกเกรงใจ เธอจึงไม่ยอมให้เขาช่วยเธอ เย่เชียนไม่ปฏิเสธความตั้งใจของหลินโรโร่วเพราะเขาคิดว่าพวกเขาทั้งสองยังมีเวลามากมายอีกในอนาคต เขารู้สึกเสมอว่าการที่เราได้ทำอาหารให้คนที่เรารักชอบนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง และเขาเองก็รู้ว่าหลินโรโร่วก็คิดแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการกีดกันเธอจากความตั้งใจนี้ เขารู้สึกว่าเมื่อเขาอยู่กับหลินโรโร่ว พวกเขาทั้งสองไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันมากมาย เพราะเพียงแค่มองตา ทั้งคู่ก็สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไร
เวลาสามทุ่ม
ฉินหยูกลับมาบ้านอย่างตรงเวลา บางทีอาจจะเป็นเพราะเย่เชียนทำตัวลึกลับมากในช่วงบ่ายวันนั้น เธอจึงไม่ได้เปิดประตูและเข้าไปในบ้านทันทีแต่เลือกที่จะเคาะประตูก่อนแทน
เมื่อเย่เชียนได้ยินเสียงเคาะประตู เขาก็วุ่นวายรีบถอดผ้ากันเปื้อนออก เดินออกจากห้องครัวไป จากนั้นก็ไปที่ประตูอย่างใจเย็นแล้วปิดไฟทั้งหมดดับลง
ฉินหยูและคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงหลังจากที่เห็นไฟดับไป จ้าวหยาถามขึ้นทันทีด้วยความประหลาดใจ “อ้าวเจ๊หยู! ทำไมไฟทุกดวงถึงดับไปล่ะ ? ไม่ใช่ว่ามีขโมยเข้าบ้านเราหรอกนะ”
ถึงแม้ว่าฉินหยูจะไม่รู้เหตุผล แต่เธอก็เชื่อว่าทั้งหมดนี้จะต้องเป็นแผนของเย่เชียนอย่างแน่นอน หลังจากที่เธอว้าวุ่นใจอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เคาะประตูอีกครั้ง
เย่เชียนค่อย ๆ เปิดประตูออก ภายในบ้านนั้นมืดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ร่างของเย่เชียนก็มองเห็นได้แค่ราง ๆ จากแสงของดวงจันทร์ หญิงสาวทั้งสามนั้นเริ่มรู้สึกกลัวกันมากแล้วในตอนนี้
“ยินดีต้อนรับสาวสวยทั้งหลาย… โปรดเข้ามาข้างใน… เชิญ!” เย่เชียนโค้งคำนับอย่างสุภาพบุรุษ
ไม่ใช่แค่ฉินหยู แต่หูวเค่อและจ้าวหยาก็ประหลาดใจมากเช่นกัน พวกเธอไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงเย่เชียนเขาถึงทำตัวแบบนี้
เมื่อฉินหยูก้าวเข้าไปในบ้าน เธอก็เห็นว่ามีเทียนถูกวางอยู่บนพื้นเรียงสองแถวขนาบกันเป็นทางเดินและเทียนเหล่านั้นก็ถูกรายล้อมไปด้วยดอกไม้สดหลากหลายชนิด อีกทั้งภายในห้องก็ยังได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามเต็มไปด้วยริบบิ้นหลากหลายสี แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจกว่านั้นก็คือ เย่เชียนได้แขวนภาพขนาดใหญ่ที่เป็นรูปของเธอเอาไว้บนผนังห้องนั่งเล่น
“เฮ้ย…! นี่มันต้องขนาดนี้เลยเหรอ ?” จ้าวหยาอุทานด้วยความประหลาดใจ
หูวเค่อเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เธอไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนจะเอาใจใส่พวกเธอมากพอถึงขนาดจัดเตรียมงานวันเกิดให้ฉินหยูได้ขนาดนี้ และเธอก็ไม่แปลกใจแล้วที่ฉินหยูขอให้พวกเธอไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าด้วยกันหลังเลิกเรียน ไหนจะการที่ทั้งเธอกับจ้าวหยาบอกฉินหยูว่าพวกเธอจะไปที่ร้านอาหารเพื่อฉลองวันเกิดให้ฉินหยู แต่ฉินหยูกลับปฏิเสธพวกเธอโดยยืนยันที่จะกลับบ้าน
ท้ายที่สุดทุกอย่างก็ปรากฏอย่างชัดเจนแล้วว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเตรียมเซอร์ไพรส์บางอย่างเพื่อฉินอยูอยู่ที่บ้านนั่นเอง
ถึงแม้ว่าฉินหยูจะเคยผ่านงานวันเกิดของตัวเธอเองมาตลอดยี่สิบปี และทุกครั้งก็หรูหรามากกว่าวันนี้ แต่ไม่เคยมีใครที่ทำให้เธอรู้สึกปลาบปลื้มมากเช่นนี้มาก่อนเลย เธอมองไปที่ผู้ชายที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่ตอนนี้
ผู้ชายคนนี้… เขาได้เข้ามาสัมผัสถึงกลางหัวใจของเธอและได้ดึงเอาสายใยแห่งรักในหัวใจของเธอออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณนะ…” ฉีนหยูเอ่ยเสียงแผ่วเบา เสียงของเธอกำลังหวั่นไหวไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายผสมปนเปกันอยู่ในหัวใจ
ใครกันที่บอกว่าเธอเป็นราชินีน้ำแข็งแห่งภูเขาน้ำแข็งพันปี เธอเองก็มีช่วงเวลาที่อ่อนโยนและอ่อนไหวเหมือนกัน เพียงแค่เธอยังไม่เคยพบกับคนที่ใช่สำหรับเธอก็เท่านั้นเอง
แต่ตอนนี้… เย่เชียนกำลังค่อย ๆ ละลายภูเขาน้ำแข็งนี้ของเธอทีละน้อย ๆ
“ถ้ามีใครฉลองวันเกิดให้ฉันแบบนี้… ฉันจะแต่งงานกับเขาทันทีเลยแหละ” จ้าวหยาบุ้ยปากเล็กน้อยขณะพูด
“ถ้างั้น… วันเกิดของเธอครั้งหน้าให้ฉันจัดการให้นะ” เย่เชียนยิ้มกว้าง
“ไม่ต้องย่ะ… ไอ้คนขี้โกง” จริง ๆ แล้วจ้าวหยาแอบรู้สึกอิจฉาอยู่ลึก ๆ เธอเลยพูดออกไปแบบนั้นให้คนอื่นคิดว่าเธอไม่ชอบและไม่พอใจเล็กน้อย
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะยักไหล่อย่างซุกซนและหัวเราะเบา ๆ
เมื่อสาว ๆ ทั้งสามคนเดินไปถึงโต๊ะอาหาร เย่เชียนก็จัดการเปิดไฟที่ส่องแสงสีส้มอ่อน ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นละมุนตา และเมื่อพวกเธอเห็นอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ ทุกคนก็หันมองเย่เชียนด้วยความตกตะลึง
“โห! นี่นายทำเองทั้งหมดเลยเหรอ ?” ฉินหยูถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยน
“ถูกต้องนะคร้าบ… ผมไม่ได้ทำแบบนี้มานานแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะดีพอไหม” เย่เชียนพูดพลางดึงเก้าอี้ออกมาให้ฉินหยูนั่ง
“อย่ามาโม้หน่า! ฉันแน่ใจว่านายต้องโทรสั่งร้านอาหารให้เอาอาหารพวกนี้มาส่งแหง ๆ” จ้าวหยาพูดพร้อมอมยิ้มเล็กน้อย
เย่เชียนไม่ได้ตอบหรือโต้เถียงอะไรกับเธอ เขาเพียงแค่เหลือบมองเธออย่างอ่อนโยนแล้วหันไปพูดกับฉินหยูว่า “รอผมก่อนนะ… ผมมีของขวัญจะให้คุณด้วย” หลังจากพูดแบบนี้ เขาก็เดินออกไปอย่างกระตือรือร้น
“เจ๊หยู… มีน้ำซึมเข้าไปในหัวของผู้ชายคนนี้หรือไงหนิ ? ทำไมจู่ ๆ เขาถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ล่ะ” จ้าวหยาถามในขณะที่มองดูเย่เชียนที่กำลังเดินออกไป
“เขาน่ะไม่ได้เลวร้ายอะไรตั้งแต่แรกแล้ว… เขาแค่ชอบกวนใจและหัวรั้นแค่นั้นเอง แม้เขาจะน่ารำคาญก็เถอะ แต่บางครั้งเขาก็น่ารักมากเลยนะ” ฉินหยูพึมพำอย่างมีความสุข