แม้ว่านักฆ่าจากองค์กรเซเว่นคิลจะถอนตัวออกไปแล้ว แต่ทว่าศัตรูของจ้าวเทียนห่าวก็ยังคงมีอยู่ สิ่งนี้เองที่เป็นตัวยืนยันได้ทางอ้อมว่าจ้าวเทียนห่าวไม่ใช่นักธุรกิจธรรมดา ๆ
ส่วนเหตุผลที่องค์กรเซเว่นคิลถอนตัวออกไป มันก็ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาแพ้การเดิมพันของเย่เชียน แต่ยังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่งคือจ้าวเทียนห่าวนั้นอยู่นอกเหนือกฎเหล็กทั้งเจ็ดขององค์กรเซเว่นคิลนั่นเอง
เย่เชียนแอบตำหนิตัวเองในใจอย่างลับ ๆ ว่าเขาควรจะตระหนักและไตร่ตรองเรื่องนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
จ้าวหยาส่ายหัวของเธอไปมาทันทีเมื่อเธอได้ยินคำถาม เธอได้แต่ตอบสั้น ๆ ว่า “ฉันไม่รู้…”
อาจพูดได้ว่าจ้าวหยาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจของเทียนหยากรุ๊ปเลยจริง ๆ เธอคิดแค่เพียงว่าถึงอย่างไรสำหรับเธอแล้ว พ่อของเธอก็เป็นเพียงนักธุรกิจธรรมดาสามัญที่ดีคนหนึ่ง
“ลุงจ้าวน่ะเป็นหนึ่งในประธานบอร์ดบริหารของหงเหมินกรุ๊ป…” ฉินหยูพูดช้า ๆ
เย่เชียนจ้องมองเพียงเล็กน้อยโดยไม่แสดงความประหลาดใจใด ๆ จากนั้นเขาก็พูดว่า “เฮ้อ… เซี่ยงไฮ้นี้ช่างเป็นดินแดนที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ”
หูวเค่อยิ้มจาง ๆ และพูดว่า “มันเป็นดินแดนที่ยอดเยี่ยมก็จริงอยู่ แต่มันก็ถูกฝังถับถมไปด้วยร่างของวีรบุรุษมากมาย… ตอนนี้กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสามแห่งนั้นมีความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนกันมาก เบื้องหน้า… ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูสงบไปหมด แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าความสงบนี้มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น สงครามระหว่างทั้งสามฝ่ายอาจจะปะทุขึ้นมาอีกเมื่อไหร่และตอนไหนก็ได้ แล้วมันก็จะมีคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขา แต่ในขณะเดียวกัน… มันก็เป็นอันตรายและเสี่ยงด้วยอีกเช่นกัน เพราะงั้นสงครามระหว่างทั้งสามฝ่าย ยังไง ๆ สุดท้ายมันก็คือหายนะ”
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง ฉินหยูก็พูดว่า “ความขัดแย้งระหว่างหงเหมินกรุ๊ปและชิงกรุ๊ปนั้นกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ… ไม่นานมานี้เอง ลุงจางเชียงบอกฉันว่าเครือชิงกรุ๊ปกำลังจะประกาศสงครามอย่างเป็นทางการกับพวกเขา” พูดจบ ฉินหยูก็หันไปทางเย่เชียนและถามเขาตรง ๆ ว่า “เย่เชียน… นายน่ะไม่อยากจะรู้เรื่องของฉันบ้างเลยหรือไง ? วันนี้ฉันจะบอกความจริงทุกอย่างกับนาย… ฉันคนนี้… เป็นลูกสาวคนโตของฉินเทียน ประธานบริษัทหงเหมินกรุ๊ป”
“…?!”
เย่เชียนเบิกตากว้างพูดไม่ออก ถึงแม้ว่าเขาจะเดาได้ว่าตัวตนของฉินหยูนั้นคงไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่การที่เขาได้ยินจากปากเธอเองว่าเธอเป็นลูกสาวคนโตผู้สืบทอดหงเหมินกรุ๊ปนั้น มันก็ทำให้เขาถึงกับตกตะลึงอึ้งทึ่งอย่างช่วยไม่ได้ เย่เชียนเข้าใจว่าพลังและอิทธิพลของหงเหมินกรุ๊ปมีมากเพียงใด แม้กระทั่งไชน่าทาวน์ในสหรัฐอเมริกา หงเหมินกรุ๊ปก็มีอำนาจมหาศาลเช่นกัน
…เย่เชียนไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลยว่าฉินหยูคนนี้จะเป็นลูกสาวของเจ้าแห่งยมโลกผู้นั้น
หูวเค่อรู้ดีเกี่ยวกับตัวตนของฉินหยู เธอจึงไม่ได้แปลกใจอะไร แต่ทันใดนั้น เย่เชียนก็นึกขึ้นได้ เขาถามอย่างร้อนรนว่า “เอ่อคือ… ก่อนหน้านี้มีบอดี้การ์ดสองคนบอกว่าเจ้านายของพวกเขาต้องการพบผมที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยน่ะ… นั่นใช่คำสั่งพ่อของคุณหรือเปล่า ?”
ฉินหยูตกตะลึงไปชั่วขณะพลางคิดว่ามันค่อนข้างที่จะเป็นไปได้ เพราะน้องชายตัวแสบอย่างฉินเฟิงที่เป็นคนปากพล่อยนั้น อาจจะกระจายข่าวไปแล้วทุกที่เกี่ยวกับเรื่องของเธอกับเย่เชียน ซึ่งแม้แต่ลุงจางเชียงก็ยังรู้เรื่องนี้ นับประสาอะไรกับพ่อของเธอเองล่ะ เขาก็คงรู้เช่นกัน
“ฉันไม่รู้… แต่ฉันรู้จักกับเจ้าของรถที่นายเพิ่งจะขโมยไป”
เย่เชียนยิ้มแหย ๆ อย่างละอายใจและพูดว่า “สถานการณ์มันคับขันไปหน่อยน่ะ ฮ่า ๆ ๆ ผมกำลังคิดอยู่เชียวว่าจะคืนรถให้กับเจ้าของเขายังไงดี… ถ้าคุณรู้จักเขา งั้นคุณช่วยผมขอโทษเขาให้ทีสิ”
“ลุงจางจะไม่ตำหนิอะไรนายหรอก” ฉินหยูพูดอย่างไม่แยแสและถามกลับไปว่า “เย่เชียน… ถ้าหากสงครามระหว่างหงเหมินกรุ๊ปและชิงกรุ๊ปกำลังจะเริ่มขึ้น… นายจะทำยังไง ?”
“คุณอยากฟังความจริงหรือโกหกล่ะ ?” เย่เชียนถามอย่างเฉยเมย
“ก็ต้องความจริงอยู่แล้วสิ” ฉินหยูตอบอย่างคาดหวัง
เย่เชียนยักไหล่ “โธ่…! จากสัมพันธไมตรีของพวกเรา ผมก็ต้องยืนเคียงข้างคุณอยู่แล้วสิ แต่พูดตามตรงเลยนะ ถ้าเกิดว่าหงเหมินกรุ๊ปกับชิงกรุ๊ปเริ่มสงครามกันจริง ๆ ผมก็จะนั่งอยู่บนภูเขาแล้วดูเสือต่อสู้กัน… เพราะไม่ว่าใครจะชนะหรือใครจะแพ้ มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมอยู่แล้ว…
เฮ้อ…! ผมคิดว่าพวกคุณคงจะแอบสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของผมใช่มั้ยล่ะ ? และจนถึงตอนนี้ พวกคุณเองก็ยังสืบไม่พบอะไรเลย มันก็ใช่… ถูกต้องแล้วแหละ… ผมมันไม่ใช่แค่บอดี้การ์ดธรรมดา ๆ หรอก แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะแค่ใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ รอความตายหรอกนะ แต่พวกคุณไม่ต้องเป็นกังวลไป… ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับพวกคุณ และผมเองก็ไม่เคยตรวจสอบหรือสืบเสาะเรื่องเกี่ยวกับตัวตนของพวกคุณเลย ดังนั้นพวกคุณก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าที่ผมมาเข้าใกล้พวกคุณ จะเป็นเพราะผมมีเจตนาชั่วร้ายอะไรนั่น เพราะผมไม่มี… และด้วยความเห็นแก่ตัวของผม ไม่ว่าจะหงเหมินกรุ๊ปหรือชิงกรุ๊ป พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับผม ต่อให้พวกเขาจะห้ำหั่นกันจนถึงที่สุดผมก็จะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ถ้ามันจำเป็น ผมอาจจะช่วยเติมเชื้อไฟลงไปหน่อย และไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ สุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างและเกิดความเสียหายอย่างหนักหน่วง… นั่นล่ะ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผม…”
ทั้งฉินหยู หูวเค่อ และจ้าวหยาต่างก็เชื่อเช่นกันว่าจากจุดที่เย่เชียนยืนอยู่นั้น หากชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปเริ่มสงครามกันจริง ๆ มันก็อาจจะเป็นข้อได้เปรียบอันมหาศาลสำหรับเย่เชียนตามที่เขาพูด…
หูวเค่อยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “เย่เชียน… คุณคิดง่ายเกินไปนะคะ คุณรู้หรือเปล่าว่าอิทธิพลของหงเหมินกรุ๊ปและชิงกรุ๊ปในจีนมีมากมายขนาดไหน ? คุณรู้หรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทั้งสองฝ่ายต้องทำสงครามกันจริง ๆ ? อำนาจใต้ดินและรัฐบาลของประเทศอื่น ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันทั้งหมด…
ชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปน่ะ ต่างฝ่ายต่างก็ควบคุมอำนาจส่วนใหญ่ของประเทศจีนเอาไว้ทั้งหมด และถ้าหากทั้งสองฝ่ายเริ่มทำสงครามกันจริง ๆ ล่ะก็ ทั้งสองฝ่ายก็จะไม่มีฝ่ายไหนชนะเลย สิ่งนี้มันจะเท่ากับการให้โอกาสในการเพิ่มอำนาจของกลุ่มอื่น ๆ ไม่ว่าจะอำนาจเล็ก ๆ หรืออำนาจขนาดใหญ่ภายในประเทศก็จะเกิดขึ้น แล้วมันก็จะผุดขึ้นในแต่ละประเทศทีละประเทศไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายเหล่านั้นมันจะทำให้มหาอำนาจจากต่างชาติทั่วโลกฉวยโอกาสนี้ด้วยเช่นกัน…
แล้วก็นะ ชิงกรุ๊ปและหงเหมินกรุ๊ปก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจนลุกลามไปเรื่อย ๆ เย่เชียน…! คุณรู้บ้างมั้ยคะว่ามันจะมีจุดจบแบบนี้ ?”
เย่เชียนยักไหล่ “แล้วเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวอะไรกับผมด้วยล่ะ ?”
หูวเค่อขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าของเธอค่อนข้างบูดบึ้ง เธอลุกขึ้นยืน จ้องเขม็งไปที่เขา “คุณทำให้ฉันผิดหวัง!” จากนั้นหูวเค่อก็เดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่แยแสหรือหันกลับมามองเย่เชียนอีก
เย่เชียนตกตะลึงเล็กน้อย สายตาของเขามองตามหลังเธอไปอย่างไร้เดียงสา ปากพึมพำว่า “ก็มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมจริง ๆ นี่นา…”
ความจริงยังไงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เย่เชียนไม่ใช่ฮีโร่หรือวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องกังวลอะไร ตราบใดที่มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของชนชาติประเทศจีน ภัยคุกคามระดับมหันตภัย หรือว่าสงครามระหว่างประเทศ มันก็เป็นเพียงแค่สงครามเย็นของนักธุรกิจเพียงเท่านั้น
เย่เชียนไม่ใช่นักธุรกิจแต่เขาคือนักรบ! ทำไมเขาถึงต้องเข้าไปจัดการกับพวกใต้ดินที่ต่อสู้กันเองด้วยล่ะ ?
จ้าวหยาจ้องมองเย่เชียนเขม็ง เธอพูดอย่างไม่พอใจ “นายนี่มันแย่ที่สุด! นายทำให้เค่อเอ๋อร์ต้องโกรธ”
ฉินหยูเองก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
“เย่เชียน! ฉันรู้ว่านายไม่ใช่คนแบบนั้น” ฉินหยูพูดอย่างจริงใจแต่เธอไม่มีอะไรจะพูดต่อ เธอคิดว่าเย่เชียนเป็นคนขี้เกียจเกินไป เขาคงไม่อยากที่จะกังวลเกี่ยวกับกิจการของรัฐ ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะต้องกังวล เพราะสิ่งที่เขาทำตั้งใจทำอย่างสุดซึ้งก็คือ การปกป้องผองเพื่อนและเครือญาติของเขาเอง ตราบใดที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับอันตราย คนอย่างเย่เชียนก็จะไม่เข้าไปยุ่มย่ามด้วย รวมถึงถ้ามันไม่ใช่สงครามที่คุกคามประเทศบ้านเกิดของเขาเอง เขาก็ยิ่งไม่ยุ่ง!