ถึงแม้ว่าเย่เชียนกับซ่งหลันนั้นจะเคยนอนเตียงเดียวกันมาหลายครั้งหลายคราวแล้ว แต่พวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยมีอะไรกันแม้แต่ครั้งเดียว พวกเขาแค่เคยแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำด้วยกันและหยอกล้อเล่นกันเหมือนเด็ก ๆ แล้วก็นอนด้วยกันเป็นประจำเท่านั้น ทั้งคู่ไม่เคยก้าวก่ายหรือล้ำเส้นซึ่งกันและกันเลย ถึงแม้ว่าซ่งหลันจะทำตัวเหมือนผู้หญิงที่แกร่งและเซ็กซี่จนทำให้ผู้ชายอกแตกตายได้ก็ตาม แต่เย่เชียนก็รู้ดีว่าถ้าเขาทำอะไรกับเธอไปจริง ๆ แล้วล่ะก็ เขาเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นผู้หญิงอ่อนโยนบอบบางและไร้เดียงสาเหมือนนางฟ้าตนหนึ่งอย่างแน่นอน
ซ่งหลันเองก็ยอมรับในตัวของเย่เชียนว่า เขาคนนี้ได้เปลี่ยนความคิดและทัศนคติของเธอที่มีต่อผู้ชายทั้งหมด เธอรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่วิเศษมากเกี่ยวกับเขา ไม่ว่ามันจะเป็นความรักแบบชายหญิงหรือความรักแบบครอบครัวแบบพี่สาวกับน้องชาย ซึ่งมีหลายครั้งที่ซ่งหลันสับสนและไม่อาจบอกได้ว่าตัวเองรักเขาหรือเอ็นดูเขากันแน่
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเย่เชียนตื่นและลุกออกจากเตียง เขาก็พบว่าซ่งหลันได้ออกไปจากห้องนอนแล้ว บางทีเธออาจจะไปจัดการเรื่องธุรกิจบางอย่างของน่านฟ้ากรุ๊ปก็เป็นได้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เย่เชียนรู้สึกประทับใจในตัวเธออย่างมาก เพราะถ้าไม่ได้ซ่งหลันคนนี้แล้วน่านฟ้ากรุ๊ปก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ได้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ช่วยเขาเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณเพียงเท่านั้น แต่มันอยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอว่าเธอนั้นรักและชื่นชมเขาอย่างแท้จริง
อู๋หวนเฟิงเองก็ไม่ได้อที่ยู่ชั้นล่างเช่นกัน เขาคงตามไปคุ้มกันเธอทุกที่ตามหน้าที่ของบอดี้การ์ด
พอเย่เชียนอาบน้ำเสร็จแต่งตัวเสร็จ เขาก็นั่งแท็กซี่ออกไปข้างนอก เมื่อรถกำลังจะผ่านหน้าร้านดอกไม้ เย่เชียนก็ขอให้แท็กซี่จอด เขารู้จักกับหลินโรโร่วมานาน แต่ไม่เคยให้ดอกไม้กับเธอเลยสักครั้ง เขาจึงลงจากรถและเดินเข้าไปในร้านดอกไม้ ครู่หนึ่งเขาก็เดินกลับออกมาพร้อมกับถือดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่มาด้วยในมือ
เมื่อเย่เชียนไปถึงโรงพยาบาล เขาก็ตรงไปที่ห้องรับรองของพยาบาลอย่างรวดเร็ว หลินโรโร่วที่นั่งอยู่ในห้องรับรองนั้นกำลังจดจ่ออยู่กับเวชระเบียนของเธอเลยไม่ได้สังเกตว่าเย่เชียนเดินเข้ามาในห้อง
ภายในห้องรับรอง มีชายหนุ่มในชุดสูทนั่งอยู่ข้างในด้วย เขามีบุคลิกที่ดูสูงส่งและสง่างามมาก เมื่อเขาเห็นเย่เชียนเดินเข้ามาเขาก็พยักหน้าและยิ้มให้กับเย่เชียนเล็กน้อย เย่เชียนเริ่มฟุ้งซ่านเมื่อเห็นชายคนนั้น เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มในชุดสูทคนนี้ไม่ใช่หมอหรืออย่างอื่น เพราะในเวลาทำงานเขาก็ควรจะสวมชุดกาวน์สีขาว เย่เชียนยิ้มตอบเขาอย่างสุภาพแล้วจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปที่ด้านหลังของหลินโรโร่วอย่างเงียบเชียบ เขายื่นดอกกุหลาบไปตรงหน้าเธอและเขย่ามันไปมา
หลินโรโร่วหยุดสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่และหันกลับไปมองว่าใครกันที่เอาดอกกุหลาบช่อใหญ่มาให้ หลังจากที่เธอเห็นว่าเป็นเย่เชียนแล้ว เธอก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทันที
“คุณมาได้ยังไงน่ะ ?” หลินโรโร่วถาม
เย่เชียนยิ้มและมอบกุหลาบช่อนั้นให้เธอ จากนั้นก็พูดว่า “นี่สำหรับคุณ”
หลินโรโร่วเอื้อมมือไปรับช่อดอกกุหลาบและยิ้มอย่างมีความสุข “ขอบคุณนะคะ!” จากนั้นเธอก็มองไปที่บาดแผลบนแขนของเย่เชียนและถามด้วยความกังวลว่า “เป็นยังไงบ้าง แผลดีขึ้นมั้ย ?”
เย่เชียนยิ้มจาง ๆ แล้วพูดว่า “ภรรยาของผมทำแผลให้เองกับมือ มันก็ต้องดีขึ้นอยู่แล้วสิ”
หลินโรโร่วมองไปที่เย่เชียนอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “ปากหวานเชียวนะวันนี้”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น ชายหนุ่มในชุดสูทก็ลุกขึ้นเดินมาหยุดที่ด้านข้างของเย่เชียน เขายื่นมือออกมาทักทายอย่างสุภาพแล้วพูดว่า “สวัสดีครับ คุณต้องเป็นเย่เชียนที่โรโร่วชอบพูดถึงแน่เลย ผมชื่อเฉินเซิง”
เย่เชียนมองเขาด้วยความประหลาดใจและรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาคิดในใจว่าชายผู้นี้อาจจะเป็นญาติของหลินโรโร่วอีกคนหนึ่งหรืออะไรทำนองนั้น จากนั้นหลินโรโร่วก็พูดอย่างประหม่าว่า “เขาคือคนที่แม่ของฉัน…”
หลินโรโร่วยังพูดไม่ทันจบ แต่เฉินเซิงก็พูดขัดจังหวะว่า “ผมเป็นคู่หมั้นของเธอที่ป้าซูแนะนำให้น่ะ ผู้หลักผู้ใหญ่เนี่ยชอบจับคู่ให้เราอย่างส่งเดชจริง ๆ ผมเห็นโรโร่วเป็นเพียงแค่น้องสาวตัวเล็ก ๆ คนนึงเท่านั้นเอง ยินดีที่ได้พบคุณนะครับ”
ทันใดนั้น เย่เชียนก็ตระหนักได้ว่าชายผู้นี้คือลูกชายคนโตของผู้ว่าการเทศบาลมณฑลเจียงซู ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะมีบุคลิกภาพและออร่าที่สูงส่งแบบนี้ แต่สิ่งที่เย่เชียนรู้สึกประทับใจคือ เฉินเซิงคนนี้ไม่ได้มีนิสัยหยิ่งผยองหรือโอ้อวดเหมือนกับลูก ๆ ของพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ เลย ในทางกลับกันเขาดูเป็นผู้ชายที่ควรค่าแก่การเป็นเพื่อนและผูกมิตรด้วยคนหนึ่ง
เย่เชียนยื่นมือออกไปและจับมือของเขา จากนั้นก็พูดว่า “สวัสดีครับ ยินดีที่ได้พบคุณเช่นกัน”
“พอดีผมบังเอิญมีธุระที่ต้องมาทำแถวนี้น่ะ ก็เลยแวะเข้ามาหาโรโร่วเสียหน่อย ไม่คาดคิดเลยว่าจะบังเอิญได้พบกับคุณด้วย โรโร่วกับผมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นในมหาวิทยาลัยน่ะ เราอยู่ชั้นปีเดียวกันและห้องเดียวกัน แต่คุณไม่ต้องกังวลนะ ผมไม่ได้มาเพื่อทำให้คุณสองคนเข้าใจผิดหรือทะเลาะอะไรกันนะ ผมเห็นโรโร่วเป็นแค่น้องสาวจริง ๆ และมันก็ทำให้ผมมีความสุขที่ได้เห็นเธอมีความสุขในวันนี้”
“เฉินเซิง… ฉัน…” หลินโรโร่วรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อยเพราะดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจผู้ชายคนนี้ผิดไป
เฉินเซิงยิ้มเจื่อน ๆ และพูดว่า “อย่ามองว่าฉันเป็นคนดีอะไรขนาดนั้นเลย ที่จริงฉันแค่กำลังคิดถึงแต่ตัวเองน่ะ เพราะความจริงฉันเองก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน ที่ฉันมาวันนี้ก็เพื่อที่จะมาหาเธอคนนั้นนั่นแหละ”
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้คาดหวังกับผลลัพธ์แบบนี้ แต่เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก เดิมทีเย่เชียนนั้นจินตนาการว่าวันหนึ่งเขาจะได้พบกับว่าที่คู่หมั้นคนนี้ มันคงจะเหมือนกับในนิยายกำลังภายในที่มือข้างหนึ่งถือดาบแห่งสวรรค์และมืออีกข้างหนึ่งถือกระบี่มังกรยืนอยู่บนยอดเขาหวงซาน และพวกเขาต้องประลองกันในศึกชิงนางเสียอีก ทว่าจากสิ่งที่เขาเห็นในวันนี้ มันก็ทำให้เย่เชียนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “การพบกันโดยบังเอิญในวันนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากครับ คุณเฉินเซิง เที่ยงนี้คุณสะดวกหรือเปล่า เดี๋ยวผมเป็นเจ้าภาพให้เอง”
“โอ้… ผมก็กำลังคิดแบบนั้นเหมือนกัน ฮ่า ๆ ๆ ” เฉินเซิงหัวเราะและพูดว่า “แต่ก่อนอื่น! ผมต้องโทรหาแฟนของผมก่อน เธอน่ะเป็นคนขี้หึงมาก ถ้าผมไม่บอกเธอก่อนล่ะก็… ผมอาจจะต้องคุกเข่าขอขมาเธอคืนนี้แน่เลย ฮ่า ๆ ๆ ”
“ผมเข้าใจ… ฮ่า ๆ ๆ ” เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน เพราะเฉินเซิงคนนี้ทำให้เขารู้สึกสงบและผ่อนคลายลงอย่างมาก เขาช่างดูเป็นคนที่สามารถเข้าถึงและดูเป็นมิตรได้ง่ายมาก ทำให้เย่เชียนรู้สึกว่าซูเหม่ยแม่ยายในอนาคตของเขานั้นมีสายตาที่เฉียบคมไม่ใช่เล่นเลย เพราะอย่างน้อยเธอก็เลือกคู่หมั้นที่ดีและเหมาะสมให้กับหลินโรโร่ว
หลินโรโร่วจ้องเขม็งไปที่เย่เชียนแล้วถามว่า “คุณเข้าใจอะไรงั้นเหรอ ?”
ความหมายในคำพูดของหลินโรโร่วนั้นชัดเจนอย่างมาก เย่เชียนจึงพยักหน้าและหัวเราะเบา ๆ แทนคำตอบ
“คุณเฉินเซิงครับ… คุณคุยกับโรโร่วไปก่อนนะ เดี๋ยวผมขอตัวไปหาเพื่อนของผมก่อน” เย่เชียนพูด
“เอาจริง ๆ คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ เอางี้ดีกว่า! เรามาคุยกันสบาย ๆ กันดีกว่า เดี๋ยวฉันจะเรียกนายว่าเย่เชียน ส่วนนายก็เรียกฉันว่าเฉินเซิง โอเคมั้ย ?” เฉินเซิงพูดต่อ “ถ้านายมีธุระ นายก็ไปทำก่อนก็ได้”
เย่เชียนพยักหน้าและพูดกับหลินโรโร่วว่า “ทำตัวดี ๆ นะที่รัก เดี๋ยวผมกลับมา”
หลินโรโร่วแค่ทำเสียงบางอย่างในลำคอพร้อมกับพยักหน้า
เย่เชียนยิ้มให้เฉินเซิง จากนั้นก็เดินออกจากห้องรับรองพยาบาลไปและมุ่งหน้าไปที่ห้องของหวังหู่
มีเพียงหลี่ตงเท่านั้นที่ยังอยู่กับหวังหู่ในห้องผู้ป่วย ร่างของหวังหู่ยังคงถูกพันด้วยผ้าพันแผลไปทั้งตัวเช่นเคย เขายังคงดูเหมือนกับมัมมี่ไม่ต่างไปจากเมื่อคราวก่อน เมื่อทั้งสองเห็นเย่เชียนเดินเข้ามา หลี่ตงก็รีบลุกขึ้นและคำนับเย่เชียนด้วยความเคารพและพูดว่า “ลูกพี่สอง!”
เย่เชียนพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินไปที่ข้างเตียงของหวังหู่ เขาถามด้วยความกังวลว่า “ว่าไงไอ้เสือ… นายเป็นยังไงบ้าง ? รู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย ?”