เฝิงซื่อเหลียงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเย่เชียนต้องการที่จะหาเรื่องเขา แต่คนอย่างเย่เชียนจะทำอะไรได้ล่ะ ? คิดว่าการอยู่ใต้ชายคาของตัวเองและมีบอดี้การ์ดจำนวนมากมาช่วยขวางทางอยู่ที่ประตูแค่นั้นจะทำให้เขากลัวงั้นสิ ? นี่มันเป็นการแส่หาเรื่องใส่ตัวของเย่เชียนแท้ ๆ
“นายต้องการอะไร ?” เฝิงซื่อเหลียงพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ง่ายมาก… คุณก็แค่ต้องมาขอโทษผู้หญิงคนนี้ซะก็จบ” เย่เชียนพูดเรียบ ๆ เขาจงใจที่จะใช้เฝิงซื่อเหลียงในการสร้างชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของผู้ใต้บังคับบัญชาให้กับตัวเอง
ตอนที่เย่เชียนเดินลงมาข้างล่าง หยูซิงถือจังหวะเหมาะโน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ หูของเย่เชียนและกระซิบบอกข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของเฝิงซื่อเหลียงให้เขาฟังแล้วคร่าว ๆ ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันเป็นคำยุยงของพ่อของเฝิงซื่อเหลียงหรือเรื่องบังเอิญก็ตาม แต่ตอนนี้มันได้กลายเป็นความโชคร้ายของเฝิงซื่อเหลียงไปเสียแล้ว เพราะเอาเข้าจริงเรื่องนี้มันก็เป็นความผิดของเฝิงซื่อเหลียงโดยตรงตั้งแต่แรก และถึงยังไงพ่อของเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้อยู่ดี
“อย่าได้หวังเลย!” เฝิงซื่อเหลียงปฏิเสธเสียงแข็งโดยไม่ต้องคิด
ชายหนุ่มผู้เกรียงไกรจากตระกูลเฟิง ซึ่งเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งและทรงอิทธิพลในมณฑลเจียงซูจะมาขอโทษพนักงานเสิร์ฟผู้ต่ำต้อยได้อย่างไร ? หากเขาต้องทำแบบนั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่หน้าตาทางสังคมหรือศักดิ์ศรีของเฝิงซื่อเหลียงคนเดียวเท่านั้นที่จะป่นปี้ แต่ยังรวมไปถึงหน้าตาทางสังคมและศักดิ์ศรีของพ่อของเขาอีกด้วย หากเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปในวงกว้างล่ะก็ พ่อของเขาจะเอาหน้าที่ไหนมาเหยียบเมืองหนานจิงได้อีก ?
เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ถึงยังไงผมก็ปล่อยคุณไปง่าย ๆ ไม่ได้หรอก… อย่างน้อยคุณก็บอกผมมาสิว่าใครกันที่ผมควรจะต้องไว้หน้าเขาเพราะคุณ ?”
เมื่อเฝิงซื่อเหลียงได้ยินเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ภาคภูมิใจและหยิ่งผยองขึ้นมา เพราะเขานั้นอยากที่จะใช้อำนาจของตระกูลเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองมานานแล้ว ฉะนั้นคำถามของเย่เชียนมันก็เหมือนเป็นการเปิดทางให้เขาได้ทำมัน
“พ่อของฉันชื่อเฝิงเฝิง… เป็นที่รู้จักกันในนามราชาแห่งขุนเขา! ต่อให้จะเป็นในมณฑลเจียงซูแห่งนี้หรือแม้แต่ในประเทศจีนเอง มันก็ไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นที่จะกล้ามาทำให้เขาขุ่นเคือง!” เฝิงซื่อเหลียงวางมาดและคิดในใจว่า เป็นไงล่ะแค่นี้มันยิ่งใหญ่พอหรือไม่ ? ยิ่งไปกว่านั้นความหมายในประโยคที่เฝิงซื่อเหลียงพูดออกมาก็ค่อนข้างที่จะคุกคาม เพราะความหมายนั้นชัดเจนอย่างมาก ที่จะเตือนว่าเย่เชียนนั้นไม่ควรเพิกเฉยต่อเขา มันจะเป็นการไม่ดีแน่หากเย่เชียนยังคงคิดจะก่อปัญหาให้กับเขาอยู่อีก
“ราชาแห่งภูเขา ? สมัยนี้แล้วมันยังมีกลุ่มโจรกบดานกันอยู่ในป่าลึกอยู่อีกหรือเนี่ย ?” เย่เชียนแสร้งถามด้วยท่าทางที่งุนงง ขณะที่เขาพูดประโยคนั้น เขาก็หันหน้าไปมองอู๋หวนเฟิงราวกับว่าเขาต้องการหาคำตอบให้กับคำถามนั้นจริง ๆ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน… ราชาแห่งภูเขาเหรอ ? หรือว่าจะเป็นพวกสลัมหรืออะไรแบบนั้นรึเปล่า ?” อู๋หวนเฟิงเสแสร้งแกล้งเดาเพื่อแกล้งปั่นหัวเฝิงซื่อเหลียงให้เสียหน้ามากขึ้นไปอีก เพราะอู๋หวนเฟิงนั้นเข้าใจความหมายของเย่เชียนเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เฝิงซื่อเหลียงไม่เข้าใจเลย เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวกับสิ่งที่ทั้งสองคนพูดออกมา มันเหมือนกับเป็นการเย้ยหยันกันชัด ๆ แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าเย่เชียนนั้นเพิ่งจะมาเข้ารับตำแหน่ง มันจึงไม่แปลกที่เย่เชียนจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของพ่อของเขามาก่อน
“หึ! นายจะไปถามใครก็ได้ในเมืองหนานจิงนี่ เพราะที่นี่ไม่มีใครไม่รู้จักพ่อของฉันหรอก” เฝิงซื่อเหลียงพูดอย่างภาคภูมิ
เหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวชาวหนานจิงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ นั้นต่างก็ไม่พอใจเฝิงซื่อเหลียงและพ่อของเขา พวกเขารู้ดีว่าการที่พ่อของเฝิงซื่อเหลียงนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างทุกวันนี้ได้ ก็เป็นเพราะว่าคนใหญ่คนโตที่ทรงอำนาจในเมืองหนานจิงแห่งนี้ไม่เคยคิดที่จะสนใจเขาและเห็นเขาเป็นเพียงแค่คนตัวเล็ก ๆ เพียงเท่านั้นยังไงล่ะ!
“โอ้ว!” เย่เชียนแสร้งพูดด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนก “แต่ถึงยังไงผมก็ปล่อยคุณไปไม่ได้หรอก ไม่งั้นคนที่ไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็จะคิดว่าผมกลัวคุณเฝิงเฝิงกันหมดน่ะสิ การ์ด! จับตัวพวกเขา! แล้วให้เฝิงเฝิงส่งคนมาเจรจากับผมโดยตรงเอาเอง!” ประโยคสุดท้ายที่เย่เชียนพูดอย่างทรงพลังนั้นทำให้เหล่าบอดี้การ์ดที่ถูกลูกหลานเหล่าผู้มีอิทธิพลข่มเหงและดูถูกเหยียดหยามมานานรู้สึกตื่นเต้นทันที จากนั้นพวกเขาก็รีบเดินเข้ามาล็อคตัวพวกของเฝิงซื่อเหลียงเอาไว้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
เหล่าหนุ่มสาวชาวหนานจิงที่มุงดูเหตุการณ์กันอยู่ต่างก็รู้สึกมีความสุขกับภาพที่เห็นตรงหน้า พวกเขาตระหนักได้ในตอนนี้เองว่าชายที่ชื่อเย่เชียนคนนี้กำลังมาช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีและความเป็นธรรมให้กับชาวหนานจิงแล้วอย่างนั้นใช่ไหม ? ต่อไปในอนาคตคงจะไม่มีใครหน้าไหนกล้ามาหยิ่งผยองกับพวกเขาในหนานจิงอีกหากเย่เชียนยังคงมีตัวตนอยู่ที่นี่ เพราพวกอันธพาลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นถึงลูกหลานของบุคคลสำคัญอันดับต้น ๆ ในหนานจิง ทั้งพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงและผู้ทรงอิทธิพลรุ่นแรก ๆ ของยุคมั่งคั่งนี้ การกระทำของเย่เชียนในวันนี้มันทำให้ชาวหนานจิงต่างก็ชื่นชอบและยกย่องให้เขาเป็นวีรบุรุษรุ่นใหม่ของพวกเขา
“เฮ้ย! นี่นายแน่ใจนะว่าจะอยากจะทำแบบนี้จริง ๆ ? นายไม่กลัวผลที่จะตามมาทีหลังบ้างหรือไงวะ!” เฝิงซื่อเหลียงรู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเย่เชียนนั้นต้องการที่จะสร้างตัวตนที่ยิ่งใหญ่ให้กับตัวเองผ่านเรื่องของเขา
“แล้วไอ้ผลที่จะตามมาทีหลังที่ว่านั่นมันคืออะไรกันล่ะ ? เฝิงเฝิงจะมากัดผมงั้นเรอะ ?” เย่เชียนแกล้งถาม
“ได้! ในเมื่อนายเลือกที่จะทำแบบนี้จริง ๆ ฉันหวังว่านายคงจะไม่มานั่งเสียใจทีหลังก็แล้วกัน!” เฝิงซื่อเหลียงยังคงพูดอย่างเย้ยหยัน
“ผมไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ผมทำลงไป… อีกอย่างผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งเสียใจกับอีเรื่องแค่นี้ด้วย” หลังจากที่เย่เชียนพูดจบ เขาก็เดินไปข้าง ๆ เฝิงซื่อเหลียงและตบคนที่ตบพนักงานเสิร์ฟเมื่อครู่นี้อย่างแรง! จากนั้นก็พูดว่า “ตบนี้สำหรับคนของผม ส่วนฟันที่ร่วงลงมานั่น ถือว่าผมแถมให้ก็แล้วกัน”
เฝิงซื่อเหลียงหวาดกลัวจนตัวสั่น เขาเห็นแววตาของเย่เชียนที่เหลือบมามองเขา ซึ่งมันสื่อความหมายได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นไม่ได้กำลังพูดเล่น เขาตั้งใจที่จะสื่อความหมายตรงไปตรงมาอย่างที่พูดจริง ๆ แววตาอันเฉียบคมนั้นมันทำให้เฝิงซื่อเหลียงเสียอาการไปอย่างสิ้นเชิงและไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเย่เชียนอีกต่อไป
เย่เชียนมองไปที่เหล่าบอดี้การ์ดและพูดว่า “เอาล่ะ… จับตัวพวกเขาไปได้แล้ว”
หลังจากพูดขบ เขาก็ส่งสัญญาณให้เหล่าบอดี้การ์ดของสโมสรพาพี่น้องของเฝิงซื่อเหลียงขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวชั้นบนของสโมสร
เย่เชียนยิ้มเย้ยหยันและมองไปที่เฝิงซื่อเหลียง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ส่วนนาย… โทรหาพ่อของนายซะ แล้วบอกให้เขาเข้ามาที่นี่เดี๋ยวนี้เลย!”
ในเวลานี้เฝิงซื่อเหลียงนั้นไม่กล้าแม้แต่จะมีความคิดโต้แย้งใด ๆ เขาได้แต่รีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์พ่อของตัวเองอย่างร้อนรน แต่เมื่อเขากดเบอร์จนครบเย่เชียนก็คว้าโทรศัพท์ออกไปจากมือของเขาอย่างรวดเร็ว
เสียงของเฝิงเฝิงดังมาจากปลายสายว่า “ว่าไงเสี่ยวซื่อ ?”
“สวัสดีคุณเฝิง” เย่เชียนพูดและยิ้มอย่างชั่วร้าย
เฝิงเฝิงผงะ เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงของชายแปลกหน้าดังออกมาผ่านทางโทรศัพท์ของลูกชายตัวเอง
“คุณเป็นใครน่ะ ?” เฝิงเฝิงถาม
“ผมชื่อเย่เชียน คุณคงไม่รู้จักหรอก แต่ผมคิดว่าคุณน่าจะคุ้นเคยดีกับชื่อเฉินฟู่เฉิง!” เย่เชียนพูด
“ใช่! ฉันรู้จักชื่อของเฉินฟู่เฉิง แต่ฉันไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเฉินฟู่เฉิงเป็นยังไง ?” เฝิงเฝิงถาม
“เราสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย… ผมก็แค่ได้รับช่วงต่อหลังจากที่ท่านประธานเสียไปเท่านั้น” เย่เชียนพูดเรียบ ๆ อย่างกับว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนพูดคุยเกี่ยวกับลม ฟ้า อากาศ
เฝิงเฝิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เขาจึงรีบพูดว่า “มีอะไรเกิดขึ้นหรือ ? คุณให้ลูกชายผมพูดสายหน่อยได้มั้ย ?”
“ตอนนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่” เย่เชียนพูด “แต่ผมน่ะเคยได้ยินมานานแล้วเกี่ยวกับชื่อเสียงอันเลื่องลือของราชาแห่งภูเขาเฝิงเฝิง แต่ผมก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ เอาจริง ๆ นะผมไม่ได้มีความขุ่นเคืองอะไรกับคุณเลย แต่กับลูกชายคุณนี่มันคนละเรื่องกัน เพราะเขามาสร้างปัญหาวุ่นวายในที่ของผม… ผมว่าคุณควรที่จะอบรมสั่งสอนคนของคุณเสียบ้าง อย่าให้มาระรานในที่ของคนอื่นเขาแบบนี้”
เฝิงเฝิงขมวดคิ้วและคิดว่าเย่เชียนนั้นดูท่าจะรับมือได้ยากกว่าเฉินฟู่เฉิงผู้ซึ่งเป็นเสือไร้เขี้ยวเสียอีก เขาแอบคิดในใจว่าต่อให้เขาสั่งสอนลูกไปมากขนาดไหน มันก็ไม่รู้จักจำหรอก นอกจากนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย แต่ในเมื่อตอนนี้ลูกชายของเขากำลังตกอยู่ในกำมือของคนอื่น เขาจึงไม่สามารถแข็งข้อได้ มิฉะนั้นมันอาจจะทำให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้ถ้าเขาไปทำให้เย่เชียนไม่พอใจขึ้นมา
“เรามาคุยกันดี ๆ ดีกว่าหน่า… ไหนบอกฉันมาซิว่าฉันจะต้องทำยังไง คุณถึงจะปล่อยตัวลูกชายของฉัน ?” เฝิงเฝิงพูด
“คุณเฝิงเฝิงจะต้องเดินทางมาพบผมที่เมืองหนานจิงแห่งนี้ด้วยตัวเอง…” เย่เชียนพูด
“ก็ได้! ตกลงตามนั้น!” เฝิงเฝิงกัดฟันแน่นและระงับความโกรธเกรี้ยวเอาไว้