เมื่อคนพวกนั้นเข้ามาใกล้จนถึงที่ที่ซ่งหลันซ่อนตัวอยู่ จู่ ๆ เธอก็กระโดดออกมาจากมุมนั้นแล้วใช้ฝ่ามือสับเข้าไปที่คอของชายคนที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อคนอื่น ๆ ที่มาด้วยกันเห็นดังนั้น พวกเขาก็รีบสาดกระสุนมาทางเธอทันที แต่เธอก็ใช้ร่างของชายคนนั้นบังกระสุนเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วจึงทำให้ชายคนดังกล่าวต้องจบชีวิตของเขาลงแทนที่จะเป็นตัวเธอเอง
หลังจากนั้นซ่งหลันก็ถือโอกาสนี้ในการดึงมีดออกมาจากซองมีดสะพายข้างของชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อได้มีดมาแล้วเธอก็ผลักร่างไร้วิญญาณของเขาออกไปให้พ้นทางแล้วม้วนตัวเข้าไปหาศัตรูอีกสามคนที่เหลืออยู่ เธอใช้มีดเล่มนั้นแทงเข้าไปที่คนที่อยู่ใกล้กับเธอมากที่สุดอย่างไม่รอช้า แต่ทว่าอีกสองคนที่เหลือก็เริ่มยิงกระหน่ำมาทางซ่งหลันทันทีเช่นกัน และตอนนี้เธอก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกไปสัยจากหลบห่ากระสุนที่พุ่งมา
ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นสองนัด ทำให้ศัตรูที่เหลืออีกสองคนหันไปมองที่ต้นเสียงพร้อมกับสีหน้าที่ดูประหลาดใจยิ่ง เมื่อหันไปมองพวกเขาก็เห็นอู๋หวนเฟิงยืนอยู่ไม่ไกล พวกเขาจึงยกปืนในมือขึ้นเพื่อยิง
ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอีกสองนัดติดต่อก่อน แต่ทว่ามันไม่ได้มาจากปืนในมือของพวกเขาแต่กลับเป็นอู๋หวนเฟิงแทน จากนั้นร่างของชายทั้งสองก็ล้มลงอย่างช้า ๆ
เมื่อจัดการกับศัตรูทั้งสองเสร็จ อู๋หวนเฟิงก็รีบวิ่งเข้าไปหาซ่งหลันและถามอย่างร้อนรนว่า “พี่หลันหลัน! พี่เป็นอะไรมากมั้ย เจ็บตรงไหนรึเปล่า ?!”
ซ่งหลันยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ฉันไม่เป็นไร… คงเป็นเพราะฉันไม่ได้ลงสนามมานานเกินไปน่ะ ทักษะของฉันมันก็เลยแย่ลงมากเลย… เฮ้ย! ระวัง!”
จู่ ๆ ซ่งหลันก็คว้าร่างของอู๋หวนเฟิง ซึ่งถึงแม้ว่าอู๋หวนเฟิงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของเขามันก็ทำให้เขาผลักซ่งหลันออกไปอย่างรวดเร็ว
ปัง!
กระสุนพุ่งเข้าใส่ร่างของอู๋หวนเฟิงอย่างจัง ซึ่งอู๋หวนเฟิงก็ยิงโต้กลับไปโดนร่างของฝ่ายตรงข้ามจนสิ้น
ทั้งอู๋หวนเฟิงและซ่งหลันนั้นต่างก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีศัตรูอีกคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในรถจนถึงตอนนี้ และถ้าไม่ใช่เพราะอู๋หวนเฟิงแล้ว ซ่งหลันก็คงจะต้องตายไปแล้วอย่างแน่นอน เมื่อเธอเห็นร่างของอู๋หวนเฟิงค่อย ๆ ล้มลง ซ่งหลันก็รีบวิ่งเข้าไปหาและตะโกนว่า “หวนเฟิง! นี่หวนเฟิง… ตื่นสิ… ตื่นขึ้นมา!”
อู๋หวนเฟิงพยายามยิ้มออกมาอย่างน่าหดหู่และเลือดที่หน้าอกของเขาก็เริ่มไหลซึมออกมา แม้แต่ซ่งหลันก็ไม่สามารถห้ามเลือดได้เลย ในไม่ช้าร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด
“เป็นไงบ้าง…?” เย่เชียนถามขึ้นเสียงดังเมื่อเขาวิ่งมาจนถึงที่ตรอกในขณะที่มองไปที่ศพของเหล่าศัตรูที่นอนกองกันอยู่บนพื้น แต่เมื่อเขาเห็นอู๋หวนเฟิงนอนจนกองเลือดอยู่ เขาก็รีบกลืนคำพูดของเขากลับไปทันที
“หวนเฟิง… หวนเฟิง… เฮ้ย! ไอ้บ้านี่! ตื่นขึ้นมาคุยกับฉันก่อน!” เย่เชียนวิ่งเข้าไปประคองร่างของอู๋หวนเฟิงให้ลุกขึ้นมานั่ง เขากอดร่างนั้นเอาไว้ในอ้อมแขนและร้องเสียงหลง และแล้วน้ำตาของลูกผู้ชายก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
อู๋หวนเฟิงลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และพูดอย่างอ่อนแรงว่า “บอส… ผมเหนื่อยมาก… ผมอยากนอนแล้ว”
“ไม่! นอนไม่ได้! ฉันไม่ให้นายนอน… นายอย่าเพิ่งพูดอะไรกับฉันตอนนี้นะ” เย่เชียนพูดอย่างร้อนรน ส่วนซ่งหลันก็พยายามกลั้นน้ำตาและรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรไปยังเบอร์ฉุกเฉิน
“บอส… ผมอยากเล่นเกมคำถาม… บอสถามผมหน่อย” อู๋หวนเฟิงพยายามทำให้ตัวเองไม่ให้หลับและฝืนทนจากความเจ็บปวด เพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากว่าเขาหลับไปล่ะก็ เขาคงจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
“ได้สิ…” เย่เชียนพยักหน้าตอบ “นายชื่ออะไร ?”
“อู๋หวนเฟิง! หมาป่าเหินเวหา… อู๋หวนเฟิง!” อู๋หวนเฟิงตอบ
“ปะ… ปีนี้นายอายุเท่าไหร่ ?” เย่เชียนถามเสียงสะอื้น
“ยี่สิบสาม!” อู๋หวนเฟิงพูด “บอส… ถามคำถามที่มันยากกว่านี้หน่อยสิ”
“ก็ได้ ๆ ขอฉันคิดก่อนนะ” เย่เชียนสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้วจนหมดสิ้น เพราะมันไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เย่เชียนโศกเศร้าไปมากกว่าการเฝ้าดูพี่น้องของตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาขณะที่กำลังจะตาย
“ทำไมนายไม่หาแฟนล่ะ ?” เย่เชียนถาม
“โธ่บอส… ให้ผมถามบอสบ้างดีกว่า” อู๋หวนเฟิงพูดอย่างหมดหนทางก่อนที่จะถามกลับว่า “บอส… ทำไมบอสถึงเลือกที่จะเป็นเขี้ยวหมาป่าล่ะ ?”
“ตอนแรก… ที่ฉันทำไปก็เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นความผูกพันของพี่น้องไปแล้ว” เย่เชียนตอบโดยไม่ลังเล
อู๋หวนเฟิงยิ้มเล็กน้อยแล้วถามอีกว่า “แล้ว… ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบอสคืออะไรเหรอ ?”
“ให้ตายเถอะ… ทำไมนายถึงถามคำถามยุ่งยากแบบนี้ล่ะ ? เฮ้อ! ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉันน่ะก็คือการฝังเถ้าธุลีของกัปตันเอาไว้ในสุสานของวีรชนผู้กล้าของชาติ! และพากลุ่มเขี้ยวหมาป่าของพวกเราไปสู่จุดสูงสุดของโลกยังไงล่ะ” เย่เชียนพูดอย่างจริงจัง
“มันยิ่งใหญ่เกินไป… ผมไม่รู้ว่าเมื่อวันนั้นมาถึง ผมจะไปส่งบอสให้ถึงฝั่งฝันได้หรือเปล่า…” อู๋หวนเฟิงพูด
“ได้สิ! นายทำได้แน่นอน! นายเคยบอกเอาไว้แล้วหนิว่าชีวิตของนายเป็นของฉันแล้ว… ฉันไม่ปล่อยให้นายตายหรอก นายไม่ได้รับอนุญาตให้ตายนะ!” เย่เชียนสะอึกสะอื้นและพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินไปทั่วหน้า เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป
“ถ้าอย่างงั้นผมก็ต้องเป็นหนี้บอสแล้วล่ะ… ผมจะตอบแทนบอสให้ในชาติหน้าของผมนะ” อู๋หวนเฟิงพูดอย่างอ่อนแรงและดวงตาของเขาก็เริ่มสูญเสียแสงสว่างลงเรื่อย ๆ
“ไม่! ถ้านายเป็นหนี้ฉัน… นายก็ต้องจ่ายคืนให้ฉันในชีวิตนี้สิ! นายจะตายไม่ได้!” เย่เชียนพูด
อู๋หวนเฟิงยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “บอส… ผมไม่เคยเห็นบอสร้องไห้เลยนะเนี่ย… แบบนี้บอสไม่หล่อเอาซะเลย”
“จะไม่ให้ฉันร้องได้ไงล่ะ ? ในเมื่อนายทำให้ฉันทุกข์ใจว่าใครจะจ่ายหนี้ของฉันถ้านายตายไปน่ะ อย่าลืมสิว่านายยังคงเป็นหนี้ฉันอยู่หลายร้อยอย่างเลยนะ” เย่เชียนพูดพลางเช็ดน้ำตาของเขา
“หลายร้อยอย่างสำหรับพี่น้องของเราสินะ” อู๋หวนเฟิงพูด “บอส… ผมจะเล่าเรื่องตลกอะไรให้บอสฟังเอามั้ย ? ผมชอบบอสตอนที่บอสหัวเราะมากกว่านะ”
“นายไม่ต้องมาชอบฉันเลย… ฉันชอบผู้หญิง!” เย่เชียนพูดหยอกล้อ
อู๋หวนเฟิงยิ้มและพูดว่า “ผู้ชายคนหนึ่งมาที่โรงพยาบาลและหมอก็ถามเขาว่าเป็นอะไรมา ? ชายคนนั้นก็พูดว่า… คุณอย่าหัวเราะเยาะผมก็แล้วกัน หมอก็พยักหน้าตอบ จากนั้นชายคนนั้นก็ถอดกางเกงออกและเผยของลับให้หมอดู ซึ่งมันมีขนาดแค่ไม้ขีดไฟแท่งเล็ก ๆ ทำให้หมอถึงกับหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นชายคนนั้นตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า หมอ! มันบวมมาตั้งหนึ่งสัปดาห์แล้วนะ… มันน่าขำตรงไหน ?”
เย่เชียนเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ “โธ่เอ๊ย! นี่ขนาดวาสนายกำลังจะตายอยู่แล้วแท้ ๆ แต่นายยังมามีอารมณ์เล่าเรื่องตลกชั้นต่ำแบบนี้อีก”
อู๋หวนเฟิงยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “บอส! ผมไม่ไหวแล้ว ผมไม่ไหวจริง ๆ ผมเหนื่อยมาก… ให้ผมพักเถอะ”
“บัดซบเอ๊ย! ทำไมรถพยาบาลถึงยังไม่มาอีกวะ ?” เย่เชียนตะโกนเสียงดัง “นายห้ามหลับ… นายต้องไม่หลับนะ! พูดไปเรื่อย ๆ หรือจะเล่าเรื่องตลกอะไรอีกก็ได้”
ทว่าอู๋หวนเฟิงนั้นได้แต่ยิ้มและหลับตาลงช้า ๆ
ในที่สุดรถพยาบาลก็มาถึง อู๋หวนเฟิงถูกนำตัวไปที่ห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนทันที ซึ่งเย่เชียนและซ่งหลันก็รออยู่ข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อ และเย่เชียนก็เดินไปมาอย่างกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง
“เย่เชียน… นายไม่ต้องกังวลนะ หวนเฟิงจะไม่เป็นไรหรอก” ซ่งหลันพยายามปลอบเย่เชียน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเธอเองก็กังวลอย่างมาก เพราะท่ามกลางเหล่าเขี้ยวหมาป่าแล้วเธอสนิทกับสองคนนี้ที่สุด มันเป็นเวลาหลายปีแล้วที่อู๋หวนเฟิงคอยอยู่เคียงข้างเธอเพื่อปกป้องและคุ้มกันให้เธอ จนกระทั่งมาถึงวันนี้ที่อู๋หวนเฟิงก็ยืนหยัดและบังกระสุนให้เธอต่อหน้าต่อตา
“จะไม่กังวลได้ยังไงกันล่ะ ? ผมจะมั่นใจได้ยังไง… ช่วยบอกผมทีว่าใครมันเป็นคนทำ! ผมจะฆ่าล้างบางมันทั้งตระกูลเลย!” ดวงตาของเย่เชียนมีเจตนาฆ่าและจิตสังหารที่รุนแรงอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเวลานานแล้วที่ซ่งหลันไม่ได้เห็นเขาเป็นแบบนี้ เพราะครั้งสุดท้ายที่เย่เชียนมีท่าทางแบบนี้ก็คือครั้งที่เขาต่อสู้กับอดีตราชาแห่งโลกทหารรับจ้างเสือดาวหิมะ
“น่าเสียดายที่พวกมันตายกันหมดเลย… ไม่งั้นเราก็อาจจะรู้ได้ว่าใครมันเป็นคนทำ!” ซ่งหลันพูด
“ถึงพวกมันจะตายไปแล้วก็เถอะ! แต่คนที่อยู่เบื้องหลังมันคงยังไม่หยุดหรอก” หลังจากพูดแล้วเย่เชียนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและกดโทรออก “แจ็ค! นายมาที่เมืองหนานจิงตอนนี้เลย! ถึงเวลาของหน่วยข่าวกรองที่นายจัดตั้งขึ้นแล้ว!”
เมื่อแจ็ครับสายก็เห็นว่าน้ำเสียงของเย่เชียนดูไม่ดีนัก หลังจากวางสายไปเขาก็รีบโทรไปจองตั๋วเครื่องบินไฟลต์เที่ยวบินเมืองหนานจิงในคืนนั้นทันที
ในที่สุดสัญญาณไฟของห้องผ่าตัดก็ดับลงและหมอก็เดินออกมา เย่เชียนจึงรีบลุกขึ้นและถามอย่างกระวนกระวายว่า “หมอ! น้องชายของผมเป็นยังไงบ้าง ?”
“เราเอากระสุนออกมาได้แล้ว… แต่อาการบาดเจ็บของคนไข้ยังสาหัสมากอยู่ เพราะกระสุนนั่นน่ะเกือบทะลุปอดของเขา… ซึ่งการที่เขาจะตื่นขึ้นมาได้หรือไม่นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและความพยายามของคนไข้เอง” หมอผ่าตัดพูด
“บ้าเอ๊ยหมอ! ผมให้คุณมารักษานะ… ไม่ใช่มาดูอาการเพื่อนั่งรอความหวัง… ถ้าน้องชายผมเป็นอะไรไปล่ะก็ ผมจะฆ่าพวกคุณให้หมด!” เย่เชียนคว้าคอเสื้อของหมอและตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว
หมอผ่าตัดตกใจกับท่าทีและการกระทำของเย่เชียนมาก เขาพึมพำว่า “คุณ… คุณจะทำอะไรน่ะ ?”
“แล้วคุณล่ะทำอะไร!? คุณไม่สามารถรักษาได้แม้แต่คนไข้แล้วแบบนี้คุณมันเป็นหมอแบบไหนกัน ผมจะฆ่าคุณเดี๋ยวนี้แหละ!” เย่เชียนพูดขณะที่เขากระชากคือเสื้อของหมอผ่าตัดและลากไปยังระเบียงทางเดินข้าง ๆ ห้องผ่าตัดและกำลังจะโยนหมอลงไปชั้นล่าง
หมอตะโกนด้วยความตกใจและกระวนกระวายอย่างมาก เพราะเขาเคยเผชิญกับคนบ้ามามากมาย ซึ่งโดยปกติแล้วพวกญาติ ๆ เหล่านั้นก็เขาจะคุกเข่าต่อหน้าเขาและขอร้องให้ตัวเองช่วยชีวิตของคนไข้ให้ได้ เพราะงั้นจึงไม่มีใครเลยที่อยากจะฆ่าเขาเหมือนกับเย่เชียนแบบนี้ เหล่านางพยาบาลก็ยังตะโกนด้วยความตื่นตระหนกตกใจอย่างมากเช่นกัน
“เย่เชียน! หลานกำลังทำอะไรอยู่น่ะ ? ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนที่ดุดันดังขึ้น ทำมห้เย่เชียนหันหน้าไปมองและเห็นเหมิงฉางเต๋อเดินเข้ามาพร้อมกับคนอีกหลายคน
“ลุงเหมิง!” เย่เชียนระงับความโกรธเอาไว้แล้วปล่อยคอเสื้อของหมอ
เมื่อหมอผ่าตัดเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือผู้ว่าการมณฑลแล้ว ความหยิ่งผยองของหมอผ่าตัดก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเย่เชียนนั้นคงไม่กล้าที่จะทำอะไรบ้าบิ่นได้อีก เขาจึงรีบเดินไปที่ด้านข้างของเหมิงฉางเต๋อและก้มหัวเคารพสองสามครั้งและพูดว่า “ท่านผู้ว่าการเหมิงครับ… คุณต้องจัดการเด็กคนนี้นะครับ เขาน่ะบ้าไปแล้ว”
เหมิงฉางเต๋อจ้องเขม็งไปที่หมอผ่าตัดและพูดว่า “ฉันเองก็รู้เรื่องโรงพยาบาลของคุณมานิดหน่อยนะ… หมอที่ดีก็ควรจะช่วยเหลือและรักษาผู้บาดเจ็บอย่างสุดความสามารถสิ แต่สำหรับคุณแล้วถ้าคุณไม่ได้เงินมากพอ คุณก็จะไม่ผ่าตัดอย่างสุดความสามารถอย่างงั้นใช่มั้ย ? มันไม่ใช่ศีลธรรมและจรรยาบรรณของหมอที่ดีเลยนะ!”
หมอผ่าตัดถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ถึงแม้ว่าเหมิงฉางเต๋อจะพูดอย่างมีชั้นเชิงก็ตาม แต่ทว่าเหมิงฉากเต๋อก็เหมือนกับกำลังเตือนตัวเองทางอ้อมว่าอย่าโลภมากเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด จากนั้นก็กล่าวคำอำลาและจากไปด้วยความตื่นตระหนกและประหม่าอย่างยิ่ง
“หลานเย่! เป็นไงบ้าง ? แล้วเพื่อนของหลานเป็นอะไรมากมั้ย ?” เหมิงฉางเต๋อเดินไปที่ด้านข้างของเย่เชียนและถามด้วยความเป็นห่วง