แท้จริงแล้วเป็นเย่เชียนนั่นเองที่โทรเรียกให้เสี่ยวโม่มาทำข่าวที่สโมสรของเขาในวันนี้ด้วย!
‘อย่าดูถูกพลังของผู้สื่อข่าว’ คำคำนี้เย่เชียนรู้ดีและเชื่อมั่นมาตลอด เขาเชื่อว่านักข่าวนั้นสามารถทำข่าวออกมาให้ชื่อเสียงของใครสักคนพังทลายลงได้ในพริบตา และในทางกลับกันก็สามารถที่จะทำให้ใครบางคนมีชื่อเสียงโด่งดังในชั่วข้ามคืนได้เช่นกัน และหากใครคนนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ผลที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นในทางลบหรือทางบวกมันก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่ทำโดยผู้สื่อข่าวที่มีชื่อเสียงอย่างเสี่ยวโม่
“ผมไม่ผิด! มีคนต้องการที่จะใส่ร้ายป้ายสีเพื่อที่จะกำจัดผม!” เย่เชียนพูด “จู่ ๆ ผู้อำนวยการเจียงก็พาเจ้าหน้าที่เข้ามาล้อมสโมสรของผม แล้วก็เข้ามาจับผมทั้งที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย! ผมว่าเรื่องนี้มันต้องมีลับลมคนในอะไรแน่ ๆ เพราะนี่มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย”
เมื่อผู้สื่อข่าวทั้งหลายได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองที่เจียงเจิ้งยี่กันเป็นตาเดียวทันทีและเริ่มรัวถ่ายภาพเขากันอย่างดุเดือด ทำให้เจียงเจิ้งยี่รู้สึกกระวนกระวายใจและอยากที่จะรีบออกไปให้พ้น ๆ จากตรงนี้โดยเร็ว เขาจึงขยิบตาส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ที่มาด้วยทั้งสองนายรีบพาตัวเย่เชียนออกไปจากตรงนี้ก่อนที่สถานการณ์มันจะเลวร้ายลงไปกว่านี้
“ผู้อำนวยการเจียงครับ ช่วยอธิบายสิ่งที่ประธานเย่พูดหน่อยสิครับ ?” เสี่ยวโม่ถามขึ้นทันที
“ทางเราได้รับแจ้งมาว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวิวาทที่บาร์แห่งหนึ่งเมื่อคืนนี้ ซึ่งเราก็ได้มาจับกุมผู้ตัวต้องสงสัยเพื่อไปสอบสวนตามหน้าที่ และขอให้พี่ ๆ น้อง ๆ ผู้สื่อข่าวมั่นใจได้เลยว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตรวจสอบรายละเอียดทุกอย่างอย่างรอบคอบและยุติธรรมกับทุกฝ่ายให้มากที่สุด สิ่งที่ประธานเย่พูดมาเมื่อกี๊นี้มันเป็นการพูดจาใส่ร้ายและสบประมาทการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ผมอยากให้ทุกคนในที่นี้ใจเย็น ๆ กันก่อน ให้โอกาสผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็นเถอะ” เจียงเจิ้งยี่พูดอย่างวางท่า
“แล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับประธานซูและประธานจู้ล่ะครับ ? ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าพวกคุณสามคนเป็นพันธมิตรซึ่งกันและกัน เมื่อวันก่อนก็เพิ่งจะมีข่าวไปหยก ๆ ว่าสองคนนั้นร่วมมือกันปั่นราคาหุ้นของประธานเย่นี่ครับ ? งั้นการจับกุมตัวประธานเย่ไปอย่างเร่งด่วนแบบนี้มันเป็นการช่วยเหลือเพื่อเปิดทางให้อีกฝ่ายสามารถจัดการเรื่องวุ่น ๆ ในตลาดหุ้นหรือเปล่า ?” เสี่ยวโม่ถามจี้ประเด็นต่อไป
“ไร้สาระ! นี่มันไร้สาระมาก… ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับประธานซูและประธานจู้มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ส่วนตัวอะไรเลย มันก็แค่คนรู้จักกันแบบธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ฉันยังยืนยันคำเดิมว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงแค่ต้องการทำงานตามหน้าที่ ขอให้ทุกท่านวางใจและให้โอกาสเราทำงานตามขั้นตอนเถอะ” เจียงเจิ้งยี่ปฏิเสธ
“แต่ถ้าแค่พาประธานเย่ไปสอบปากคำ… ทำไมต้องถึงขั้นใส่กุญแจมือด้วยล่ะครับ ? การกระทำแบบนั้นมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ ? เพราะมันดูเหมือนพวกคุณทำอย่างกับว่าประธานเย่นั้นเป็นนักโทษไปแล้วยังไงยังงั้นแหละ” เสี่ยวโม่ยังคงถามต่อไปไม่หยุด
“นั่นน่ะสิ! ผมเป็นผู้บริสุทธิ์แท้ ๆ ทำไมต้องใส่กุญแจมือผมด้วย ? อีกอย่างผมน่ะเคยได้ยินเรื่องร้าย ๆ เกี่ยวกับสถานีตำรวจมาก่อน พอเข้าไปแล้วบางคนก็ถูกข่มขู่ แถมบางคนยังแย่ถึงขั้นโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายเชียวนะ!” เย่เชียนพูดพลางทำตัวให้ดูน่าสงสาร “ผมวอนพี่ ๆ ผู้สื่อข่าวถ่ายรูปเอาไว้แล้วช่วยเป็นพยานให้กับผมทีว่าสภาพของผมก่อนเข้าไปเป็นยังไง เผื่อว่าผมกลับออกมาแล้วผมจะออกมาไม่ครบสามสิบสองน่ะ”
ไม่พูดเปล่าแต่เย่เชียนยังถกชายเสื้อของตัวเองขึ้นให้พวกนักข่าวถ่ายรูปอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพวกนักข่าวจะต้องไม่มีใครอยากพลาดช็อตเด็ดนี้ไป
เจียงเจิ้งยี่ถึงกับผงะไปด้วยความตกใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเย่เชียนจะเล่นมุกต่ำ ๆ แบบนี้กับเขา คนที่เป็นถึงผู้สืบทอดคนใหม่ของเฉินฟู่เฉิงเนี่ยนะ ?
แต่เดิมเจียงเจิ้งยี่นั้นต้องการสั่งสอนเย่เชียนเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แค่บทเรียนเบาะ ๆ สักบทหนึ่งมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาอับอายขายขี้หน้าและเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ทว่าในตอนนี้กลับเป็นตัวเขาเองที่ต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาอันแสนยากลำบาก ใครจะไปรู้ล่ะว่าเย่เชียนจะต่ำตมจนกล้าที่จะทำตัวน่าเวทนาและน่าสมเพชได้ขนาดนี้! และด้วยตำแหน่งของเขาที่มันค้ำคออยู่ มันก็ทำให้ตอนนี้เขาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้อีกนอกจากรีบออกไปจากตรงนี้โดยด่วน
“พี่ ๆ น้อง ๆ ผู้สื่อข่าวทั้งหลาย ฉันขอให้ทุกคนใจเย็น ๆ ก่อนและโปรดรอฟังการรายงานจากทางเราทีหลัง” เจียงเจิ้งยี่พูดก่อนที่จะรีบเดินไปขึ้นรถตำรวจประจำตำแหน่ง
ทว่าด้วยความชุลมุนวุ่นวายและผู้คนที่พลุกพล่าน มันก็ทำให้เจียงเจิ้งยี่เกือบละลมหัวคะมำลงไปที่พื้น ซึ่งมันเป็นภาพที่น่าอับอาบขายหน้าเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าความอับอายในครั้งนี้ เขาจะโทษใครไปไม่ได้เลยนอกจากเย่เชียน
จากตรงนั้นไม่ไกล อู๋หวนเฟิงที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะมีเพียงเย่เชียนคนเดียวเท่านั้นที่จะกล้าทำอะไรแบบนั้นลงไป และเมื่อทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นทยอยกันออกไปจนหมดแล้ว อู๋หวนเฟิงก็กดโทรศัพท์ไปหาซ่งหลันเพื่อรายงานให้เธอฟังคร่าว ๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น
เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นร้อนแรง ทำให้ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มีพาดหัวข่าวออกมาให้เห็นสู่สายตาประชาชน ‘คลื่นลูกใหม่แห่งเมืองหนานจิงถูกจับแล้วเมื่อเช้านี้!’
ที่สถานีตำรวจ
เย่เชียนถูกเจ้าหน้าที่พาตัวเข้าไปที่ห้องสอบสวนโดยตรง โดยเจียงเจิ้งยี่นั้นก็ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่นสำหรับเย่เชียน เขาจงใจปิดเครื่องปรับอากาศในห้องสอบสวนทันที ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานมันก็ทำให้อุณหภูมิในห้องนั้นเริ่ทเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็ร้อนอย่างกับไฟในโลกันตร์ ในห้องนั้นไม่มีหน้าต่างหรือช่องระบายอากาศใด ๆ อีกทั้งเจียงเจิ้งยี่เองก็ไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่คนไหนเข้าไปทำการสืบสวนสอบสวนโดนทันทีอีกด้วย เขาได้แต่ปล่อยให้เย่เชียนรออยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าวนั้นอย่างไร้จุดหมายเพียงคนเดียว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เย่เชียนโดนจับกุมมาเพื่อสอบปากคำ เพราะแม้แต่องค์กรซีไอเอ เอฟบีไอ หรือกระทั่งสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกาก็เคยสอบสวนเย่เชียนอย่างหนักมาแล้ว ดังนั้นการมาที่สถานีตำรวจเล็ก ๆ เพื่อทำการสืบสวนสอบสวน มันก็ไม่ทำให้เย่เชียนรู้สึกเกรงกลัวหรือตื่นตระหนกได้เลย
และขณะนี้เย่เชียนก็แค่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางเอาขาของเขาขึ้นพาดที่โต๊ะและรอคอยอย่างใจเย็น
ทว่าในห้องสังเกตการณ์นั้น เจียงเจิ้งยี่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์ในห้องสอบสวนอย่างไม่แยแสและคิดกับตัวเองว่า ‘แกจะทนได้สักแค่ไหนกัน’
“ผู้อำนวยการเจียงครับ… มันจะดีเหรอครับที่ไปทำกับเขาแบบนี้ ? คือ… พวกเรา…” ผู้กำกับสถานีตำรวจที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เจียงเจิ้งยี่พูดขึ้นด้วยความกังวล
“คุณจะกลัวอะไร ? ฉันรู้หน่าว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่! ไอ้หนุ่มคนนี้น่ะมันก็แค่มีชื่อเสียงและอิทธิพลทางด้านธุรกิจเอง แต่ในเมื่อตอนนี้เขามาอยู่ในกำมือของเราแล้ว เขาคงไม่กล้าทำอะไรที่ที่มันฝ่าฝืนกฎหมายหรอก เพราะถ้าเขาทำ… ฉันคนนี้นี่แหละที่จะจัดการกับเขาเอง!” เจียงเจิ้งยี่พูดเย้ยหยัน
จะว่าไปสิ่งที่เจียงเจิ้งยี่พูดมานั้นมันก็ไม่ผิดไปเสียทีเดียว เพราะเอาเข้าจริงมันก็แทบจะไม่มีใครหน้าไหนที่กล้ามาท้าทายอำนาจของเขา และในความคิดของผู้กำกับเอง เขาก็คิดว่าเย่เชียนนั้นหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ ๆ เขาจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับกับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไปอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าเขานั้นจะไม่อยากเอาหน้าที่การงานของตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับความบาดหมางกันระหว่างเจียงเจิ้งยี่กับเย่เชียนเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังคงมีลูกและภรรยาที่ต้องคอยดูแลอยู่
ในห้องสอบสวน
เหงื่อของเย่เชียนผุดขึ้นที่หน้าผากมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาขมวดคิ้วพลางคิดในใจว่านี่เจียงเจิ้งยี่คงกำลังเล่นตลกอะไรกับเขาอยู่อย่างนั้นใช่ไหม ? เขาเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้และเดินไปเดินมาอยู่ในห้องพลางใช้ความคิดอย่างหนัก ในเมื่อเจียงเจิ้งยี่เล่นไม้นี้กับเขา เขาก็ควรที่จะโต้กลับไปให้สาสมเช่นกัน
จู่ ๆ เย่เชียนก็เอาหัวของเขาโขกไปที่กำแพงอย่างรุนแรง! ไม่เพียงเท่านั้นเขายังทั้งตบและต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของตัวเองอย่างแรงอีกสองสามทีอีกด้วย
เจียงเจิ้งยี่ที่เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดผ่านทางห้องสังเกตการณ์ก็ถึงกับตกตะลึง เขาคิดในใจว่า ‘ไอ้เด็กคนนี้มันบ้าไปแล้วรึไง ?’ ทว่าวินาทีถัดมาเขาก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่า เย่เชียนนั้นคงกำลังพยายามตอบโต้ด้วยการยัดเยียดข้อหาทำร้ายร่างกายผู้ต้องสงสัยให้เขาเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็รีบบอกให้ผู้กำกับไปหยุดการกระทำบ้า ๆ ของเย่เชียนทันที
เย่เชียนไม่ได้โง่ เขาไม่ได้ทำร้ายตัวเองจนถึงขั้นบาดเจ็บหนักหนาอะไร เพียงแค่เขารู้วิธีที่จะทำให้บาดแผลเพียงเล็กน้อยนั้นดูแย่กว่าความเป็นจริงไปมากก็เท่านั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายรีบเข้าไปห้ามปรามการกระทำของเย่เชียนตามคำสั่งทันที ซึ่งตำรวจคนหนึ่งก็แอบเดินไปกระซิบที่ข้างหูของเย่เชียนเบา ๆ ว่า “ประธานเย่… ได้โปรดอย่าทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนกันไปมากกว่านี้เลย ผมรู้ว่าคุณมีวิธีอีกตั้งมากที่จะทำให้คุณนั้นเดินออกไปจากที่นี่อย่างสง่าผ่าเผยได้ แล้วทำไมคุณถึงต้องเลือกวิธีทำร้ายร่างกายตัวเองด้วยล่ะ ?”
เย่เชียนหันหน้าไปมองตำรวจคนนั้นแล้วยิ้มให้พลางคิดในใจว่า ‘ตำรวจคนนี้นี่ไม่เลวเลย’
“นี่แกคิดว่ากำลังทำบ้าอะไรอยู่ ?! อย่าคิดนะว่าฉันจะกลัวน่ะ ฉันขอเตือนแกเอาไว้เป็นครั้งสุดท้ายเลยนะว่าตอนนี้แกควรที่จะทำตัวดี ๆ และให้เกียรติฉันให้มากกว่านี้ ไม่งั้นก็อย่ามาหาว่าฉันใจร้ายกับแกก็แล้วกัน! ” จู่ ๆ เจียงเจิ้งยี่ก็เดินเข้ามาในห้องสอบสวนด้วยอีกคน
เย่เชียนยิ้มเย้ยหยันแล้วพูดโต้กลับไปว่า “คุณคิดเหรอว่าคำพูดแค่นี้มันจะทำให้ผมกลัวคุณ ? ต่อให้วันนี้ผมจะไม่มีธุรกิจอะไรเลยในหนานจิง แต่สำหรับคุณแล้ว คุณมันก็ยังเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือสำหรับผมอยู่ดี จะบีบคุณก็ตายจะคลายคุณก็รอด!”
“แกรู้จักคนอย่างฉันน้อยไปซะแล้วเย่เชียน!” เจียงเจิ้งยี่ตะคอก “จับมันนั่งลง!”
เย่เชียนไม่ต้องการทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่น ๆ ต้องเดือดร้อนไปด้วย เขาจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยตัวเองอย่างช้า ๆ และยอมถูกใส่กุญแจมืออีกครั้ง
ในที่สุดการสอบสวนก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเสียที ทว่าจู่ ๆ ประตูห้องสอบสวนก็ถูกเปิดออกโดยผู้กำกับสถานีตำรวจ แต่คราวนี้เขาพาคนแปลกหน้าเข้ามาในห้องด้วยอีกสองคน คนหนึ่งอายุน่าจะประมาณราว ๆ สี่สิบ ส่วนอีกคนน่าจะประมาณยี่สิบต้น ๆ
“ผู้อำนวยการเจียง… สองคนนี้คือทนายของเย่เชียนครับ พวกเขามาที่นี่เพื่อประกันตัว!” ผู้กำกับสถานีตำรวจพูด
“จะไม่มีการประกันตัวใด ๆ ทั้งสิ้น!” เจียงเจิ้งยี่ตะคอกอย่างดุดัน
ทนายความวัยสี่สิบปีก็ฉีกยิ้มและพูดอย่างเย้ยหยันว่า “ผู้อำนวยการเจียงผู้ยิ่งใหญ่… ลูกความของผม เขาไปก่ออาชญากรรมอะไรกันถึงขนาดไม่ให้ประกันตัวแบบนี้เลย ?”
หลังจากที่ซ่งหลันรู้เรื่องจากอู๋หวนเฟิงแล้ว เธอก็ส่งทนายสองคนนี้มาช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องให้
“เหอะ! เย่เชียนเป็นผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนร่วมในการค้ายานรกและเราก็พบยาเสพติดในสโมสรของเขา ทางเราต้องควบคุมตัวเขาเพื่อสอบปากคำและสอบสวนอย่างเคร่งครัด!” เจียงเจิ้งยี่พูดอย่างวางท่าเช่นเคย
“ผู้ต้องสงสัยใช่มั้ย ? งั้นก็หมายความว่าพวกคุณไม่มีหลักฐานน่ะสิ! นี่ขนาดไม่มีหลักฐาน แต่พวกคุณกลับคุมตัวลูกความของผมเอาไว้โดยที่เขาบริสุทธิ์ตามกฎหมาย! ผมสามารถฟ้องร้องพวกคุณในข้อหาละเมิดสิทธิของมนุษยชนและขอสงวนสิทธิ์ในความหมิ่นประมาทและใส่ความพลเมืองดีกับพวกคุณได้เลยนะ!” ทนายความวัยกลางคนพูดอย่างหนักแน่น
“แล้วคุณเป็นใคร ?” เจียงเจิ้งยี่เหลือบมองไปที่ทนายความวัยกลางคนและถามด้วยความเหยียดหยาม
“ผมชื่อ หลู่หลงกวง เป็นทนายความจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ!” ทนายความวัยกลางคนพูด
เจียงเจิ้งยี่ถึงกับผงะไปชั่วครู่ เพราะทนายความจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศนั้นไม่ใช่ทนายความธรรมดาทั่วไปที่จะหาจากที่ไหนก็ได้ เพราะพวกเขามักจะเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของคนดังและผู้มีอิทธิพลระดับโลกเพียงเท่านั้น และการที่เย่เชียนมีทนายประเภทนี้มาว่าความให้ นั่นแสดงว่าเขาเองก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดา ๆ เช่นกัน ดูเหมือนว่าเขานั้นจะดูถูกเด็กคนนี้มากเกินไปเสียแล้ว
“ทางเราพบยาเสพติดในสโมสรของเขา และเราก็มีหลักฐานทางกายภาพทั้งหมดอยู่ในมือแล้วด้วย! ถึงแม้ว่าพวกคุณจะเป็นทนายความจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็เถอะ ถึงยังไงพวกคุณก็ไม่สามารถที่จะประกันตัวผู้ต้องสงสัยและเพิกเฉยต่อกฎหมายของประเทศได้อยู่ดีใช่มั้ยล่ะ ?” เจียงเจิ้งยี่พูดด้วยความมั่นใจเต็มที่
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่ายาเสพติดนั่นมันเป็นของลูกความผม ? บางทีลูกค้าอาจจะเป็นคนนำเข้ามาเองก็ได้นี่ แล้วอย่างมากที่สุด พวกคุณก็ทำได้แค่สั่งปิดสโมสรไปชั่วคราวจนกว่าจะตรวจสอบร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสร็จ” หลู่หลงกวงอธิบายอย่างชัดเจนและถี่ถ้วน
“ก็เย่เชียนเขาเป็นถึงประธานสโมสรไม่ใช่หรือไง ? เขาก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี” เจียงเจิ้งยี่พูดอย่างเย้ยหยัน
“อย่างงั้นเหรอ ? ถ้างั้นก็หมายความว่าถ้ามีคนพบยาเสพติดในสถานีตำรวจของคุณ คุณก็ต้องรับผิดชอบและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ใช่มั้ย ?” เมื่อหลู่หลงกวงพูดจบ เขาก็เหลือบมองชายหนุ่มข้าง ๆ เขา
“โอ๊ะ!” ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างมีไหวพริบและโยนซองโคเคนลงบนพื้นห้องสอบสวน