ตอนที่ 301 การกลับมาของหลินโรวโร่ว
เหล่าสมาชิกของหน่วยย่อยหมาป่าเพชฌฆาตที่เหลือนั้นเย่เชียนก็ไม่ได้ลงโทษพวกเขาแต่อย่างใดเพราะถึงยังไงพวกเขาก็ยังเป็นสมาชิกของเขี้ยวหมาป่าและพวกเขาก็หลั่งเลือดและเสียสละเพื่อเขี้ยวหมาป่ามาโดยตลอด และพวกเขานั้นก็ดำรงอยู่อย่างมากลำบากมาโดยตลอดเพราะพวกเขาอาศัยอยู่แต่ในความมืดและเบื้องหลังของสิ่งต่างๆ ซึ่งเมื่อใดที่พวกเขาล่วงลับไปต่างก็ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าพวกเขานั้นเป็นสมาชิกของเขี้ยวหมาป่า
เย่เชียนเองก็ไม่เคยสงสัยในความภักดีของพวกเขาที่มีต่อเขี้ยวหมาป่าเช่นเดียวกันกับจู้จือ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรแต่เย่เชียนก็เชื่อเสมอมาว่าจุดยืนของจู้จือนั้นดำรงอยู่เพื่อปกป้องเหล่าเขี้ยวหมาป่าอยู่เสมอ ร่างของจู้จือและชูร่านั้นเย่เชียนได้สั่งให้เหล่าเขี้ยวหมาป่าฝังร่างของพวกเขาและสลักชื่อของพวกเขาเอาไว้บนอนุสาวรีย์ผู้พลีชีพและเสียสละของเขี้ยวหมาป่าในสำนักงานใหญ่อีกด้วย
รวมทั้งอี้ซิงเฉินและเหรินเทียนเย่ก็เช่นกัน ชื่อของพวกเขาก็ถูกสลักเอาไว้ที่นั่นด้วยเช่นกัน และถึงแม้ว่าเหรินเทียนเย่จะหักหลังพี่ชายอันเป็นที่รักที่สุดของเขาก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็เลือกที่จะล้างบาปด้วยเลือดของตัวเอง และด้วยวลีสุดท้ายของเย่เชียนที่มอบให้กับเขาว่า “ไปดีนะพี่” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเหรินเทียนเย่นั้นยังคงเป็นเหล่าหมาป่าของเขี้ยวหมาป่าอย่างไงอย่างงั้น
ชีวิตก็เป็นของเขี้ยวหมาป่าและความตายก็ดั่งเป็นวิญญาณของเขี้ยวหมาป่าเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกฝังอยู่ในดินและเป็นเถ้าธุลีไปจวบจนกลายเป็นวิญญาณแล้วก็ตามถึงยังไงพวกเขาก็คอยปกป้องดินแดนและเหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่าอยู่เสมอ เพื่อเป็นสักขีพยานในความรุ่งโรจน์ของเขี้ยวหมาป่าและปกป้องรากฐานของเขี้ยวหมาป่าตลอดไป
เมื่อเย่เชียนยื่นมือออกไปสัมผัสกับชื่อบนหลุมฝังศพของพวกเขาซึ่งเคยมีชีวิตและใช้ชีวิตต่อสู้ร่วมกันมาจวบจนถูกฝังอยู่ในดินแดนแห่งนี้และสิ้นชีพลงโดยไม่ได้กลับไปบ้านเกิดของตนเอง ก็ทำให้น้ำตาของเย่เชียนนั้นไม่สามารถหยุดไหลลงมาได้เลย และเขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ชื่อของเขาเองจะถูกสลักลงในแห่งนี้
เย่เชียนเองก็หวังว่าจะได้สลักชื่อของหมาป่าผีไป๋ฮวยเอาไว้ เพราะเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและพี่ชายที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตของเขา อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็หวังว่าหลังจากความตายของทั้งสองแล้วในโลกแห่งความตายนั้นทั้งสองจะไม่ต้องต่อสู้กันอีกและพวกเขาจะสามารถพูดคุยและสนิทสนมกันได้เหมือนก่อนหน้านี้แม้จะอยู่ในโลกแห่งความตายก็ตาม
“ทุกคน! ..ถอดหมวกออก!” เย่เชียนตะโกน ซึ่งด้านหลังของเขานั้นมีเหล่าพี่น้องนักรบเขี้ยวหมาป่ายืนเรียงรายกันอยู่และถอดหมวกพร้อมๆ
“จงไว้อาลัยแด่พี่น้องของเรา!” เย่เชียนก้มหัวลงอย่างช้าๆ และเหล่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่าที่อยู่ข้างหลังเขาก็ก้มหน้าลงพร้อมหลับตาและภาวนาให้เหล่าพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วว่าพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขในโลกอื่นและจะไม่มีการต่อสู้ใดๆ และไม่มีความโศกเศร้าเสียใจอะไรอีกต่อไปแล้ว และจะมีเพียงรอยยิ้มที่ไม่มีวันสิ้นสุดเท่านั้น
บนหลุมฝังศพเหล่านั้นดูเหมือนว่าเย่เชียนจะได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของพวกเขาดังนั้นเย่เชียนจึงยิ้มให้พวกเขาและสิ่งเหล่านี้ก็กระตุ้นให้เย่เชียนต้องก้าวต่อไปทีละก้าวอย่างเข้มแข็งและมั่นคง
ผ่านไปสักพักหนึ่งเย่เชียนก็เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และยื่นมือออกไปลูบป้ายชื่อที่สลักเอาไว้บนหลุมฝังศพและยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “เหล่าพี่น้อง! ..ผมเชื่อว่าพวกคุณจะคอยปกป้องเขี้ยวหมาของเราตลอดไป..และเขี้ยวหมาป่าของเราจะไม่มีวันสิ้นชื่อ!”
“พี่เล้งยี่!” เย่เชียนตะโกน
“บอส!” เล้งยี่ก้าวไปข้างหน้าและยืนตัวตรง
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยตบบ่าของเล้งยี่เบาๆ แล้วพูดว่า “พี่เล้งยี่ผมขอฝากที่นี่ไว้กับคุณนับจากนี้..เพราะผมต้องรีบกลับไปที่ประเทศจีน”
“บอส! ..ฉันเกรงว่าฉันอาจจะไม่ดีพอ!” เล้งยี่พูดอย่างประหม่า
“เชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้..ถ้าคุณไม่เชื่อมั่นในตัวเองคุณก็จะทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง..จงเชื่อในตัวเองและเชื่อในพวกพ้อง..แต่ก็อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป..ผมเชื่อว่าคุณทำได้” เย่เชียนพูด
เล้งยี่พยักหน้าอย่างหนักแน่นและพูดว่า “บอส! ..ฉันจะไม่ทำให้บอสและพี่น้องต้องผิดหวัง”
เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ผมเชื่อว่าคุณจะไม่ทำให้ผมและพี่น้องต้องผิดหวังอย่างแน่นอน..ดูแลเหล่าพี่น้องของเราด้วย..โทรหาผมหรือแจ็คก็ได้ถ้าคุณมีปัญหา”
เย่เชียนหันหน้ากลับไปมองไอซอลเดแฮมป์ตันและพูดว่า “ท่านนายพลไอซอลเดครับ..ผมต้องรบกวนให้คุณช่วยดูแลเหมืองเพชรและเหมืองแร่ทั้งสองแห่งในแอฟริกาใต้ให้ผมด้วย”
“เรายังเป็นพี่น้องกันอยู่เหรือเปล่าล่ะ..เพราะสำหรับพี่น้องแล้วได้เสมอ!” ไอซอลเดแฮมป์ตันยิ้มและพูด
“ใช่..เราเป็นพี่น้องกัน” เย่เชียนจับไหล่ของไอซอลเดแฮมป์ตันและพูด “เอ่อ..ผมจำได้ว่ามีหน่วยแพทย์ที่จัดขึ้นโดยองค์กรสภากาชาดสากลเปิดโครงการที่แอฟริกาใต้ใช่มั้ย?” เย่เชียนหยุดและถาม
ไอซอลเดแฮมป์ตันก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและก็พูดว่า “เอ่อใช่ๆ ..ดูเหมือนจะมีอะไรแบบนั้น..แต่ก่อนที่ฉันจะเดินทางมาที่นี่ดูเหมือนว่าโครงการพวกนั้นจะออกไปแล้วนะ”
ทันใดนั้นหัวใจของเย่เชียนก็สั่นไหวเพราะหญิงสาวที่ทำให้ความฝันของเย่เชียนเป็นจริงเธอกลับมาที่ประเทศจีนแล้วงั้นหรือ?
“เย่เชียนมีเรื่องอะไรหรือเปล่า..ทำไมจู่ๆ นายถึงถามเรื่องนี้ล่ะ” ไอซอลเดแฮมป์ตันก็ผงะไปชั่วขณะและก็ถามด้วยความประหลาดใจ
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างซุกซนและพูดว่า “อ๋อ..ไม่มีอะไรๆ”
ไอซอลเดแฮมป์ตันจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความสงสัยและรู้สึกงุนงงอย่างมาก
หลังจากจัดการสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับสำนักงานใหญ่เขี้ยวหมาป่าแล้วสามวันหลังจากนั้นเย่เชียนก็ได้ขึ้นเครื่องบินเพื่อบินไปยังประเทศฝรั่งเศสแล้วต่อเครื่องอีกไฟต์เพื่อบินกลับไปยังประเทศจีน ซึ่งการเดินทางมาตะวันออกกลางของเย่เชียนในครั้งนี้นั้นเย่เชียนรู้สึกสูญเสียอย่างมากและก็ได้อะไรอีกมาก แต่สิ่งที่ทำให้เย่เชียนพึงพอใจมากที่สุดก็คือในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยนั้นคิดอะไรอยู่ในใจซึ่งมันทำให้เย่เชียนมีความสุขและโล่งใจไม่มากก็น้อย
เย่เชียนไม่ได้แจ้งใครในประเทศจีนว่าเขากำลังจะกลับไปซึ่งเขาอยากกลับไปอย่างเงียบๆ ซึ่งในเวลานี้ก็เป็นฤดูหนาวที่มีหิมะตกหนักและเมืองเซี่ยงไฮ้ทั้งเมืองก็เผชิญหน้ากับหิมะที่โหมกระหน่ำซึ่งหาได้ยากในรอบหลายสิบปี และนอกสนามบินแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งมันสวยงามตระการตาอย่างยิ่ง
มือของเย่เชียนก็สั่นระริกอย่างไม่หยุดยั้งเมื่อเขาเปิดดูข้อมูลในโทรศัพท์มือถือแล้วเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและไม่สามารถควบคุมได้เล็กน้อย มันเป็นพรหมลิขิต? หรือบังเอิญกันแน่? เพราะดูเหมือนว่าเขาจะกลับบ้านในวันเดียวกันกับหลินโรวโร่วเลยแต่ว่าเขานั้นเร็วกว่าหลินโรวโร่วเล็กน้อยเพราะหลินโรวโร่วต้องใช้เวลาบินจากเมืองนิวยอร์กในประเทศสหรัฐอเมริกามายังเมืองเซี่ยงไฮ้ประเทศจีนอีประมาณ 13 ชั่วโมงหลังจากนี้
ตื่นเต้นและดีใจ! ยังมีเวลาอีกตั้งสิบสามชั่วโมงก่อนที่เย่เชียนจะได้เห็นหน้าผู้หญิงคนนี้เย่เชียนจึงตะโกนอย่างมีความสุขท่ามกลางเทอร์มินอลของสนามบินเหมือนคนบ้าและดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายให้หันมามองเขา พวกเขาจ้องมองเย่เชียนด้วยความงุนงงอย่างมากซึ่งคนบางคนนั้นก็ถึงกับถอยหนีไปด้วยความหวาดกลัวเพราะกลัวว่าเย่เชียนจะบ้าคลั่งและทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายกับพวกเขาด้วยอาวุธ
เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินก็รีบเดินเข้าไปหาเย่เชียน ซึ่งเย่เชียนนั้นก็คว้าตัวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งมากอดอย่างตื่นเต้นและหมุนตัวไปรอบๆ อย่างมีความสุข ซึ่งทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างก็ตกใจและประหลาดใจจนเกือบจะปฏิบัติกับเย่เชียนเหมือนอันธพาลไปเสียแล้ว หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็ปล่อยเจ้าหน้าที่คนนั้นและยิ้มอย่างขอโทษและรีบเดินออกจากสนามบินไปอย่างรวดเร็ว
สิบสามชั่วโมงเรายังมีเวลาเตรียมตัวอีกตั้ง 13 ชั่วโมง
เย่เชียนเรียกแท็กซี่และนั่งตรงไปยังบ้านของหลินโรวโร่วที่เธอเช่าเอาไว้และถึงแม้ว่าเธอจะเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลานานแต่บ้านก็ยังคงอยู่และมันก็ใช่ของคนใดใครอื่น เย่เชียนในตอนนี้เหมือนกับเด็กน้อยอย่างมากเพราะเขาตื่นเต้นและอยากให้หลินโรวโร่วแปลกใจและเซอร์ไพร์เธอ
เช้าวันรุ่งขึ้นเย่เชียนก็ขับรถไปที่สนามบินและรีบเดินไปที่เทอร์มินอลของสนามบินผู่ตง เพราะหลังจากยุ่งมากว่าสิบชั่วโมงแต่เย่เชียนก็ไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าเลยและมีเพียงแค่ความตื่นเต้นและความดีใจเพียงเท่านั้น ครึ่งปีที่ผ่านมานั้นดูเหมือนว่ามันจะไม่นานแต่มันก็เป็นการรอที่ยากและทำใจลำบากมาก
คนที่ไม่เคยสัมผัสกับความเจ็บปวดจากความรักและการพรากจากนั้นจะไม่มีวันเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานของความรัก เพราะในช่วงหกเดือนที่ผ่านมานั้นถึงแม้ว่าชีวิตที่วุ่นวายของเย่เชียนดูเหมือนจะทำให้เย่เชียนนั้นบรรเทาความทุกข์ความคิดถึงไปบ้างแต่ถึงยังไงความโหยหาหลินโรวโร่วในจิตใจของเย่เชียนก็ยังเหมือนกับมีดคมที่กรีดหัวใจของเขาทีละนิดๆ จนเกิดความเจ็บปวดและความสุข ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือความรักนั่นเอง
บนเครื่องบินนั้นหลินโรวโร่วจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างไปยังก้อนเมฆสีขาวที่ลอยผ่านไปและอารมณ์ความรู้สึกของเธอนั้นก็ไม่สามารถควบคุมได้เลย ครึ่งปีที่ผ่านมาของเธอนั้นถึงแม้ว่ามันจะไม่นานนักก็ตามแต่หลินโรวโร่วก็รู้สึกราวกับว่าเธอใช้ชีวิตเหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่งและมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายในช่วงครึ่งปีและหลินโรวโร่วเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันผ่านพ้นมาแล้ว
เขาจะจำฉันได้มั้ย? เขาจะเปลี่ยนไปมั้ย? ไม่ใช่ว่าหลินโรวโร่วไม่เชื่อในความรักหรือไม่เชื่อในตัวเย่เชียนแต่อย่างใด แต่มันเป็นเพราะเวลาครึ่งปีเพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
เมื่อนึกถึงสิ่งต่างๆ แล้วรอยยิ้มที่มีความสุขก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลินโรวโร่ว
“พี่สาว..นี่พี่กำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย? ” ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ หลินโรวโร่วพูดด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่งและโอ้อวดและมองไปที่หลินโรวโร่วด้วยความสงสัยและถามด้วยความประหลาดใจว่า “เธอดูเหมือนแมวตัวเมียที่กำลังติดสัดเลยนะ”
หลินโรวโร่วจ้องเขม็งไปที่หลินยี่และตะคอกเบาๆ ว่า “ฉันจะคิดอะไรมันก็เรื่องของฉัน..ปากสุนัขอย่างนายน่ะเงียบๆ ไปเถอะ”
หลินยี่แลบลิ้นออกมาและยิ้มอย่างซุกซน หลินยี่นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลินโรวโร่ว และพ่อของเขานั้นก็เสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็กส่วนแม่ของเขานั้นก็เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญในสำนักงานการคลังของมณฑลเจ้อเจียง และเนื่องจากพ่อกับแม่ของหลินโรวโร่วนั้นไม่มีลูกชายเพราฉะนั้นเขาก็เห็นหลินยี่เป็นเหมือนลูกชายของพวกเขาและเอ็นดูเขาเป็นอย่างมากโดยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะสืบทอดตระกูลและนำพาตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์
หลินโรวโร่วก็จ้องเขม็งไปที่หลินยี่อีกครั้งแล้วพูดว่า “แล้วนี่นายจะพูดกับพ่อและแม่ยังไงเนี่ย..ที่นายแอบหนีไปนิวยอร์กเพื่อไปดูคอนเสิร์ตแบบนี้เนี่ย?”
หลินยี่ยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “แล้วไงล่ะ..ก็ฉันชื่นชอบเธอหนิ..และฉันก็จะไม่มีวันพลาดทุกๆ คอนเสิร์ตของเธอด้วย..ฉันขี้เกียจทำงานอย่างเป็นทางการแบบนั้นแล้ว..และคนในสำนักงานแต่ละคนก็จริงจังกันทั้งนั้นเลย..ทำงานที่นั่นมันหดหู่มาก”
“ก็นี่คือสิ่งที่นายต้องทำยังไงล่ะ..ไม่ว่านายจะชอบหรือไม่ชอบถึงยังไงนายต้องแบกรับภาระและรับผิดชอบตัวเอง” หลินโรวโร่วพูด
หลินยี่ก็แลบลิ้นใส่หลินโรวโร่วอีกครั้งและหันหน้าหนีไปโดยไม่สนใจหลินโรวโร่วอีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้หลินโรวโร่วก็ถึงกับถอนหายใจไปและดวงตาของเธอกลับไปจับจ้องที่เมฆสีขาวที่ลอยอยู่นอกหน้าต่างเช่นเคย
ภายใต้ผืนฟ้าเดียวกันคนสองคนที่ห่วงใยและคิดถึงกันกำลังรอซึ่งกันและกัน
เย่เชียนถือช่อดอกกุหลาบสีสดใสจำนวนเก้าสิบเก้าดอกซึ่งสื่อถึงความรักอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยมากในสนามบินจึงไม่มีใครคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกเลย ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ แต่หัวใจของเขานั้นไม่สามารถสงบได้เลยและสายตาของเขาก็คอยจับจ้องไปที่ทางออกของไฟต์บิน
ประกาศจากทางสนามบินก็ดังขึ้นซึ่งสำหรับเย่เชียนนั้นนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกว่าเสียงของผู้ประกาศสนามบินไพเราะอย่างมากเพราะเครื่องบินลำนี้บินกลับมาพร้อมกับผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด
แล้วต่อจากนี้ต้องทำอย่างไร? โผเข้าไปหาเธอและกอดเธอหรือเปล่า? หัวใจของเย่เชียนกระสับกระส่ายอย่างมากและบุรุษเลือดเหล็กคนนี้ก็เริ่มกระวนกระวายอย่างมากและสูญเสียความเป็นตัวเองไปอย่างสมบูรณ์
เวลานั้นผ่านพ้นไปแค่เพียงไม่เท่าไหร่แต่สำหรับเย่เชียนแล้วมันเป็นช่วงเวลาที่นานอย่างมากและมันดูเหมือนว่าจะนานกว่าหกเดือนที่รอคอยเสียอีก หลังจากนั้นไม่นานชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งก็ลากกระเป๋าเดินทางออกมาและกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข
เย่เชียนก็ถึงกับขมวดคิ้วแน่นและก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวในทันทีและแล้วรอยยิ้มของเขาก็หยุดแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นและก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าในขณะนี้บุรุษเลือดเหล็กคนนี้ถึงกับตัวสั่นเพราะอะไรบางอย่างอยู่
.
.
.
.
.
.
.