มี หลินเซวียนจับโทรศัพท์แนบหูแน่น เจาเยี่ย นายยังจำเรื่องที่นายรับปากฉันไว้ได้ไหม ว่าถ้าฉันมีเวลาว่างเมื่อไหร่นายจะออกไปเที่ยวด้วย?
จำได้สิ เจาเยี่ยวางสคริปต์ที่อยู่ในมือ แล้วดึงเล่มใหม่ที่มีชื่อเรื่องค่อนข้างถูกใจมาอ่านแทน ก่อนค่อยๆ ตอบ
งั้นคืนพรุ่งนี้ฉันว่าง นายไปเที่ยวกับฉันนะ หลินเซวียนเลิกคิ้วและพูดอย่างตื่นเต้น
ทำไมว่างเร็วขนาดนี้? เจาเยี่ยมีความสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
ก็ไม่เชิงว่าว่างหรอก มันเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดงานหนึ่งน่ะ แต่นั่นก็ถือว่าเป็นเวลาที่ว่างที่สุดของฉันในช่วงนี้แล้ว นายปฏิเสธไม่ได้นะ นายไม่เคยผิดสัญญามาก่อน ด้วยความที่กลัวว่าเจาเยี่ยจะไม่ตอบรับ หลินเซวียนจึงรีบพูดกำชับ
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่นายพูดถึงเป็นของกู้หลานอันเหรอ? เจาเยี่ยไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับด้วยความฉงนสงสัย
อืม นายรู้ได้ยังไงเนี่ย? นายก็ได้รับข้อความเหรอ? หลินเซวียนถามกลับ หลังจากนั้นก็หัวเราะ ถึงแม้เจาเยี่ยจะเป็นคนที่ลูกคนรวยมักจะเชิญไปงานเลี้ยงฉลองเสมอ แต่ยังไงพวกนั้นก็เป็นผู้หญิง แต่กู้ฝูเซิ่งเป็นผู้ชาย แถมยังไม่ได้ชื่นชอบอะไรทำนองนี้ ไม่ได้รู้จักมักจี่กับเจาเยี่ย เกณฑ์ในการเชิญแขกก็สูง [1] ทำไมถึงได้เชิญเจาเยี่ย แต่หัวเราะได้ไม่นาน ก็หุบปากลงเพราะคำตอบของเจาเยี่ย
อืม ได้รับ
ได้รับ? ทำไมตระกูลกู้ถึงได้เชิญนายล่ะ? ตาเฒ่ากู้เคยพูดไว้นี่ว่างานเลี้ยงในบ้านตระกูลกู้ไม่ได้เป็นสถานที่สำหรับกอบโกยความมั่งคั่งและการโอ้อวด คนที่ถูกเชิญให้เข้างานได้มีแค่คนในครอบครัวไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆ ก็ทำลายกฎเกณฑ์นี้แล้วเชิญนายไปล่ะ? หรือว่าบ้านเขามีคนเป็นแฟนคลับนาย? แต่ก็ไม่น่าใช่ ถึงแม้จะเป็นแฟนคลับนายแต่ก็ไม่น่าจะเชิญนายนะ หลินเซวียนถามด้วยความแปลกใจ
ไม่รู้สิ เจาเยี่ยตอบเบาๆ ในใจมีความรู้สึกแปลกๆ ที่ตัวเขาเองก็อธิบายไม่ได้อยู่ เขารู้แต่ว่ากู้หลานอันคนนี้แค่กำลังรู้สึกสนุกสนานถึงได้แสดงพฤติกรรมแปลกประหลาดแบบนี้กับเขา แต่เขาก็รู้สึกว่าถ้าแค่ทำไปเพราะความสนุกสนาน ทำไมเขาถึงดูจริงจังขนาดนี้ ช่างเป็นคนที่คาดเดาอะไรไม่ได้จริงๆ
ไม่รู้ก็ช่างมันเถอะ เชิญไปแล้วก็แล้วไป เป็นเรื่องดีซะอีก มีคนอีกมากมายทำทุกวิถีทางยังไม่ได้รับเชิญเลย แต่นายเข้าไปได้ก็ไม่ได้หมายความว่านายเจ๋งกว่านะ แต่ยังไงถูกเชิญก็ดีกว่าแหละ แล้วนายก็ต้องไปงานพร้อมกันกับฉัน นายชื่นชมทักษะการแสดงของอันนาไม่ใช่เหรอ? ดีเลยจะได้ไปเจอตัวจริงด้วย หลินเซวียนยิ้มอย่างมีความสุข เริ่มคิดแล้วว่าคืนพรุ่งนี้ตัวเองจะใส่ชุดอะไรดี
เชิญหรือไม่เชิญสำหรับเขาแล้วก็เหมือนกัน เขาไม่อยากจะไปงานเลี้ยงแบบนั้น ไม่มีวันอยากไป ไอดอลแค่ได้ใกล้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเจอต่อหน้าหรอก อยากเที่ยวก็ไว้ครั้งหน้าละกัน เจาเยี่ยอยากจะปฏิเสธไปแบบนี้ในตอนแรก แต่พอได้ยินเสียงหลินเซวียนถามตัวเองอย่างมีความสุขว่าเขาใส่ชุดอะไรแล้วดูดี ก็กลืนคำพูดพวกนี้ลงท้องไป
ก็แค่งานเลี้ยงงานหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ถึงงานแล้วก็ทนๆ เอา เดี๋ยวก็ผ่านไป ทำไมนายต้องทำร้ายความปรารถนาดีของเพื่อนเพราะแค่ความไม่สบายใจเพียงน้อยนิดของตัวเองด้วย พอคิดอย่างนี้ เจาเยี่ยถูนิ้วซ้ำไปมา ขัดจังหวะการสนทนาพรุ่งนี้ตัวเองจะใส่ชุดอะไรดีของหลินเซวียนว่า พรุ่งนี้ฉันจะใส่ชุดลำลองปกติ
ใส่ชุดลำลองปกติ? โอกาสสำคัญอย่างนี้เนี่ยนะ…… หลินเซวียนได้ยินก็พูดต่อ พูดได้ครึ่งเดียวจู่ๆ ก็หยุด ก่อนจะดีอกดีใจ นายรับปากจะไปแล้วใช่ไหม?
อืม เจาเยี่ยตอบรับ
ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องรับปาก เจาเยี่ยนายยอดเยี่ยมที่สุด ฉัน…… หลินเซวียนลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น กำลังสรรหาคำชมต่างๆ แต่เจาเยี่ยทิ้งประโยค ตั้งใจทำงานนะ แล้วก็วางสายไป
เอ่อ…… หลินเซวียนนั่งจ้องโทรศัพท์อย่างตะลึงงัน จากนั้นหัวเราะลั่น พูดกับเลขาฯ ว่า คุณรู้ไหม? เขารับปากจะไปแล้ว เจาเยี่ยรับปากจะไปกับผมแล้ว
เลขาฯ ส่ายหัว ขอเพียงแค่ได้คุยโทรศัพท์กับซุปเปอร์สตาร์เจา เจ้านายก็จะพร่ำเพ้อแบบนี้ไปอีกสักพัก เธอที่เป็นพนักงานรู้สึกชินแล้ว
คำอธิบายเสริมจากนักเขียน
[1] สูงในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าดูถูกเจาเยี่ยต่ำกว่า แต่งานเลี้ยงในครอบครัวจะเชิญเฉพาะบรรดาญาติสนิท หุ้นส่วนทางธุรกิจและเพื่อนฝูง หุ้นส่วนทางธุรกิจยังต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากด้วย ปล.ความสัมพันธ์กับบ้านหลินเซวียนอยู่ที่รุ่นคุณปู่โน่นแน่ะ