…… เจาเยี่ยไม่เชื่อว่าเธอฟังไม่ออก แต่ท่าทางแสร้งไม่รู้เรื่องของเธอก็ทำให้เขาไร้หนทางโต้กลับ เขาจึงต้องพูดความจริงออกไปตรงๆ ผมค่อนข้างต่อต้านการสัมผัสใกล้ชิดกับคนอื่นครับ
ไม่เป็นไร งั้นฉันจะเรียกคนมาประคองเขาเอง เธอแค่อยู่ข้าง ๆ ส่งเขาให้ถึงที่นั่นก็พอ อันนาพูดจบ ก็ไม่ให้โอกาสเจาเยี่ยปฏิเสธอีกและรีบจัดแจงเรียกบริกรที่อยู่ด้านข้างที่กำลังเดินผ่านมาพอดี สั่งให้เขาประคองกู้หลานอันตามเจาเยี่ยกลับห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ก็รีบแสดงท่าทางเหมือนโดดเดี่ยวอ่อนแอทำอะไรไม่ถูก แล้วพูดกับเจาเยี่ยว่า รบกวนหน่อยนะ
เมื่อเรื่องมาถึงตรงนี้ เจาเยี่ยก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อย มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า หันศีรษะแล้วรุดหน้าเดินไปทันที
บริกรกำลังจะเอื้อมมือไปประคองกู้หลานอัน แต่กู้หลานอันกลับเอื้อมมือเขามาพาดบนไหล่บริกรก่อน แล้วรีบลากขาก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว (บริกร : คนเมาสมัยนี้ แข็งแรงขนาดนี้กันเลยเหรอ อืม…)
อันนามองเจาเยี่ยเดินไปตามทางที่ตัวเองบอก พลางป้องปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ จริง ๆ แล้วกู้หลานอันอยู่บนชั้นสองแต่เป็นห้องนอก ส่วนห้องในนั้นเนื่องจากตัวเธอเองว่างมาก ไม่มีอะไรทำจึงจัดเตรียมไว้ให้เป็นห้องหอของเขา
เมื่อเดินจนถึงสถานที่ที่อันนาบอก เจาเยี่ยมองบริกรลากกู้หลานอันมาถึงหน้าประตู เขาไม่ได้วางแผนจะอยู่ต่อ กำลังจะหันกลับ บริกรก็ปล่อยกู้หลานอันมาพิงอยู่บนตัวเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยการขอขมาแล้วพูดว่า ซูเปอร์สตาร์เจา ผมประคองคุณชายอยู่แล้วเปิดประตูไม่สะดวก รบกวนคุณช่วยประคองเขาไว้สักครู่นะครับ พูดจบ ก็ล้วงกุญแจออกมาไขประตู
เจาเยี่ยผงะไปครู่หนึ่ง กำลังจะดึงมือออก แต่กลับเริ่มลังเลเมื่อได้พบกับใบหน้าตอนหลับของกู้หลานอันที่กำลังหลับตาสนิทอย่างสงบสวยงาม
ไม่คาดคิดว่าบริกรจะทำได้ยอดเยี่ยมแบบนี้ กู้หลานอันซบอยู่บนตัวของเจาเยี่ยอย่างพอใจ ในใจคือเตรียมใจพร้อมแล้วว่าสะโพกตัวเองต้องเจ็บตัวอีกรอบแน่ๆ แต่ผ่านมาตั้งนานแล้วไม่มีการผลักออก นึกดีใจอยู่ข้างใน ควบคุมปากไว้ไม่อยู่ ทำให้หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ถูกโยนไปยังสถานที่ที่อ่อนนุ่ม
หรือว่าถูกจับได้แล้ว ในใจกู้หลานอันรู้สึกลนลานอยู่สักพัก มือเท้าแข็งจนอยากจะขยับแต่ก็ไม่กล้าขยับ
ตอนแรกนึกว่าเปิดประตูได้ ตัวเองก็จะเป็นอิสระ ไม่คิดเลยว่าพอประตูเปิดเสร็จบริกรคนนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เดินจากไปและไม่ได้หันกลับมาอีกเลย เจาเยี่ยจำต้องพากู้หลานอันไปที่เตียงแล้วโยนเขาลงอย่างช่วยไม่ได้ มองดูเขาที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร เจาเยี่ยผงะอีกครั้ง นับเป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่คิดเลยว่าตอนเขานอนหลับจะทำให้รู้สึกทรมานหัวใจเหลือเกิน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ คิดไม่ออกและไม่อยากจะคิดต่อ เจาเยี่ยหันไปมองห้องของกู้หลานอันที่ตกแต่งด้วยสีแดงแสบตา บนผนังห้องประดับไปด้วยกลีบดอกกุหลาบ และกลางเตียงเป็นรูปหัวใจ เขาขมวดคิ้ว ช่างน่าสะอิดสะเอียนจริง ๆ เจาเยี่ยส่ายหัว จู่ ๆ ก็รู้สึกตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ หันตัวกลับแล้วเดินออกไป
เจาเยี่ย อย่าเพิ่งไป อยู่กับฉันนะ เดินถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงกู้หลานอันอีก ไม่รู้ว่าเขาหลับอยู่หรือว่าตื่นแล้ว ฝีเท้าของเจาเยี่ยหยุดชะงัก พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า กู้หลานอัน ฉันไม่รู้ว่านายเมาจริงหรือว่าแกล้งเมา แต่ฉันขอเตือนนาย อยู่ห่างๆ จากฉันหน่อย เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันผ่านไปแล้วฉันจะไม่ถือสา ยังไงหลังจากนี้เราก็ไม่ข้องเกี่ยวกันแล้ว นายอย่าพูดถึงมันอีก พูดจบ เขาก็ก้าวเท้าปิดประตูแล้วจากไป
หลังจากที่ได้ยินเสียงปิดประตู จากนั้นอีกสักพักกู้หลานอันก็ค่อย ๆ ลืมตา ทันทีที่เขาลืมตาน้ำตาก็ไหลออกมาจากเบ้าตา แสดงละครมามากมายก็จะดูออกอย่างง่ายดายว่าคนอื่นกำลังเล่นละครอยู่หรือเปล่า แต่พอถึงตาตัวเอง กลับยากที่จะรับรู้ อย่างเช่นเมื่อสักครู่ เจาเยี่ยที่เป็นถึงซุปเปอร์ตาร์กลับดูไม่ออกว่าเขากำลังแกล้งเมา มองไม่เห็นความรู้สึกในดวงตาของเขา ก็เหมือนที่ตัวเขาเองนึกว่าสามารถดูใจคนได้ทะลุปรุโปร่งแต่กลับอ่านใจของเจาเยี่ยไม่ออก เจาเยี่ยเองก็ดูไม่ออกว่าเมื่อครู่นี้เขาเมาจริงหรือแกล้ง เขาเป็นพวกแก้วเดียวจอด เมื่อก่อนถึงแม้จะแก้วเดียวจอด แต่ว่าเขาก็ไม่เคยอาละวาด แต่พอกับเจาเยี่ย เขาอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีแบบนั้นออกมา ปากบอกเมาแล้วอาละวาด อันที่จริง มันอาจจะเป็นเพราะเขาอยากสัมผัสเวลาที่เจาเยี่ยแสดงอาการเดี๋ยวเย็นชาเดี๋ยวลุกลี้ลุกลน เขาต้องการอาศัยช่วงคนชุลมุน จะได้ใกล้ชิดเจาเยี่ยอีกนิดเพื่อปลอบประโลมจิตใจของตัวเองที่ร้อนรนจนแทบบ้า