บทที่ 293 ประชุมแก๊ง
บทที่ 293 ประชุมแก๊ง
“หัวหน้าโจว พวกเราไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไอ้คน ๆ นี้เลย มันสร้างเรื่องปั่นหัวพวกเรา”
“ใช่ หัวหน้าโจว! พวกเราไม่รู้เรื่อง พวกเราโดนปั่นหัว!”
“…”
เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานเป็นตัวตนที่พวกเขาไม่อาจล่วงเกินได้ บรรดาหัวหน้าแก๊งเล็กทั้งหลายต่างก็พากันแก้ตัว หาทางเอาตัวรอดกันในทันที
ส่วนโจวเฟยหู่ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยว่า
“ฮ่าฮ่า ทุกคนไม่ต้องกังวล ฉันโจวเฟยหู่ เป็นคนที่รู้จักบุญคุณความแค้นดี และฉันรู้ว่าพวกนายทุกคนนั้นถูกปลุกปั่นโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไร”
หลังจากพูดจบประโยค โจวเฟยหู่ก็เบนสายตากลับไปที่เจาหลี่
“ไอ้คน ๆ นี้มันกล้าที่จะล่วงเกินผู้มีพระคุณของแก๊งพยัคฆ์เวหา แน่นอนว่ามันสมควรตาย!”
ในทันทีที่บรรดาคนจากแก๊งเล็กอื่น ๆ ได้ยินคำนี้ พวกเขาต่างตกตะลึงกันอีกรอบ
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายหนุ่มที่ดูอายุยี่สิบกว่า ๆ คนนั้นเป็นผู้มีพระคุณของแก๊งใหญ่อย่างแก๊งพยัคฆ์เวหา
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมโจวเฟยหู่ถึงออกคำสั่งให้กระทืบเจาหลี่ทันที
“แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันดีที่พวกเรามารวมตัวประชุมกัน ดังนั้นฉันจะยอมเมตตาไว้ชีวิตมันสักครั้ง แต่ด้วยความผิดของมัน ฉันจะตัดสิทธิ์ไม่ให้แก๊งอินทรีเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของเรา!”
โจวเฟยหู่กวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ในห้องโถงและเอ่ยตัดสินใจออกไป
แน่นอนว่าไม่มีใครโต้แย้งกับการตัดสินใจนี้ของโจวเฟยหู่ เพราะไม่ว่ายังไงแก๊งอินทรีไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขาอยู่แล้ว
แต่แล้วในขณะที่ทุกคนเงียบ จู่ ๆ มีเสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้นในฝูงชน
“ม…ไม่ได้นะ! แก๊งอินทรีของฉันถูกแก๊งวาฬยักษ์หมายหัวเอาไว้แล้วจากการที่มาเข้าร่วมประชุมในวันนี้ ถ้าวันนี้แก๊งของฉันไม่ได้เข้าร่วม พวกฉันทั้งแก๊งจบเห่แน่นอน!”
คนที่ตะโกนขึ้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือเจาอิง พ่อของเจาหลี่นั่นเอง
ถึงแม้ว่าตัวเองจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสกับอาการบาดเจ็บที่ขาซึ่งโดนอวี้ฮ่าวหรานบดขยี้กระดูก แต่การตัดสินใจของโจวเฟยหู่ก็ทำให้ตัวเขาเองลืมความเจ็บไปชั่วขณะ และตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด
หากเขายอมรับบทลงโทษนี้ ก็จะเหลือตัวเลือกแค่สองทางคือ หนีออกไปจากเมืองเกิดของตัวเองเหมือนหมาจรจัด หรือไม่ก็อยู่รอความตายที่แก๊งตัวเอง
เขายอมไม่ได้!
อย่างไรก็ตาม โจวเฟยหู่ไม่ได้ใส่ใจกับสีหน้าตื่นตระหนกของเจาอิงเลย
“โทษที ชะตากรรมของแก๊งอินทรีไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน และยิ่งไปกว่านั้น ใครก็ตามที่ล่วงเกินน้องอวี้ มันผู้นั้นคือศัตรูของแก๊งพยัคฆ์เวหา!”
หลังจากพูดจบ โจวเฟยหู่ก็โบกมือสั่งลูกน้องของตัวเองให้ลากตัวคนของแก๊งอินทรีทั้งหมดออกไปด้านนอกและไล่กลับไป
เจาหลี่ผู้ซึ่งอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหตุการณ์มันจะกลับกลายเป็นแบบนี้
การแก้แค้นที่แสนสุขของเขาจู่ ๆ กลับกลายเป็นหายนะของทั้งแก๊งอินทรี!
เขาจะไม่ยอม!
ไอ้คน ๆ นั้นมันกลับกลายเป็นตัวตนยักษ์ใหญ่แบบนี้ได้ยังไง!
ในทางกลับกัน ระหว่างที่ถูกลากตัวออกไปนั้น เจาอิงมองไปที่ลูกชายของตัวเองด้วยสายตาเดือดดาล
ถ้าตอนนี้ขาของเขาไม่หักล่ะก็…คงเตะลูกชายของตัวเองให้ตายไปแล้ว!
หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากแก้งค์พยัคฆ์เวหา นับจากนี้แก็งอินทรีไม่รอดแน่!
ความชิบหายนี้มันเกิดจากลูกชายของเขา!
“ทำไมฉันถึงมีลูกที่ระยำอย่างแก!!!”
เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนด่า
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะตะโกนด่าให้ดังสักแค่ไหน ตอนนี้มันก็ไร้ประโยชน์
หลังจากจัดการแก๊งอินทรีเรียบร้อยแล้ว โจวเฟยหู่จึงพาหัวหน้าแก๊งเล็กอื่น ๆ ทุกคนไปยังห้องประชุมขนาดใหญ่ที่อยู่หลังร้าน
“น้องอวี้ โทษทีที่ทำให้นายรอนาน วันนี้ฉันทำพลาดไปหลายอย่างจริง ๆ”
ในทันทีที่เดินเข้ามาในห้องประชุม โจวเฟยหู่กล่าวขอโทษอวี้ฮ่าวหราน ทันที
อวี้ฮ่าวหรานขณะนี้นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะราวกับว่าเขามีตำแหน่งใหญ่สุดในการประชุมครั้งนี้ เขาเหลือบมองไปที่โจวเฟยหู่และพยักหน้าเล็กน้อย
เขาไม่ได้ติดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องโถง
ทว่าในสายตาของคนแก๊งอื่น ท่าทางของชายหนุ่มตอนนี้กลับดูหยิ่งยโสมากจนน่าหมั่นไส้
แต่ถึงจะไม่พอใจ มันก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา เพราะอีกฝ่ายนั้นแสดงให้เห็นแล้วว่ามีความแข็งแกร่งพอที่จะทำตัวแบบนี้ได้
จากนั้นเมื่อทุกคนนั่งลงที่เก้าอี้ครบหมดแล้ว การประชุมจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
“ประเด็นที่เรามารวมตัวกันประชุมในวันนี้คือ การหาแนวทางการตอบโต้ที่มีประสิทธิภาพต่อแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งฉลามคลั่งที่ร่วมมือกัน เพราะถึงแม้ว่าแก๊งเล็ก ๆ ทั้งหมดจะร่วมมือกัน แต่ถ้าหากเราไม่มีแผนที่ดีพอ พวกเราก็ไม่วันได้เปรียบ”
หวังเหยียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เนื่องจากโจวเฟยหู่ไม่ถนัดในด้านวางแผนมากนัก เขาจึงได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้พูดในวันนี้แทน
หลังจากที่หวังเหยียนพูดจบ บรรดาหัวหน้าสาขาของโจวเฟยหู่ต่างก็เริ่มออกความเห็น
“อืม…จากข้อมูลที่ได้รับมา แก๊งวาฬยักษ์และแก๊งฉลามคลั่ง มีสมาชิกที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีมากกว่าพันคน”
“กำลังคนของเราตอนนี้ต่างกับอีกฝ่ายพอสมควร พวกเรามีสมาชิกฝีมือดีราวเจ็ดร้อยคนแค่นั้นเอง”
“ฉันคิดว่าด้วยจำนวนที่ต่างแบบนี้ พวกเราควรถอยร่นเข้ามาอีกหน่อยเพราะยิ่งพื้นที่ที่เราต้องป้องกันเล็กลง มันก็ยิ่งตีโต้กลับได้ง่ายขึ้น”
ผู้คนในห้องเริ่มแลกเปลี่ยนความคิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งพวกเขาต่างมองว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ค่อยจะดูดีเท่าไหร่
หวังเหยียนขมวดคิ้วเมื่อเห็นเช่นนี้ จากนั้นเขาหันไปหาอวี้ฮ่าวหราน และเอ่ยถามขึ้นด้วยความคาดหวัง
“น้องอวี้ นายคงเห็นแล้วว่าตอนนี้สถานการณ์ของเรามันเป็นยังไง นายมีอะไรอยากจะแนะนำพวกเราหรือเปล่า?”
ทางด้านของโจวเฟยหู่ก็โน้มตัวมารอฟังคำตอบของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตั้งใจเช่นกัน
ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบเช่นนี้ มีแค่ชายหนุ่มข้าง ๆ เขาคนนี้คนเดียวที่สามารถมอบความมั่นใจให้กับเขาได้
“เอาเป็นว่า เมื่อไหร่ที่ทุกอย่างมันเริ่มควบคุมไม่อยู่ ฉันจะลงมือ”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยสีหน้าสบาย ๆ ชายหนุ่มเองไม่ได้มีแผนอะไรเช่นกัน เพราะด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ หากใครขวางทาง เขาก็สามารถบี้ให้ตายได้ง่าย ๆ ดังนั้นจะมีแผนไปทำไม?
ที่ชายหนุ่มมาวันนี้เป็นเพราะแค่จะมาสื่อว่าเขาพร้อมที่จะสนับสนุนแก๊งพยัคฆ์เวหาก็แค่นั้น
ในทางกลับกัน คำตอบง่าย ๆ ของอวี้ฮ่าวหราน กลับทำให้หวังเหยียน และโจวเฟยหู่เบิกบานเป็นอย่างมาก
นี่มันคือการการันตีความอยู่รอดของพวกเขา
“ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย!”
ด้วยการที่มีอวี้ฮ่าวหรานคอยหนุนหลัง พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวแก๊งวาฬยักษ์และฉลามคลั่งอีก
หลังจากเอ่ยปากสัญญาเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานพูดขึ้นก่อนจะลุกขึ้น
“เอาล่ะ ต่อจากนี้พวกนายก็คุยแผนของพวกนายกันต่อไปก็แล้วกัน ฉันขอตัวก่อน ถ้าหากมีอะไรด่วนก็โทรมา”
“ได้เลยน้องอวี้! ฉันขอบคุณมากที่วันนี้นายอุตส่าห์สละเวลามา! หวังเหยียน นายออกไปส่งน้องอวี้ที!”
โจวเฟยหู่พยักหน้าทันทีพร้อมกับลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการส่งอวี้ฮ่าวหราน
“ไม่ต้องหรอก พวกนายคุยกันต่อเถอะ”
อวี้ฮ่าวหรานโบกมือปฏิเสธอย่างสุภาพ จากนั้นเขาเดินออกไปจากห้องทันที
แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ของอวี้ฮ่าวหราน ทำให้บรรดาหัวหน้าแก๊งเล็กทั้งหลายต่างงุนงงและตกตะลึง
ตอนนี้พวกเขาต่างรู้แล้วว่าจริง ๆ แล้ว อวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่แค่ผู้มีพระคุณของแก๊งพยัคฆ์เวหา แต่เขาคือคนที่มีอำนาจเหนือกว่าโจวเฟยหู่ต่างหาก!
โชคดีจริง ๆ ที่ชายหนุ่มคนนี้ไม่เอาเรื่องพวกเขา!
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดยังไงกับตนเอง หลังจากออกมาจากผับ เขาก็ขับรถตรงไปที่บริษัทของหลี่หรง
หลังจากเรื่องเมื่อวานที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยกับการที่หลี่หรงไปทำงานที่บริษัทคนเดียว
เห็นได้ชัดบริษัทฮัวหรงถูกแทรกซึมไปถึงแกน ดังนั้นชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องแน่ใจว่านับจากนี้มันจะต้องปลอดภัย
เมื่อไปถึงบริษัทฮัวหรง อวี้ฮ่าวหรานเดินขึ้นไปยังออฟฟิศที่อยู่ชั้นสามซึ่งก็คือชั้นบนสุดทันที
“รีบไปเอาข้อมูลบัญชีในช่วงเวลาสามเดือนล่าสุดมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ฉันต้องการตรวจสอบมันอย่างละเอียดทั้งหมด!”
เสียงของหลี่หรงดังลั่นออกมาจากในออฟฟิศของเธอ