บทที่ 301 ผู้หลุดพ้น
บทที่ 301 ผู้หลุดพ้น
เมื่อถึงเวลาเที่ยง บริษัทอิงเหมาก็ถูกซื้อกิจการไปเรียบร้อย!
หลี่อิงไห่รู้สึกหมดหวัง แต่ในขณะที่เขากำลังจะถอดใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึง กงซุนซา
“ใช่! ถูกต้อง! เขาเป็นคนมาติดต่อหาฉันก่อน ไม่อย่างนั้นฉันจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ยังไง! เขาต้องช่วยฉันแน่!”
ราวกับเจอฟางเส้นสุดท้ายที่อาจช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ใบหน้าของเขาจึงมีความหวังขึ้นมาทันที
จากนั้นเขาก็ลงไปชั้นล่างและสั่งให้คนขับรถพาไปส่งยังจุดที่เขาเคยพบกับอีกฝ่าย
กว่าชั่วโมงต่อมาในอาคารสำนักงานอีกแห่งใกล้ใจกลางเมือง
“หัวหน้าแก๊งกงซุน! ในที่สุดผมก็เจอคุณ!”
หลังจากที่หลี่อิงไห่เข้าไปในออฟฟิศและเห็นกงซุนซา เขาก็ดีใจมากในทันที
ในเวลานี้ หลิ่วอวี้จิง หัวหน้าแก๊งวาฬยักษ์ก็บังเอิญนั่งอยู่ข้างในห้องด้วย
ทว่า สีหน้าของหลิ่วอวี้จิงตอนนี้ก็ดูไม่ดีเท่าไหร่เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีคนบุกเข้ามาในห้อง จึงหันไปจ้องเขม็งผู้ที่มาใหม่อย่างเย็นชา
อีกด้านหนึ่ง กงซุนชาก็ตื่นตัวทันทีที่จู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก แต่เมื่อเขาเห็นว่าเป็นหลี่อิงไห่ที่เข้ามา ก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
“คุณมาทำอะไรที่นี่! ตอนนี้เราไม่ควรเจอกัน!”
กงซุนซาเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดพร้อมกับปล่อยแรงกดดันข่มขู่หลี่อิงไห่
“ผ…ผมมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากคุณ! คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะให้เวลาผมสองเดือนในการยึดเครือฮ่าวหราน? แต่นี่มันแค่วันเดียวเท่านั้น พวกเขาก็สามารถโต้กลับผมได้…ผม…แล้วแบบนี้ผมจะต้านทานกับเครือฮ่าวหรานที่กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์แล้วได้ยังไง?”
ถึงแม้ว่าหลี่อิงไห่จะตกใจกับแรงกดดันของอีกฝ่าย แต่เนื่องจากตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ จึงสามารถข่มความกลัวเอาไว้ได้และกลั้นใจถามออกไป
“ฮิฮิ รับมือเองไม่ได้งั้นเหรอ?”
กงซุนซาหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็เปลี่ยนท่าทีราวกับผู้มีเมตตา
เขาทำเหมือนกับว่ากำลังนึกถึงสัญญาครั้งก่อน
“ใช่…ใช่ ผมไม่สามารถจัดการกับเครือฮ่าวหรานที่กลับมาเป็นปกติได้แน่นอน นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เครือฮ่าวหรานร่วมมือกับบริษัทใหญ่อื่นเพื่อโจมตีผมอีก?”
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปในทางบวก หลี่อิงไห่ก็คิดว่าอีกฝ่ายมีความคิดที่จะช่วยตัวเอง เขาจึงรีบอธิบายทันที
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หัวสมองของเขาเต็มไปด้วยความหวัง ก็ได้ยินคำพูดที่เย็นชาซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นราดใส่!
“ฮ่า ๆ! ถ้ารับมือเองไม่ได้ก็ตายไปซะ พวกฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย!”
ใบหน้าของกงซุนซาเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างฉับพลัน
“น…นี่คุณ…!”
ดวงตาของหลี่อิงไห่เบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลย
“คุณหักหลังผมแบบนี้ไม่ได้นะ! เราตกลงกันแล้ว…”
เขาไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะหันหลังให้เขาเร็วราวกับพลิกหนังสือเช่นนี้ วันก่อนอีกฝ่ายยังพูดดีกับเขาอยู่เลยไม่ใช่เหรอไง?
“สัญญา? ฮ่า ๆ ฉันสัญญาอะไรกับแกเมื่อไหร่? อย่ามาพูดจามั่วซั่วใส่ฉันนะโว้ย!” กงซุนซาเยาะเย้ยเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“ไม่! คุณพูดเอาไว้ชัดเจนเลย! พวกเราตกลงกันหมดแล้ว…”
“บัดซบ! น่ารำคาญ!”
หลิ่วอวี้จิงทนไม่ไหวอีกแล้วกับเสียงร้องคร่ำครวญที่น่ารำคาญของหลี่อิงไห่ เขาลุกขึ้นจากโซฟาและเดินไปกำคอหลี่อิงไห่ด้วยมือเดียวอย่างรุนแรง
“พ่อคนนี้จะบอกความลับกับแกก็ได้! จริง ๆ แล้วแกเป็นแค่เครื่องมือของพวกฉันเท่านั้น แค่เครื่องมือ! ดังนั้นในเมื่อแกไร้ประโยชน์ พวกฉันก็แค่เขวี้ยงแกทิ้งไปซะ! เอาล่ะ ถ้าตอนนี้แกยังไม่ไสหัวออกไปอีก ฉันจะทำให้แกเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิตที่เหลือ!”
เขาขู่ด้วยความหงุดหงิดก่อนที่จะโยนหลี่อิงไห่ลงไปที่พื้น
วันนี้เป็นวันที่เขาอารมณ์ไม่ดีสุด ๆ
“ฉัน…”
หลี่อิงไห่หวาดกลัวจนแทบหยุดหายใจกับการถูกจู่โจมอย่างกะทันหันแบบนี้ หลังจากที่ถูกโยนลงไปที่พื้น เขาก็ตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก
“ไสหัวไปได้แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าหลี่อิงไห่ยังไม่ออกจากห้องไป หลิ่วอวี้จิงตวาดอีกรอบพร้อมกับเตะส่งอีกฝ่ายให้กระเด็นออกไปนอกห้อง!
“ถุย! รู้จักเจียมกะลาหัวซะบ้าง! คนอย่างแกมีสิทธิ์อะไรมากล้าต่อรองกับคนอย่างพวกฉัน!”
“ฮิฮิ น้องหลิ่วนี่ยังคงใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ”
ขณะเดียวกันนี้ กงซุนซาก็หัวเราะเบา ๆ
ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าแผนการเกี่ยวกับเครือฮ่าวหรานน่าจะล้มเหลวไม่ช้าก็เร็ว หลี่อิงไห่ก็ถูกมองเป็นเพียงแค่เครื่องมือ ซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจอะไร
หลิ่วอวี้จิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในเวลานี้
“ฉันบอกไปหลายรอบแล้วไงว่า ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลงมือ แต่ทำไมคุณกลับยังเฉยอยู่อีก? อวี้ฮ่าวหรานมีความสามารถมาก หากเราไม่รั้งเขาไว้ เราจะจัดการกับโจวเฟยหู่ได้ยังไง!”
“ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ!”
ถึงแม้ว่าจะถูกจ้องเขม็ง กงซุนซาก็ยังคงมีสีหน้าที่สงบ
“อันที่จริงแผนลักพาตัวเป็นแผนเสริม ซึ่งถ้ามันสำเร็จก็ดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร”
“ไม่สำเร็จแล้วไม่เป็นไรได้ยังไง? ฉันก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า อวี้ฮ่าวหรานมันแข็งแกร่งขนาดไหน! มันสามารถเอาชนะฉันได้อย่างง่ายดาย คุณมีความแข็งแกร่งขนาดนั้นหรือไง?”
หลิ่วอวี้จิงงุนงงเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมชายชราคนนี้ถึงยังคงแสดงสีหน้าใจเย็นได้
“ฮ่า ๆๆ! ที่นายกำลังกังวลอยู่เป็นเพราะว่าจริง ๆ แล้วนายยังไม่รู้ว่าฉันคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหน”
กงซุนซาแสดงสีหน้าภาคภูมิใจในขณะเอ่ยประโยคนี้!
“ฉันยังไม่รู้?”
หลิ่วอวี้จิงรู้สึกประหลาดใจ
“หลายปีก่อนหน้านี้ ความแข็งแกร่งของฉันอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับปรมาจารย์ไปแล้ว ดังนั้นนายคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยเหรอที่ตอนนี้ฉันจะทะลวงระดับไปเรียบร้อย?”
หลิ่วอวี้จิงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย แต่เมื่อเขาวิเคราะห์จากข้อมูลก่อนหน้านี้ ชายชราคนนี้แข็งแกร่งกว่าเขาอย่างแน่นอน เขาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับปรมาจารย์
ถ้าทะลวงระดับขึ้นไปอีกมันคือระดับอะไรกัน?
หลิ่วอวี้จิงไม่รู้เรื่องพวกนี้เพราะข้อมูลพวกนี้มีมนุษย์น้อยคนที่รู้ เขาเดาได้แค่เพียงว่ามันคงเป็นระดับที่ลึกลับ และผู้ที่อยู่ในระดับนั้นก็ควรที่จะก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
ว่าแต่ชายชราคนนี้ทะลวงระดับขึ้นไปได้แล้วจริงเหรอ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่แน่ใจ
ในขณะเดียวกันนี้ กงซุนซาก็พยักหน้าเล็กน้อย และหัวเราะเพื่อเป็นการตอบกลับความสงสัยในใจของหลิ่วอวี้จิง
“ไม่ต้องเดาหรอก เดิมทีฉันไม่ต้องการที่จะเปิดเผย แต่เนื่องจากแผนเสริมนี้ล้มเหลว ดังนั้นฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือเอง!”
ในทันทีที่พูดจบ! พลังลึกลับที่แข็งแกร่งก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า!
มันแตกต่างจากพลังภายในอย่างสิ้นเชิง มันแข็งแกร่งกว่าจนเทียบกันไม่ได้!
“น…นี่…มันพลังอะไร นี่มันไม่ใช่พลังภายใน…”
หลิ่วอวี้จิงรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของพลังนี้อย่างชัดเจน ซึ่งมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ต่อหน้าพลังที่รุนแรงนี้ ความแข็งแกร่งของเขามันเป็นแค่เรื่องตลก!
“นี่มันระดับอะไรกัน!?”
หลิ่วอวี้จิงมองขึ้นไปที่ชายชราด้วยความตกตะลึง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาและหวาดกลัว
กงซุนซาพึงพอใจอย่างมากกับสีหน้าของอีกฝ่าย
“ฮ่า ๆ ในเมื่อพวกเราร่วมมือกันแล้ว ถ้างั้นฉันจะยอมบอกเกร็ดความรู้ให้นายสักหน่อย เมื่อไหร่ที่ทะลวงขอบเขตพลังภายในไปได้ มนุษย์ผู้นั้นจะอยู่ในโลกของเหล่าผู้หลุดพ้น!”
“ผู้หลุดพ้น?”
“อันที่จริงมีคำเรียกอีกอย่างซึ่งก็คือ ‘ผู้บ่มเพาะ’ และพลังนี้เรียกว่าพลังวิญญาณ!”
“ผ…ผมสามารถทะลวงระดับไปถึงได้เช่นกันงั้นเหรอ?”
หลิ่วอวี้จิงหายใจถี่แรงด้วยความตื่นเต้น เขาอยากเหลือเกินที่จะมีความแข็งแกร่งแบบนี้!
“แน่นอน…ว่าไม่!”
แต่แล้วคำพูดของกงซุนซาก็ดับฝันของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“นายคิดว่ามนุษย์ทุกคนสามารถกลายเป็นผู้หลุดพ้นได้งั้นเหรอ? การที่จะขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้ทั้งพรสวรรค์และทรัพยากรที่มหาศาล!”
ขณะที่พูด กงซุนซามองไปที่หลิ่วอวี้จิงด้วยสายตาดูถูก
“สำหรับคนอย่างนาย มันเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตนี้ของนายจะสามารถก้าวเข้ามาอยู่จุดเดียวกับฉันผู้นี้!”