บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของหวังเหยียนแล้ว โจวเฟยหู่ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ
“เฮ้อ…น่าเสียดายที่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าไอ้สองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดโจวเฟยหู่ก็พูดขึ้นอย่างจนใจ
ตอนนี้แก๊งพยัคฆ์เวหาเป็นเหมือนกับลูกศรที่ถูกยิงออกไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะกลอุบายใด ๆ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ต่อไป…
หลังจากสูญเสียพี่น้องไปมากมาย ไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองกันได้
…
ในเวลาเดียวกัน อู๋หมิ่น ผู้นำตระกูลอู๋ ก็ได้ติดต่อกับศิษย์ของสำนักลึกลับแห่งหนึ่งเรียบร้อย…
ในห้องโถงของตระกูลอู๋ อาการบาดเจ็บของอู๋หมิ่นยังไม่หายดี และตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาออกมาจากละครย้อนยุค
แต่ด้วยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งทำให้ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยการแต่งกายที่แปลกประหลาดนี้แน่นอน
สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือชายวัยกลางคนผู้นี้กำลังนั่งอย่างสบาย ๆ ในตำแหน่งที่นั่งของอู๋หมิ่น!
“เจ้ากำลังบอกว่าชายหนุ่มเพียงคนเดียวสามารถทำให้ตระกูลอู๋วอดวายได้ถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? นี่เจ้าดูแลตระกูลอู๋แบบไหน ทำไมพวกเจ้าถึงตกต่ำได้ขนาดนี้?”
ชายวัยกลางคนทำตัวราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กำลังดุด่าลูกหลานตัวเอง ซึ่งคนที่เขากำลังดุด่าอยู่ก็คือ อู๋หมิ่น
“ช…ชายหนุ่มคนนั้น…ไม่ใช่คนธรรมดา! ผมได้จ้างปรมาจารย์มาแล้วมากมาย แต่ปรมาจารย์พวกนั้นเทียบไม่ได้กับชายหนุ่มคนนั้น และลูกชายของผม อู๋เส้าฮัวก็ถูกเขาฆ่าเช่นกัน!”
อู๋หมิ่นดูวิตกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังคงพยายามเถียง
อย่างไรก็ตาม คำพูดเถียงนี้กลับทำให้ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าดูถูกมากยิ่งขึ้น
“ฮ่า ๆ จ้างพวกปรมาจารย์งั้นเหรอ? แล้วไง? ไอ้พวกที่เจ้าจ้างมามันต่างจากคนธรรมดาตรงไหน?”
เขามองหน้าอู๋หมิ่นอย่างเย้ยหยัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหน”
“ผม…ผมไม่รู้…”
อู๋หมิ่นเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนคนนี้อายุน้อยกว่าเขา แต่กลิ่นอายความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก
“เฮอะ ช่างมีความรู้ต่ำต้อยอะไรขนาดนี้! ช้าผู้นี้ชื่ออู๋ลั่น เพื่อเห็นแก่ที่เรามีสายเลือดเดียวกัน ข้าจะบอกเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ว่าเหนือว่าขั้นพลังภายในที่เจ้าเคยรู้จัก ยังมีระดับที่เรียกขอบเขตก่อรากฐาน!”
“ก่อรากฐาน?”
อู๋หมิ่นพึมพำราวกับเคยได้ยินมาก่อนที่ไหนสักแห่ง
“ถูกต้อง ขอบเขตก่อรากฐานคือการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางแห่งการเป็นผู้อมตะ ซึ่งความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะเทียบเทียมได้ และข้าเองคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อรากฐาน!”
ชายวัยกลางคนชื่ออู๋ลั่นพูดช้าๆ
ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มอบเงินให้กับสำนักของเขาเป็นจำนวนมหาศาล เขาคงไม่มีทางเสียเวลาคุยกับมนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสายเลือดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน
อู๋หมิ่นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับระดับขอบเขตที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตพลังภายในมาก่อนเลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกตกตะลึงและงุนงงในเวลาเดียวกัน
“ถ…ถ้างั้นก็หมายความว่า…ท่านทรงพลังมากเลยใช่ไหม?”
เขาไม่อยากเชื่อเลย ถ้าหากตระกูลของเขามีปัญญาสร้างคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงถูกทิ้งให้ดูแลตระกูลอู๋อยู่ที่นี่มาตลอด? ทำไมเขาถึงไม่ได้มีโอกาสบ่มเพาะบ้าง?
ถ้าเขาสามารถเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานได้ เขาก็จะสามารถบดขยี้ตระกูลหลี่หรือตระกูลไหน ๆ ในเมืองฮ่วยอันได้อย่างง่ายดาย จนสามารถทำให้ตระกูลอู๋เป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ทำไมตระกูลของเขาถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้?
อู๋ลั่นรู้ทันความคิดของอู๋หมิ่นเช่นกัน และพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยโดยไม่ลังเลเลย…
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ อย่าคิดเพ้อเจ้อให้เสียเวลา การบ่มเพาะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ หากพรสวรรค์ไม่เพียงพอ เจ้าก็จะไม่มีวันทะลวงขึ้นมาถึงขอบเขตก่อรากฐานได้ ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าเทียบได้กับข้าผู้นี้งั้นเหรอ?”
หลังจากนั้น อู๋ลั่นก็รู้สึกไม่อยากจะคุยไร้สาระอะไรอีกต่อไป เขาถามถึงรายละเอียดของภารกิจโดยตรง
อู๋หมิ่นไม่ลังเลเมื่อถูกถามถึงเรื่องภารกิจ เขาพูดทุกอย่างที่เขารู้ทันที
หลังจากนั้นไม่นาน อู๋ลั่นก็พยักหน้าเล็กน้อย
“เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าเล่ามา ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด เขาถือได้ว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้า เรื่องนี้จึงไม่สามารถตำหนิเจ้าได้ในการที่เจ้าจัดการกับเขาไม่สำเร็จ”
หลังจากพอจะเข้าใจข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างคร่าว ๆ อู๋ลั่นจึงสรุปเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง
“ใช่ ตระกูลอู๋ของผมไม่มีพลังที่จะต่อกรจริง ๆ ได้โปรดช่วยผมกำจัดชายหนุ่มคนนั้นให้ผมที!”
อู๋หมิ่นอ้อนวอนอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น อู๋ลั่นเองก็ไม่รอช้า เขาพยักหน้าตกลงอย่างไร้กังวล
…
สองวันต่อมา
“พ่อจ๋า ๆ หนูอยากไปเล่นที่บริษัทของพ่อวันนี้! หนูคิดถึงเพื่อน ๆ ของหนูที่นั่น!”
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กน้อยจึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษ ดังนั้นเธอจึงตื่นแต่เช้าและรีบไปที่ห้องของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตื่นเต้นและตะโกน
“โอเค พ่อตกลง!”
เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่โตของลูกสาว และเห็นว่าเด็กน้อยคาดหวังมาก อวี้ฮ่าวหรานก็ตกลงในทันที
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองก็ออกไป
ถวนถวนนั่งอยู่ในรถสปอร์ตคันใหม่ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กน้อยดูตื่นเต้นอย่างมาก
รถสปอร์ตวิ่งออกไปจากเขตที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไปถึงย่านไร้ผู้คน ในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังจะเหยียบคันเร่งเพิ่ม ร่างของคน ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางถนน!
ชายผู้นั้นสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาหลุดมาจากยุคโบราณ
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงเหยียบเบรกอย่างรุนแรงทันที!
อวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่อสูรที่ไร้หัวจิตหัวใจ เขาไม่สามารถขับรถชนคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือเปล่าไม่ได้
หลังจากเบรกอย่างเร่งรีบ รถสปอร์ตสีเหลืองสดใสก็หยุดนิ่งกลางถนน!
รถสปอร์ตคันนี้คู่ควรกับเงินเกือบสิบล้านเป็นอย่างมาก ระบบเบรกของมันยอดเยี่ยมกว่ารถคันเก่าของเขาอย่างเทียบกันไม่ได้
หากเป็นรถคันเก่า ระยะห่างสั้น ๆ แบบนี้รถไม่มีทางหยุดทันแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวไม่ได้ดูตื่นตระหนกเลย เขามองดูอวี้ฮ่าวหรานอย่างเฉยเมยพร้อมกับเอามือไพล่หลังอย่างองอาจ
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วของตัวเองเมื่อเห็นสิ่งนี้…นี่มันผิดปกติ
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ลงจากรถไปถาม ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวก็ตะโกนถามขึ้นก่อน
“เจ้าคืออวี้ฮ่าวหรานใช่ไหม?!”
น้ำเสียงของชายเสื้อคลุมเขียวหยิ่งผยองมาก
“เพื่อเห็นแก่ที่เจ้ามีไหวพริบดีไม่ขับรถพุ่งเข้าชนข้าเหมือนคนโง่ ข้าจะฆ่าเจ้าโดยจะปล่อยให้ศพของเจ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์!” เขาเยาะเย้ย
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ยืนยันได้แล้วว่าคนที่มาขวางทางเขาคือศัตรู ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงลงจากรถ
“แกเป็นใคร แกรู้จักฉันได้ยังไง?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าผู้นี้เป็นใคร เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้มีเพียงอย่างเดียวก็คือเจ้าจะต้องตายวันนี้”
ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูกราวกับว่าเขากำลังพูดกับมดแมลง
“แต่ก็เอาเถอะ ข้าบอกให้เจ้ารู้สักนิดหน่อยก็ได้ว่าข้าเป็นคนที่ตระกูลอู๋ส่งมาเพื่อฆ่าเจ้า อย่างน้อย ๆ หลังจากรู้เรื่องนี้เจ้าจะได้ไม่ตายอย่างคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยว่าใครฆ่าเจ้า!”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกตลกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าจะฆ่าฉันได้?”
เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เปิดใช้เนตรเทวะเพื่อดูความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งหลังจากที่มองดูเขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย…