ว่าอย่างไรนะ? นางได้ยินไม่ผิดไปใช่หรือเปล่า!
ฮวงอี๋ฮวนต้องการสลับตัวไปเป็นเจ้าสาวของฉีเฉิงเฟิงงั้นหรือ?
ฉีเฉิงเฟิงช่างมีเสน่ห์เหลือล้นจริง ๆ! วัน ๆ ไม่ต้องทำสิ่งใดเพียงแค่อาศัยใบหน้าอันงดงามเย้ายวนสาว ๆ
ซูหวานหว่านไม่รู้จะพูดอะไร จึงเอ่ยออกมาว่า ฮวงอี๋ฮวน เจ้าเอาเงินเพียงไม่กี่ตำลึงมาหลอกล่อข้าอย่างงั้นหรือ? เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าฉีเฉิงเฟิงมีความสำคัญต่อข้ามาก ต่อให้เจ้าเอาเงินมากมายมากองตรงหน้าข้า ข้าก็ไม่มีวันยอม!
หึ้ย! เจ้าอย่ามาโก่งราคาเสียให้ยาก เงินสิบตำลึงนี้ก็มากพอแล้ว! ฮวงอี๋ฮวนถึงกับหน้าแดง
เพราะว่าเงิน 10 ตำลึงนี้เป็นเงินที่นางขโมยมาจากพ่อของตนเอง
ซูหวานหว่านยิ้มบางเบา เจ้าขโมยเงินนี้มาจากห้องนอนของพ่อเจ้า เจ้าไม่กลัวถูกพ่อเจ้าตีงั้นเหรอ?
เจ้า! เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเอามันมาจาก… ฮวงอี๋ฮวนเงียบไป ข้าไม่ได้ขโมยมัน
ชัดเจนขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่ใช่อีกหรือ?
ซูหวานหว่านกลอกตาและเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาว่า ข้าแนะนำให้เจ้าล้มเลิกความคิดที่จะอยากเป็นเจ้าสาวของฉีเฉิงเฟิง แล้วรีบกลับไปซะ เอาเงินของเจ้าคืนไป มิฉะนั้นเจ้าอาจจะไม่สามารถมางานแต่งของข้าได้!
เจ้า! ฮวงอี๋ฮวนโกรธมากแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงเดินออกไปพร้อมกับเงินของตนเอง
ซูหวานหว่านพูดขึ้นมาว่า เจ้ายังคงไม่รู้สินะว่า ฉีเฉิงเฟิงกับข้าสนิทกันมาก ปกติแล้วเราจะเรียกกันและกันว่า…. สามีและภรรยา!
เจ้า! นังผู้หญิงแพศยา! เจ้าพูดจาไร้สาระอันใด! คิดว่าข้าไม่กล้าฉีกปากเจ้างั้นรึ! ตอนนี้ฮวงอี๋ฮวนเหมือนคนเสียสติก็ไม่ปาน ซูหวานหว่าน! ข้าจะฆ่าเจ้า!
เหอะ ซูหวานหว่านหัวเราะเยาะเย้ยออกมา เด็กสาวคว้ามือฮวงอี๋ฮวนที่เกือบจะข่วนลงบนหน้าของนาง เนื่องจากออกแรงกะทันหันทำให้เล็บของฮวงอี๋ฮวนนั้นหักในทันใด
ฮวงอี๋ฮวนตกใจ ซูหวานหว่าน! ข้าจะทนกับเจ้าไม่ไหวแล้วนะ
ฮวงอี๋ฮวนยกเท้าของตัวเองขึ้นมา แต่จู่ ๆ นางก็ถูกดึงคอเสื้อจากด้านหลังและยกขึ้นเบา ๆ
เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมารังแกผู้หญิงของข้า!
น้ำเสียงเย็นชาที่แฝงไปด้วยความดุดันทำให้ฮวงอี๋ฮวนตกใจจนตัวสั่น เมื่อหันกลับไปก็พบว่าเขาคนนั้นคือฉีเฉิงเฟิง ทำให้นางตื่นตระหนกและละอายใจขึ้นมา ข้าไม่กล้าแล้ว! ท่านปล่อยข้าลงเดียวนี้!
ได้ ฉีเฉิงเฟิงตอบรับ แต่กลับยกตัวฮวงอี้ฮวนขึ้นสูงกว่าเดิม จากนั้นก็ปล่อยตัวฮวงอี๋ฮวนลงกับกระแทกกับพื้นจนนางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
ไสหัวออกไป! ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาอย่างเย็นชา ฮวงอี๋ฮวนยันตนเองขึ้นจากพื้นอย่างร้อนรน คว้าถุงเงินที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาและวิ่งหนีไปทันที
ฮวงอี๋ฮวนเดินออกไปไกลแล้ว ฉีเฉิงเฟิงหมุนร่างกลับมา เดิมทีเด็กสาวคิดว่าเขากำลังจะกลับบ้าน ทว่าชายหนุ่มกลับเดินเข้ามายื่นกล่องใบหนึ่งมาให้ตนพร้อมรอยยิ้ม… รอยยิ้มของเขาที่สามารถทำให้ผู้ที่พบเห็นตกหลุมรักได้ง่าย ๆ! อันนี้ข้ามอบให้แก่เจ้า คาดไม่ถึงว่าตอนข้ามาถึงจะพบเจ้าถูกผู้อื่นรังแก และดูเหมือนว่าจะได้ยินบางอย่าง…
ฉีเฉิงเฟิงก้มลงเอ่ยกระซิบข้างหูของซูหวานหว่าน และเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา หื้ม ภรรยา?
น้ำเสียงนุ่มทุ้มของฉีเฉิงเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นแหบแห้ง ซูหวานหว่านได้ยินดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ เมื่อคิดว่าฉีเฉิงเฟิงอาจจะมาถึงนานแล้ว และเพราะว่าเห็นฮวงอี๋ฮวนจึงซ่อนตัวไว้ คำพูดที่นางพูดกับฮวงอี๋ฮวนไปเมื่อกี้ บางทีฉีเฉิงเฟิงอาจจะได้ยินหมดแล้ว? ซูหวานหว่านจึงพูดว่า เจ้าได้ยินผิดแล้ว ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย
อ่า? งั้นตอนนี้ข้าอยากได้ยินเจ้าพูดแล้ว หลังจากนั้นฉีเฉิงเฟิงก็โยนกล่องใบนั้นทิ้งแล้วโอบเอวของนางเข้ามาใกล้ชิด ข้าอยากจะฟัง ถ้าไม่อย่างนั้น…
พูดจบก็ประกบริมฝีปากของซูหวานหว่านทันที คนทั้งสองจูบกันอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน ซูหวานหว่านรู้สึกว่าร่างกายของนางร้อนผ่าว และกลัวว่าชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาอาจจะเห็นเข้าได้ จึงรีบผลักตัวฉีเฉิงเฟิงออกอย่างเขินอาย รีบพูดคำที่ฉีเฉิงเฟิงอยากได้ยินออกมา สามี…
ข้าไม่ได้ยิน ฉีเฉิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เหมือนเหล่าอันธพาลที่ชอบเอ่ยเกี้ยวหญิงสาว แต่ซูหวานหว่านรู้สึกยินยอมพร้อมใจ นางผลักฉีเฉิงเฟิงออกไปและพูดออกมาอีกครั้ง หลังจากพูดคำที่น่าอายไปแล้ว ฉีเฉิงเฟิงก็ยังไม่หยุด
ซูหวานหว่านได้ยินเสียงฝีเท้าของชาวบ้านที่กำลังเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวยของนางก็พลันตั้งตรง และผลักฉีเฉิงเฟิงออกไปพร้อมพูดออกมาว่า ฉีเฉิงเฟิง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! รอให้ข้าโตก่อน เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถจัดการเจ้าได้! แล้วเจ้าจะรู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความเสียใจ!
เจ้าก็โตขึ้นแล้วนี่ ฉีเฉิงเฟิงก็พูดออกมาด้วยความอ่อนโยน กวาดสายตาขึ้นลงไม่หยุด
เอาเป็นว่า… งั้นเจ้าก็รีบ ๆ โตขึ้นอีกสักหน่อยเถอะ ใบหน้าของฉีเฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ฉีเฉิงเฟิงนั้นเป็นคนที่มีทิฐิสูงมาก พลันใดนั้นซูหวานหว่านรู้สึกอ่อนแรง เจ้า!
เมื่อเห็นว่านางกำลังจะโมโห ฉีเฉิงเฟิงก็ยิ้มออกมาตามปกติพร้อมกับหยิบกล่องบนพื้นขึ้นมาแล้วยื่นให้ซูหวานหว่าน นี่ของเจ้า
ซูหวานหว่านกำลังจะเปิดภายในกล่องออกดู ฉีเฉิงเฟิงกลับพูดออกมาว่า สิ่งนี้เป็นชุดแต่งงานที่ข้าสั่งทำให้เจ้าเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นเจ้าสามารถใส่มันในวันงานแต่งของเราได้เลย
ด้านบนของกล่องแกะสลักเป็นลวดลายดอกโบตั๋น ด้านข้างกล่องเป็นสีเงินเปล่งประกาย ดวงตาซูหวานหว่านวาววับ รู้สึกประหลาดใจที่มันทำมาจากเงินแท้ หากสังเกตดี ๆ กล่องใบนี้ยังถูกฝังเอาไว้ด้วยมุก ดูน่าสนใจทีเดียว
เมื่อฉีเฉิงเฟิงเห็นชาวบ้านกำลังเดินมาทางนี้ จึงตัดสินใจจะกลับบ้านแต่ก็ถูกซูหวานหว่านรั้งเอาไว้ รอให้ชาวบ้านที่จะมาช่วยงานเข้าไปในบ้านก่อน แล้วพูดออกมาว่า เรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า หากพวกเราแต่งงานกันแล้ว เจ้าต้องสัญญากับข้าอย่างหนึ่ง
สิ่งที่เจ้าจะขอ แน่นอนว่าข้าจะตอบตกลง ฉีเฉิงเฟิงตอบออกมา
เจ้านี่ชอบพูดจาเช่นนี้เสมอเลย ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ก่อนเลย หากข้าอายุไม่ถึงยี่สิบพวกเราไม่สามารถหลับนอนกันได้ ซูหวานหว่านพูดออกมา
ย่อมได้ ฉีเฉิงเฟิงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล เพราะว่าเขานั้นไม่รีบ
ซูหวานหว่านราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ฉีเฉิงเฟิงก็ยิ้มออกมาอีกครั้งและพูดว่า สาวน้อย เมื่อเจ้าต้องการ เจ้าสามารถเริ่มก่อนได้เลย เดี๋ยวข้าจะตามน้ำไป
เฮอะ! ซูหวานหว่านส่งเสียงฮึดฮัดออกมา แก้มของนางแดงก่ำ เดินกลับไปที่ห้องพร้อมกับกล่องในมือ
ด้วยความช่วยเหลือจากชาวบ้านจำนวนมาก ตระกูลซูจึงจัดเรือนหอเสร็จอย่างรวดเร็ว และเตรียมการทุกอย่างเสร็จตามเวลา
เนื่องจากฉีเฉิงเฟิงเป็นคนในหมู่บ้านและแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง สถานที่จัดงานจึงเกิดขึ้นที่บ้านของซูหวานหว่าน
ชาวบ้านต่างมาช่วยงานตั้งแต่เช้าตรู่ บรรยากาศภายในบ้านตระกูลซูคึกคักมาก ทั้งสองเตรียมตัวอยู่ในห้องโถง วันนี้ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงงดงามสะดุดตามากเป็นพิเศษ ชุดแต่งงานของซูหวานหว่านถูกตัดเย็นอย่างพอดีตัว ตัดเย็บด้วยด้ายสีทอง กระโปรงปักลวดลายหงส์
เมื่อเห็นถึงความงดงาม ชาวบ้านจำนวนมากก็ส่งเสียงชื่นชมไม่หยุด
ทันใดนั้นหญิงคนหนึ่งก็ชี้ไปที่เสื้อผ้าของซูหวานหว่านและพูดว่า ที่แท้กระกูลซูก็ยากจนเช่นนี้ นางขโมยชุดแต่งงานของข้าไป! นางยังกล้าที่จะใส่มันในงานแต่งตัวเองอีก!
ขโมยชุดแต่งงานผู้อื่นมาใช้ ถือเป็นข้อห้ามร้ายแรง!
ทันใดนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้น ชาวบ้านมองซูหวานหว่านด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นและมองไปที่หญิงคนนั้นที่อายุราว ๆ 50 ปี ท่านยายผู้นี้ ท่านกำลังพูดอะไรอยู่?
ชุดแต่งงานของเจ้า! เพียงมองดูก็รู้ว่ามันถูกขโมยมา! ชุดตัวนั้นดูราคาแพงยิ่งนัก! ด้ายสีทองและด้ายสีเงินบนนั้นเป็นของแท้! ราคาอย่างต่ำก็พันตำลึง!
ทันใดนั้นชาวบ้านก็เริ่มส่งเสียงพูดคุยกัน มันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะซื้อชุดแต่งงานในราคาพันตำลึง! แน่นอนว่ามันจะต้องถูกขโมยมา!
ในหมู่บ้านมีข้อห้ามตามประเพณี การขโมยชุดมาแต่งงานจะสร้างปัญหาให้กับผู้คนที่มาเฉลิมฉลอง ครอบครัวจะแตกแยก ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงพูดออกมาว่า พวกเจ้าอย่าแต่งงานเลย! ถอดเสื้อผ้านั้นแล้วเอาคืนไปซะ! อย่าสร้างปัญหาให้แก่พวกเรา!
นั่นสิ! ถอดมันออก! อย่าแต่งงานเลย!