เหตุใดถึงโกหกข้าว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่? ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกเจ็บปวด ไม่รู้ว่าหยดน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อใด แต่เมื่อเห็นนิ้วมือของซูหวานหว่านขยับเล็กน้อยเขาก็ตกใจทันที
ชายหนุ่มก้มมองใบหน้าของหญิงสาวก็พบว่านางได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว หญิงสาวคลี่ยิ้ม ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของฉีเฉิงเฟิง สามีของข้า เหตุใดถึงกลายเป็นเด็กขี้แยไปได้ หื้อ?
ข้าร้องไห้เสียเมื่อไรกัน? ฉีเฉิงเฟิงรวบตัวของซูหวานหว่านเข้ากอดไว้และโยกตัวไปมา ราวกับผู้ใหญ่กำลังปลอบโยนเด็กน้อย ต่อไปนี้เจ้าห้ามแกล้งข้าว่าเจ้าตายแล้วอีกนะ!
ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว ซูหวานหว่านรับปากอย่างช่วยไม่ได้
จากนั้นซูหวานหว่านก็ถามถึงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนาง ‘จมน้ำ’ ไป หากแต่ฉีเฉิงเฟิงไม่อยากให้ซูหวานหว่านเสียใจไปมากกว่านี้ เขาบอกเพียงชาวบ้านไม่ได้สนใจสิ่งใดอีกเท่านั้น ไม่ได้บอกเรื่องที่ซูเสี่ยวเหยียน ‘กลับมาแล้ว’ และร่วมมือกับตระกูลซูทำเรื่องเลวร้ายกับนาง
ซูหวานหว่านได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกเศร้าใจ หญิงสาวเอนศรีษะซบลงที่อกของฉีเฉิงเฟิง และทันใดนั้นก็เห็นดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า…กำลังจะมืดลง
ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน? ซูหวานหว่านลุกขึ้นยืนพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ และพบว่าสถานที่นี้มันแปลกตามาก จึงแอบถามนกตัวหนึ่งที่บินผ่านมา แต่มันก็ไม่สามารถตอบนางได้
หลังจากสำรวจที่นี่อีกครั้ง นางก็รู้สึกว่าที่แห่งนี้กว้างขวางมาก และไม่เห็นบ้านสักหลังเลย
ซูหวานหว่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแบ่งหน้าที่ให้ฉีเฉิงเฟิง หลังจากนั้นไม่นานกองไฟก็ถูกก่อขึ้น ชายหนุ่มจับปลาจากแม่น้ำ จัดการผ่าท้องทำความสะอาดมันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำมาเสียบกิ่งไม้และลงมือย่างด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้ซูหวานหว่านเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัยไม่ได้ว่า เจ้าเป็นลูกคนรวยไม่ใช่หรอกหรือ เหตุใดเจ้าถึงรู้วิธีตกปลาและฆ่ามันพร้อมกับก่อฟืนทำอาหารล่ะ?
ข้า…ถึงแม้ว่าจะเป็นคุณชายตระกูลร่ำรวย แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน หากข้าทำอาหารไม่เป็น ป่านนี้ข้าคงหิวตายไปนานแล้ว ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองเล็กน้อย
ซูหวานหว่านอยากจะถามเรื่องพ่อแม่ของฉีเฉิงเฟิง แต่นางก็ไม่อยากที่จะเห็นเขารื้อฟื้นอดีตที่เขาเองก็ไม่อยากพูด นางจึงจ้องมองปลาที่ถูกย่างพลางเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าไม่เป็นคนเลือกกิน ดูสิ เจ้าทำปลาไม่อร่อยขนาดนี้แต่เจ้ายังกินปลาตัวนี้ได้อีก
พูดจบซูหวานหว่านก็ยื่นมือออกไปหยิบปลาในมือของฉีเฉิงเฟิงมาพร้อมกับหยิบน้ำมันและเกลือซึ่งเก็บเอาไว้ในมิติฟาร์มออกมา หญิงสาวโรยเครื่องปรุงเหล่านั้นลงบนตัวปลาแล้วส่งมันให้กับฉีเฉิงเฟิง หลังจากนั้นก็หยิบปลาอีกตัวมาปรุงรสและนำมันไปย่างอีกครั้ง
นี่เจ้ากำลังเยาะเย้ยข้าอย่างงั้นเหรอ? แต่ข้าว่าที่เจ้าทำนั้นคงจะไม่อร่อยเท่าของข้าหรอกนะ ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะ ชายหนุ่มยื่นมือไปลูบใบหน้าของซูหวานหว่าน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เจ้าบอกว่าข้าทำไม่อร่อย งั้นพอปลาสุกเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็อย่าตะกละกินมันล่ะ ไม่อย่างงั้นข้าอาจจะหัวเราะเยาะเจ้าได้ ซูหวานหว่านพูดพร้อมกับใช้แสงจากดวงอาทิตย์เดินหาฟืนพร้อมก่อไฟขึ้นมาอีกกอง
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกัน สายลมหนาวก็พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไฟที่ก่อโหมกระหน่ำ ทำให้ปลาที่ฉีเฉิงเฟิงย่างสุกดีแล้ว ในตอนนี้พวกเขามีความสุขมาก
ซูหวานหว่านขบคิด และตัดสินใจแลกคะแนนหนึ่งแสนแต้มเพื่อแลกกับยาเม็ดที่ทำให้ฉีเฉิงเฟิงนั้นลืมเรื่องราวบางอย่าง นางนำยาผสมกับเนื้อปลาและป้อนใส่ปากของฉีเฉิงเฟิง ชายหนุ่มรับมันมากินอย่างว่าง่าย และทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าซูหวานหว่านได้ย่างปลาเอาไว้อีกตัว พร้อมกับหันศีรษะมาพูดกับซูหวานหว่านว่า นี่แม่สาวน้อย ปลาของเจ้าสุกแล้ว เจ้าควรจะรีบกินปลาแล้วไปเข้านอนนะ พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยหาทางออกจากที่นี่กัน
ได้สิ ซูหวานหว่านตอบรับ
ฉีเฉิงเฟิงไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เข้าไปนอนในมิติฟาร์ม แสดงว่าเขาได้กินยาลืมความทรงจำไปแล้ว ทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกโล่งอก นางพยายามมองหากิ่งไม้เพื่อนำมาทำฟืนก่อไฟอีกครั้ง นางหาหินก้อนใหญ่ทุบลงไปบนกิ่งไม้ ทันใดนั้นก็มีกลิ่นหอมลอยโชยฟุ้งออกมา
ซูหวานหว่านหักกิ่งไม้มาทำเป็นตะเกียบ จัดการทำความสะอาดและส่งมันให้ฉีเฉิงเฟิง ก่อนที่นางจะกินเนื้อปลาอีกคำ ฉีเฉิงเฟิงก็ได้คีบเนื้อปลาวางเอาไว้บนใบไม้ในมือของซูหวานหว่านแล้วพูดออกมาว่า เจ้ากินก่อนเลย ข้าจะย่างมันให้
สามีดูแลเอาใจใส่นางมากเช่นนี้ ซูหวานหว่านเองก็จำต้องทำตามคำสั่งและลงมือกินข้าวต่อไป นางกินปลาไปก็มองดูฉีเฉิงเฟิงที่ย่างปลาไปพร้อมกับคิดว่ามีชายหนุ่มรูปงามอยู่ข้าง ๆ ถึงแม้จะเย็นชาเล็กน้อย ก็รู้สึกดีเหมือนกัน
ฉีเฉิงเฟิงย่างปลาจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มกลบกองไฟให้มอดลง แล้วลุกขึ้นนั่งลงข้าง ๆ ชี้ไปที่ขาของตนเองแล้วพูดว่า เจ้านอนลงบนนี้ได้ตามต้องการ นี่คือหมอนของเจ้า เจ้านอนเถอะ ข้าจะเฝ้ายามให้เอง
ทันทีที่พูดจบประโยค ซูหวานหว่านก็นึกถึงภาพที่ทั้งสองต้องนอนด้วยกันในคืนนั้นบนภูเขา …หากรวมครั้งก่อนนี้ เช่นนั้นก็นับเป็นครั้งที่สองแล้ว!
ซูหวานหว่านไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย นางล้มตัววางศีรษะลงบนขาของฉีเฉิงเฟิง ทว่าทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำพร้อมกับพูดว่า พวกเจ้าเป็นใครกัน! เหตุใดถึงเข้ามาขโมยปลาของข้า! ดูสิว่าข้านั้นจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไรดี!
นี่คือบ่อเลี้ยงปลางั้นหรือ?
ซูหวานหว่านตกใจไปครู่หนึ่ง แต่นางก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก นางหยิบหน้ากากออกมาสองอันส่งให้กับฉีเฉิงเฟิง สวมหน้ากากอีกอันบนใบหน้าของตัวเอง ซึ่งไม่นานนักคนเหล่านั้นก็เดินมาถึงฝั่งที่พวกเขากำลังนอนอยู่
คบเพลิงคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ชายกลุ่มนั้นพายเรือเข้ามาใกล้ ๆ เมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังนั่งรออย่างสงบ อีกฝ่ายก็พลันชี้ไปยังก้างปลาที่พื้นพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความโกรธ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ครอบครัวของพวกเราจะเลี้ยงปลาเหล่านี้ ถึงแม้ว่าปลาพวกนั้นจะไม่อ้วนมาก และแม้ว่าในช่วงนี้มันจะขายไม่ได้ แต่ว่าพวกเจ้าก็ไม่ควรที่จะมาขโมยปลาของข้าแบบนี้ พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถฆ่าคนที่มาขโมยปลาของข้าได้!
ข้อต้องขออภัยด้วย ซูหวานหว่านกล่าวออกมายิ้ม ๆ พร้อมกับยกหัวของตัวเองขึ้นมาจากขาของฉีเฉิงเฟิง หญิงสาวลุกขึ้นนั่งแล้วพูดออกมาช้า ๆ ว่า พี่ชาย พวกเราไม่รู้ว่านี่คือบ่อเลี้ยงปลาของท่าน พวกเราสองคนเพิ่งมาที่นี่ เห็นว่าที่นี่เป็นแม่น้ำ ข้าก็เลย…
เมื่อได้ยินทั้งสองคนพูดออกมาอย่างจริงใจ ชายคนนั้นก็ถอนหายใจออกมาและพูดว่า ถึงจะเป็นอย่างงั้นเจ้าก็ไม่ควรทำแบบนี้! ครอบครัวของข้าได้เช่าแม่น้ำที่อยู่ใกล้ ๆ แถวนี้เอาไว้หมด และทะเลสาบที่อยู่ตรงนั้นก็เป็นของครอบครัวข้า!
ข้าต้องขอโทษจริง ๆ ซูหวานหว่านกล่าวขอโทษออกมาอีกครั้ง พร้อมกับหยิบเงินออกมาแล้วยื่นให้เขา เช่นนั้นพวกข้าสองคนขอซื้อปลาสองตัวนี้แล้วกัน ท่านจะว่าอย่างไร?
ชายคนนั้นรับเงินไป เพราะรู้ว่าพวกเขาสองคนมีเหตุผลและไม่ได้เอ่ยตำหนิอะไรซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงอีก แต่รู้สึกว่าเงินที่เขาได้รับมานั้นมันมากเกินไป จึงเกิดความรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เลยทำการเชิญทั้งสองขึ้นเรือและพูดว่า บ้านของข้าอยู่ตรงนั้น พายเรือใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ หากพวกเจ้าทั้งสองไม่รังเกียจก็สามารถไปนอนพักที่บ้านของข้าก่อนก็ได้ คืนนี้อากาศหนาวมาก พวกเจ้าทั้งสองคนค้างคืนที่บ้านข้ากันก่อนเถอะ ถึงแม้จะร่างกายแข็งแรงขนาดไหนแต่ก็ทนกับอากาศหนาวเหน็บแบบนี้ไม่ได้หรอก
ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงมองหน้ากัน ก่อนทั้งคู่จะตอบตกลง เมื่อพวกเขาขึ้นไปบนเรือไม้ ชายคนนั้นก็เริ่มแนะนำตัวเอง และพวกเขาทั้งสองก็รู้ทันทีว่าบุคคลคนนี้มีนามว่าเฉียนฟู่ เขากำลังจะถามเกี่ยวกับเรื่องของทั้งสองคน แต่ทันใดนั้นก็เห็นคบเพลิงไฟอยู่ไกล ๆ และได้ยินเสียงพูดคุยกัน ดูเหมือนว่าคบเพลิงนั้นกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
พวกเจ้ากำลังจะบอกว่าฉีเฉิงเฟิงเดินหานางตามแม่น้ำลงมาจริง ๆ อย่างงั้นหรือ?
มันก็ไม่แน่ เขารักซูหวานหว่านมาก มีหรือที่เขาจะไม่ลงไปช่วยซูหวานหว่าน?
ในกรงหมูนั้นมีก้อนหินอยู่จำนวนมาก กรงของมันคงจะจมลงไปถึงก้นแม่น้ำแล้ว เขาจะลงไปหานางได้อย่างไรกัน?
เจ้าจะใส่ใจเรื่องนี้ไปด้วยเหตุใดกัน? ซูเสี่ยวเหยียนจ่ายเงินมาแล้ว สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือจับตัวเขาไปให้นาง จะคิดเยอะไปทำไมให้มากความ!
…
คนเหล่านี้เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านของพวกเขาจริง ๆ!
อีกทั้งยังได้รับคำสั่งจากซูเสี่ยวเหยียนให้มาจับฉีเฉิงเฟิง? ซูหวานหว่านเหลือบไปมองฉีเฉิงเฟิงพร้อมกับจับหน้ากากของตัวเองไว้แน่น
นางกำลังจะเร่งให้เฉียนฟู่ออกเรือไป หากแต่เฉียนฟู่กลับลงจากเรือ!
ซูหวานหว่านเกิดอาการตื่นตระหนก หากไม่ออกเรือในตอนนี้ พวกเขาก็ไปไหนไม่ได้! และฉีเฉิงจะตกอยู่ในอันตราย!