บทที่ 51
อู่เหมยเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อนที่จะเกิดการต่อสู้อันแสนดุเดือดขึ้น แต่ถึงอย่างงั้นถังหยินก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาพาลูกน้องออกไป ทิ้งให้พวกอู่หลีเซียงเก็บกวาดสถานที่แทน
หลังออกมาจากโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มก็จูงม้าเดินไปตามท้องถนน จากจุดนี้รอยยิ้มชั่วร้ายหายไปจากใบหน้า สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาแทน ลูกน้องของเขาทุกคนเองก็เดินตามอย่างเงียบเชียบ
พวกเขาเคยคิดว่าถังหยินเป็นชายที่ขี้ขลาด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะกล้ายิ่งกว่าใครอื่นเสียอีก พวกเขาคิดว่าถังหยินเป็นแม่ทัพได้เพราะใช้เส้นสายตามข่าวลือ แต่เมื่อพวกเขาเห็นความสามารถที่แท้จริงของถังหยินก็เริ่มคิดใหม่ ชายหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นคนที่โหดร้ายป่าเถื่อน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้ามันก็ทำให้พวกเขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ
บอกได้เลยว่าถ้าเป็นการต่อสู้ในสนามรบจริง ๆ ถังหยินน่าจะทำให้ทุกคนหวาดกลัวได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ชิวเจิ้นที่ดูจะเข้าใจเขามากที่สุดก็คงเช่นเดียวกัน
ในตอนนี้ทุกคนดูจะมีมุมมองต่อถังหยินในแบบที่ให้ความเคารพมากขึ้น และครั้งนี้มันก็เป็นความตั้งใจจริงไม่ใช่การแสร้งทำ เขาเดินไปโดยที่มีผู้คนเดินตามอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรง
หลังจากเดินกันไปสักพัก ถังหยินก็หยุดแล้วหันมาบอกกับทุกคนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยหรือไง? พวกเจ้าต้องการให้ข้าพิสูจน์ตัวเองอีกไหมล่ะ?”
ทุกคนต่างก้มหัวลง ไม่มีใครกล้าตอบอะไรทั้งนั้น
ถังหยินสะบัดเชือกม้า “ในอนาคต ห้ามก่อปัญหาให้ข้าอีก ถ้าอยากจะสู้กับกองพันอื่นละก็ ถ้างั้นก็จัดการมันเพื่อข้าซะ พวกเจ้าไม่มีปัญญาจะสู้แต่กลับรอให้คนอื่นมาจัดการแทนแบบนี้มันใช่หรือไงกัน? พวกเจ้ามันอ่อนแอ ข้าเกือบเสียหน้าก็เพราะพวกเจ้า!”
ยิ่งเขาพูด ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกผิด ยิ่งในตอนท้ายทุกคนแทบจะเอาหน้าแนบไปกับดินอยู่แล้ว
การกระทำของพวกเขาทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิด “ตอนนี้พวกเจ้ารู้ตัวแล้วสินะว่าตัวเองเป็นยังไง ถ้าพวกเจ้าอยากจะดูถูกคนอื่น ถ้างั้นก็ต้องมีความสามารถที่แท้จริงก่อน ไม่งั้นแล้วถ้าหากโดนรังแกก็ไม่มีใครช่วยพวกเจ้าหรอก”
“พวกเราเข้าใจแล้วขอรับ!” เมื่อได้ยินโทนเสียงที่ผ่อนคลาย ทุกคนก็เริ่มสบายใจขึ้นมาบ้าง
“เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว” ถังหยินโบกมือ
“พวกข้าน้อยขอตัวลา!” หลังพูดจบพวกเขาก็รีบวิ่งหนีหายไป
อัยเจียคือหนึ่งในคนที่ยังอยู่เช่นเดียวกับ ชิวเจิ้น กู่เยว่ และหลีเทียน “ขอบคุณท่านแม่ทัพถังที่มาช่วยชีวิตข้า”
ถังหยินเหลือบตามองและกระโดดขึ้นม้าไป “ข้าบอกไปแล้วว่าผู้หญิงน่ะเป็นตัวปัญหา ถ้าเจ้าจัดดอกไม้ไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไรอื่นได้กัน ? ”
นางไม่ได้ยินคำพูดทั้งหมด และไม่เข้าใจด้วยว่าหมายถึงอะไร แต่สัมผัสได้เลยว่าไม่ใช่คำพูดด้านดีแน่ จริง ๆ แล้วนางก็ดีใจที่เขามาช่วยอยู่หรอก ทว่าเมื่อได้ยินคำดังกล่าว มันก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธอย่างรวดเร็ว
“พวกผู้หญิงน่ะกลับบ้านไปเสีย และอย่ามาตอแยกับผู้ชายนอกบ้าน!” หลังพูดจบเขาก็ส่ายหัวไปยังชิวเจิ้นและคนอื่นเพื่อบอกให้คนอื่น ๆ กลับไปยังเรือนพัก ทิ้งให้อัยเจียยื่นนิ่งอยู่ตรงนั้น
นางไปตอแยกับผู้ชายเมื่อไหร่กัน? อังเจียยืนคิดอยู่นานก็ได้สติและสบถด่าในใจ ก่อนที่สุดท้ายแล้วหญิงสาวจะก้มหัวด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ คำพูดของถังหยินก็บ่งบอกถึงความหมายในตัวมันเองอยู่แล้ว อัยเจียหน้าแดง หัวใจเต้นระรัวไม่หยุด
เมื่อชายหนุ่มกลับมาถึงเรือนพัก เขาก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง ว่าแล้วจึงหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นอู่เหมยที่ตามเขามาไม่ไกล
“เจ้าทำอะไรอีก ? แล้วทำไมถึงต้องทำให้เรื่องมันใหญ่ขนาดนี้ด้วย?” เมื่อนางเข้ามาถึงก็ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง
ถังหยินยักไหล่ “ชิวเจิ้นบอกท่านไปหมดแล้วนี่? จะเอาอะไรอีกล่ะ”
“ไม่ว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงก็เถอะ แต่เจ้ารู้ไหมว่าหัวหน้ากองของพวกเขาตายไปตั้ง 4 คน? 4 คนเชียวนะ เจ้านี่มันโหดร้ายมาก!”
“อ้อเหรอ?” ถังหยินเผยอปากเชิดหน้าขึ้น “ข้าจัดการไป 5 คน แต่ดันตายแค่ 4 ซะงั้น สงสัยข้าเริ่มจะมือตกเสียแล้ว”
อู่เหมยเกือบจะหลุดการควบคุมอารมณ์ นางพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้ “เจ้าฟังที่เราพูดบ้างไหม? เจ้าฆ่าคนไป 4 คนนะ! เจ้าไม่กังวลถึงสถานการณ์ตัวเองบ้างเลยหรือไง? เจ้าคิดว่าพวกเหลียงจะปล่อยเรื่องนี้ไปหรือ?”
“ถ้าพวกนั้นคิดจะเอาคืนข้าในสนามรบงั้นก็ดีเลย ที่แบบนั้นข้าไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย แต่ก็นะ ถ้าหนึ่งในนั้นมีความสามารถมากเสียหน่อย พวกเขาก็คงไม่ต้องตาย ใช่ไหมล่ะ? ข้าแค่จัดการคนที่ต้องถูกจัดการเท่านั้นเอง ถ้าพวกเหลียงไม่พอใจก็ให้มันเข้ามาหาข้าเองเลยสิ” ถังหยินพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“เจ้าหมายความว่ายังไง?!” อู่เหมยพูดด้วยความโกรธ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กองพันของเจ้าก็ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา ถ้าพวกเหลียงจะทำอะไรก็ต้องผ่านเราก่อน เจ้าคิดว่าก่อเรื่องแล้วจะหนีไปได้หรือไง?”
ถังหยินพยักหน้า “ถ้างั้นท่านก็กลัวว่าข้าจะหนีสินะ ขอเชิญท่านปลดข้าออกจากตำแหน่งแม่ทัพได้เลย แล้วจากนั้นก็บังคับให้ข้าก้มขอโทษพวกมันซะก็สิ้นเรื่อง”
“เจ้า…” อู่เหมยแทบจะกรีดร้องด้วยความโมโห “เรากังวลเกี่ยวกับเจ้ามากเลยนะรู้ไหม?!”
ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวตรง ๆ จากนั้นก็ถอนหายใจ “ถ้าครั้งนี้ข้าสร้างปัญหาให้กับท่านมากเกินไป ข้าก็จะยอมก้มกราบขอขมาพวกเหลียงเอง เพราะข้าไม่อยากจะให้ใครต้องครหาเรื่องความสัมพันธ์ของข้ากับท่าน”
นางยิ่งเศร้าหมองไปกันใหญ่ “เจ้าบอกว่า เจ้ามองเราเป็นแค่สหายนี่นา”
“ใช่! แล้วข้าก็กำลังทำตัวเป็นสหายของท่านอยู่นี่ไง!”
“เจ้าบอกเองว่าถ้าเป็นสหายกันต้องเชื่อใจกันและกัน ข้าจำได้ดีเลยว่าคำพูดของเจ้าในครั้งนั้นมันแฝงไปด้วยความรู้สึกเหงาและเปล่าเปลี่ยวมากแค่ไหน”
ถังหยินตะลึง อันที่จริงชายหนุ่มก็เข้าใจในคำพูดของนาง เหมือนคิดอะไร เขาจึงหัวเราะออกมาดัง ๆ หญิงสาวมองเขาอย่างประหลาดใจ “เจ้าขำอะไร?”
“ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้พูดอย่างเกรงใจกับท่านขนาดนั้น จริงอยู่ที่ว่าท่านเป็นสหายของข้า เพราะงั้นข้าก็เลยพูดคำนั้นออกมา” ถังหยินหุบยิ้มและพูดออกมาจริงจัง “เพราะข้าคือสหายของท่าน ข้าจึงสนใจแค่ท่าน ข้าไม่อยากจะให้เรื่องมันยากขึ้นไปอีกและไม่อยากจะรบกวนท่าน ถ้าข้าไม่ได้เป็นสหายกับท่านละก็ ข้าก็คงไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก จริงไหม?”
ใบหน้าที่เศร้าหมองของอู่เหมยหายไป และถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจแทน
นางจ้องมองถังหยินตาไม่กะพริบ จากนั้นก็หัวเราะออกมา ใช่แล้ว แม้ถังหยินจะเป็นคนโหดร้ายทารุณ แต่จากคำพูดของเขามันก็ถูกต้องทุกอย่าง ถ้าเขาไม่สนใจนาง ป่านนี้ก็คงปล่อยนางเผชิญปัญหาไปแล้ว
หลังจากระลึกขึ้นได้ ความหนักอึ้งในใจก็ถูกยกออกไป หญิงสาวถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนที่สีหน้าจะกลับมาเป็นปกติ นางพูดด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าจะมีปัญหามากขนาดไหน แต่มันก็คงไม่ยากที่จะแก้หรอก ยังไงเสียพวกเหลียงหยวนก็เริ่มก่อนนี่นะ”
ถังหยินยักไหล่
ในตอนนี้ชิวเจิ้นก็เข้ามาขัดจังหวะ “ท่านแม่ทัพอู่ ข้าคิดว่าพวกเราควรจะใช้โอกาสนี้ไปยังเรือนของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายก่อนนะ!”
หลังจากที่รู้จักชิวเจิ้นมาระยะหนึ่ง นางจึงพอจะเข้าใจถึงความฉลาดและหลักแหลมของเขามาบ้าง แต่ข้อเสนอนี่มันเพื่ออะไรกัน ?
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นและพูดด้วยความตะลึง “ไปเรือนของเขาและมองหาเหลียงซิงก่อนน่ะหรือ? นี่เจ้าคิดจะให้พาถังหยินไปขอขมาพวกนั้นหรือไง?”
ชิวเจิ้นส่ายหัว “ท่านเข้าใจผิดแล้ว แทนที่จะให้พวกเขามาหา กลับกันพวกเราควรจะไปหาพวกเขาก่อนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเล่นตุกติกไงล่ะท่าน!”
ถังหยินพยักหน้าเห็นด้วย “ที่เจ้าพูดมาก็ถูกนะ”
หญิงสาวครุ่นคิดสักพักก่อนตอบ “ถ้าพวกเราไปที่นั่นก่อน เราเกรงว่ามีคนแค่นี้น่าจะยังไม่พอ ต้องมีคนอื่นไปด้วย”
“ใครกัน?” ชิวเจิ้นถาม
“ท่านพ่อของเราเอง” อู่เหมยหัวเราะ
เด็กหนุ่มรู้จักชายคนนั้นดี ดังนั้นเขาจึงหัวเราะออกมา “ถ้าท่านเสนาบดีอู่ไปด้วยก็น่าจะดีที่สุด ว่าแต่ท่านจะยอมมาหรือ?”
ถ้าพวกเขาไปที่บ้านเสนาบดีฝ่ายซ้ายก่อน เกรงคงจะตกอยู่ในกับดักของอีกฝ่ายเข้าได้ แต่ด้วยภาพลักษณ์ของอู่หยู นั่นจะทำให้ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับพวกเขา
หญิงสาวพูดอย่างมั่นใจ “อย่าหวั่นไปเลย ท่านพ่อของเราน่ะไม่ปฏิเสธคำขอจากเราหรอก”
ได้ยินแบบนั้นชิวเจิ้นก็โล่งอก แม้ว่าอู่เหมยจะเป็นคนจากตระกูลอู่ที่ทำให้ทุกคนหวั่นเกรง แต่มันก็ไม่มากพอที่จะข่มเหงพวกเหลียงได้ แต่ถ้ามีอู่หยูที่เป็นผู้นำตระกูลอู่ไปด้วย ยังไงเสียเหลียงซิงก็คงต้องไว้หน้ากันบ้าง