เฝิงหมัวมัวมองดูคนเก็บสถานที่จัดงาน จากนั้นก็สั่งให้ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงคอยปรนนิบัติรับใช้เหยาเยี่ยนอวี่ให้พานางกลับไปพักผ่อนในเรือน
ระหว่างทางที่เดินกลับไปนั้น ชุ่ยผิงเอ่ยถามเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความหวาดหวั่น “คุณหนูเจ้าคะ เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหนูสามแห่งจวนเยี่ยนอ๋องจะไม่โยนความผิดให้กับพวกเราใช่ไหม”
ชุ่ยเวยพลันโต้เถียงในทันควัน “สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสาวใช้ที่คอยดูแลอยู่ข้างกายคุณหนูสามไม่ดูแลนางให้ดี แล้วจะมากล่าวโทษพวกเราได้อย่างไร”
“ทว่าถึงอย่างไรคุณหนูสามก็ได้รับบาดเจ็บในสถานที่นี้” ชุ่ยผิงเป็นกังวลจริงๆ ตอนที่อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่มองคุณหนูของนางนั้น สายตาไม่ค่อยประสงค์ดีเท่าใดนัก อวิ๋นยั่งเป็นบุตรีเชื้อสายราชนิกุล หากเรื่องนี้จำต้องหาคนมารับผิดนั้น คุณหนูสามตระกูลซูก็มีองค์หญิงต้าจั่งที่มีอำนาจคอยหนุนหลัง อีกทั้งคุณหนูรองตระกูลหันก็ย่อมช่วยเหลือนางให้รอดพ้นความผิด หากจวนเยี่ยนอ๋องคิดอยากจะหาคนกระทำผิดย่อมต้องพิจารณาถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว มีเพียงคุณหนูของตนเท่านั้นที่เป็นแขกเหรื่อจากที่แดนไกล อีกทั้งยังเป็นเพียงบุตรีอนุภรรยา และยังอาศัยอยู่ในบ้านนามู่เยว์…
ชุ่ยผิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่า ท้ายที่สุดก็มีความเป็นไปได้ว่าเรื่องนี้จะจบลงที่คุณหนูของนางต้องถูกกล่าวโทษเป็นแน่ ขณะที่นางขบคิดก็แทบจะร่ำไห้
เมื่อเหยาเยี่ยนอวี่เห็นว่านางหวาดกลัวเช่นนี้ จึงยิ้มแล้วตำหนิ “เจ้าช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง เรื่องอื่นอย่าได้กล่าวถึง แต่เจ้าไม่รู้ในฤทธิ์ยาของคุณหนูพวกเจ้าเลยหรือไร ขอเพียงใบหน้าของอวิ๋นยั่งไม่เหลือรอยแผลเป็นทิ้งเอาไว้ แม้นพวกเขาจะไม่ขอบคุณข้า แต่ก็คงไม่ถึงขั้นกล่าวโทษข้ากระมัง ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้มีคนอยู่ในเหตุการณ์มากมาย เรื่องนี้เป็นเช่นไรก็ย่อมเป็นไปตามนั้น ใช่ว่าอยากจะกล่าวโทษผู้ใดก็สามารถกล่าวไปเรื่อยเปื่อยได้?”
ชุ่ยผิงไม่พูดสิ่งใดอีก ทว่าความกังวลภายในใจของนางไม่ได้ลดน้อยลง แน่นอนว่านอกจากชุ่ยผิงที่กังวลแล้วก็ยังมีผู้อื่นที่เป็นเช่นกัน
โดยคนแรกก็คือเหยาเฟิ่งเกอ นางที่เป็นพี่สาวของเหยาเยี่ยนอวี่ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในบ้านนามู่เย่ว์ แน่นอนว่านางไม่อาจแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ซูอวี้เหิงกลับมา ประจวบกับเวลานั้นนางก็กำลังเล่นกู่ไผ[1]อยู่ข้างกายองค์หญิงต้าจั่งพอดี ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ซูอวี้เหิงกลับมาแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง เหยาเฟิ่งเกอบอกซานหูในทันที “เตรียมของกำนัลชั้นดี พรุ่งนี้พวกเราจะไปเยี่ยมคุณหนูสามที่จวนเยี่ยนอ๋องแต่เช้า”
องค์หญิงต้าจั่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “เด็กในครรภ์ของเจ้ายังไม่แข็งแรงดี อย่าออกไปด้านนอกเลย เรื่องนี้เปิ่นกงจัดการเอง”
ซูอวี้เหิงซบลงตรงอ้อมแขนขององค์หญิงต้าจั่งแล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพี่เหยาแม้แต่น้อย พี่เหยายังนำยาทาแผลออกมาให้กับยั่งเอ๋อร์ ทั้งกล่าวอีกว่าจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอย่างแน่นอน ใช้เวลาเพียงยี่สิบกว่าวันก็หายดีแล้ว เสด็จย่า เยี่ยนหวังเฟยคงไม่กล่าวโทษพี่เหยาเรื่องนี้หรอกกระมัง”
องค์หญิงต้าจั่งหัวเราะ “เจ้าช่างพูดจาเหลวไหลยิ่งนัก เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็ย่อมเป็นไปเช่นนั้น เยี่ยนหวังเฟยจะกลับดำเป็นขาวได้อย่างไร”
เหยาเฟิ่งเกอพลันพูดขึ้น “แม้นจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าเยี่ยนอวี่ก็ย่อมต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว นางอายุมากกว่าเหิงเอ๋อร์สองปี การทำหน้าที่พี่สาวได้ไม่ดีคือสิ่งที่ไม่ควรกระทำ อีกทั้งเรื่องนี้ก็ข้องเกี่ยวกับจวนเยี่ยนอ๋อง พวกเราไม่ควรที่จะนิ่งดูดาย หลานสะใภ้ควรไปเยี่ยมเยียนด้วยตนเองสักหน่อยเพคะ หากไม่ไปเยี่ยมเยียน เกรงว่าจะทำให้เยี่ยนหวังเฟยไม่พอใจ ทั้งๆ ที่ทั้งสองตระกูลเป็นญาติกัน หากพวกเขาไม่พอใจกับเหตุการณ์นี้ ภายในใจของหลานสะใภ้คงไม่อาจปล่อยวางได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากวันข้างหน้าบิดาของหลานสะใภ้รับรู้เรื่องนี้แล้วรู้ว่าคนเป็นพี่สาวปล่อยปละละเลยเรื่องของน้องสาว เกรงว่าคงจะถูกกล่าวโทษเอาได้”
องค์หญิงต้าจั่งครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ไปเถอะ ประเดี๋ยวเปิ่นกงจะให้อันหมัวมัวไปกับเจ้า”
อันหมัวมัวคือนางกำนัลที่องค์หญิงต้าจั่งพาออกมาจากวังหลวง นางอยู่ปรนนิบัติรับใช้องค์หญิงต้าจั่งมานานหลายสิบปีแล้ว ในตอนหลังยังเคยได้เป็นแม่นมของซูกวงหลิง แม้นอันหมัวมัวจะเป็นเพียงบ่าวรับใช้ที่อยู่จวนองค์หญิงต้าจั่งและจวนติ้งโหว ทว่ากลับเป็นบ่าวที่มีเกียรติ นางอยู่แห่งใด ก็แสดงว่าองค์หญิงต้าจั่งก็อยู่ที่แห่งนั้น โดยปกติแล้ว แม้แต่ติ้งโหวและลู่ฮูหยินยังต้องให้เกียรตินางเลย
เช้าวันที่สอง เหยาเฟิ่งเกอแต่งกายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นก็นั่งรถม้าและนำของกำนัลมากมายไปเยี่ยมเยียนอวิ๋นยั่งที่จวนเยี่ยนอ๋อง
เดิมทีนางเตรียมตัวที่จะไปฟังคำถากถางของเยี่ยนหวังเฟย แม้ว่าอวิ๋นยั่งจะเป็นบุตรีอนุภรรยา ทว่าวันข้างหน้าหากนางสมรสได้ไม่ดีก็ถือว่าเกี่ยวข้องกับหน้าตาของจวนเยี่ยนอ๋อง ทว่าคิดไม่ถึงเยี่ยนหวังเฟยกลับพูดคุยกับเหยาเฟิ่งเกอด้วยความสุภาพ ทั้งยังกล่าวซ้ำๆ อีกว่าอวิ๋นยั่งเป็นเด็กที่ยังไม่รู้ความ เอาแต่ซุกซน สาวใช้ที่คอยดูแลปรนนิบัติรับใช้นางก็ประมาท จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจวนติ้งโหว คุณหนูซูและคุณหนูเหยาแม้แต่น้อย อีกทั้งเยี่ยนหวังเฟยยังกล่าวขอบคุณแล้วขอบคุณอีกสำหรับยาทาแผลของเหยาเยี่ยนอวี่ ยังกล่าวว่าโชคดีนักที่คุณหนูเหยาอยู่ มิเช่นนั้นเกรงว่าอวิ๋นยั่งคงจะต้องแย่แน่ๆ
ภายในใจของเหยาเฟิ่งเกอฉงนสงสัยยิ่งนัก ทว่ากลับไม่อาจที่จะเอ่ยถามไปตามตรงได้ นางจึงลอบส่งสายตาให้กับอันหมัวมัว
อันหมัวมัวเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาด นางจึงได้ส่งสายตาให้กับสะใภ้ที่ติดตามมาด้วยอย่างเงียบๆ อันหมัวมัวปรนนิบัติรับใช้อยู่เคียงข้างองค์หญิงต้าจั่งมานาน จนกระทั่งอายุยี่สิบหกปีจึงสมรสออกเรือนไป นางได้เป็นจี้ซื่อของทหารฝ่ายบู๊ขั้นที่ห้า ทว่ากลับไม่มีบุตรของตนเอง มีเพียงบุตรชายและบุตรีของภรรยาหลวงเท่านั้น อันหมัวมัวถูกอบรมระเบียบวินัยมาจากวังหลวง อีกทั้งยังอยู่ปรนนิบัติรับใช้องค์หญิงต้าจั่งมานานหลายปี นางมีความเชี่ยวชาญในการควบคุมคน ด้วยเหตุนี้จึงเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนบุตรชายกับบุตรีของภรรยาหลวงให้กตัญญูต่อตน โดยเฉพาะสะใภ้ของนาง ถือว่ารู้ใจนางยิ่งนัก
สะใภ้ของอันหมัวมัวเถียนซื่อจึงเดินออกไปอย่างเงียบๆ แล้วพูดคุยเรื่องทั่วไปกับสาวใช้ในจวน จากนั้นจึงได้รู้ว่าเมื่อคืนหลิงซีจวิ้นจู่เสด็จมาเยือนด้วยตนเอง
เหยาเฟิ่งเกอวางของบำรุงร่างกายที่นำมาให้อวิ๋นยั่ง เยี่ยนหวังเฟยกล่าวขอบคุณไม่หยุด หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเสร็จ เหยาเฟิ่งเกอก็ขออำลา ทว่าเยี่ยนหวังเฟยกลับบอกให้นางอยู่กินอาหารด้วยกันก่อน เหยาเฟิ่งเกอยิ้มแล้วพูดขึ้น “การที่หวังเฟยทรงชวนหม่อมฉันร่วมโต๊ะอาหาร หม่อมฉันมิควรปฏิเสธอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าองค์หญิงต้าจั่งทรงกังวลถึงบาดแผลของคุณหนูสาม จึงรอให้หม่อมฉันกลับไปรายงานอยู่เพคะ ไว้วันข้างหน้าหากมีเวลาว่าง หม่อมฉันจะมารบกวนจวนอ๋องอีกครั้งเพคะ”
เหยาเฟิ่งเกอกล่าวอำลาพลางเดินนำอันหมัวมัวออกมา เมื่อขึ้นไปบนรถม้านางก็เอ่ยถามขึ้น “เป็นเช่นไรบ้าง”
เถียนซื่อกล่าวด้วยเสียงค่อย “ไม่มีสิ่งใดพิเศษเจ้าค่ะ เพียงแต่เมื่อคืนหลิงซีจวิ้นจู่เสด็จมาเยี่ยมเยียนคุณหนูสามเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง “ไม่น่าแปลกใจเลย”
อันหมัวมัวเอ่ยถาม “ฮูหยินน้อยสามหมายความว่า…หลิงซีจวิ้นจู่เสด็จมา เพื่อช่วยพูดแทนพวกเราหรือเจ้าคะ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงเคยได้พบเจอกับเหยาเยี่ยนอวี่ที่วัดต้าเจวี๋ย ในตอนหลังมา หลิงซีจวิ้นจู่ก็รับสั่งให้คนส่งของกำนัลมาให้กับเยี่ยนอวี่โดยเฉพาะ หลังจากนั้นเยี่ยนอวี่ก็ล้มป่วย ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงก็รับสั่งให้คนมาเยี่ยมไข้ที่วัด เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเอ็นดูเยี่ยนอวี่มาก”
อันหมัวมัวพยักหน้าทันที นางแย้มยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดีเจ้าค่ะ องค์หญิงต้าจั่งจะได้กังวลใจน้อยลง เมื่อพูดขึ้นมาแล้ว คุณหนูรองช่างวาสนาดียิ่งนัก ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงเป็นผู้มีวิสัยทัศน์สูงมาก!”
เมื่อเหยาเฟิ่งเกอได้ยินคำพูดนี้ นางทำได้เพียงยิ้ม ทว่าไม่พูดสิ่งใด นางคิดในใจ เป็นถึงผู้มีบุญคุณในการช่วยชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยนอวี่ยังกล่าวอีกว่ายาทาแผลของนางจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ก็คงจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้จริงๆ คาดว่าหลิงซีจวิ้นจู่คงจะรู้ทักษะด้านการแพทย์ของเยี่ยนอวี่ ด้วยเหตุนี้จวิ้นจู่จึงรีบเสด็จมาที่จวนเยี่ยนอ๋อง เพื่อบอกให้เยี่ยนหวังเฟยให้เกียรติจวนติ้งโหว
มิฉะนั้น หากเยี่ยนหวังเฟยพูดสิ่งใดที่ไม่น่าฟัง วันข้างหน้าหากบนใบหน้าของอวิ๋นยั่งไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ จะไม่เป็นการตบหน้าตัวนางเองหรอกหรือ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองตระกูลก็จะมีเรื่องบาดหมางกันเสียเปล่า แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า
เรื่องที่ใบหน้าของอวิ๋นยั่งได้รับบาดเจ็บ เมื่อสตรีผู้สูงศักดิ์ของแต่ละจวนนำกลับไปพูดถึง จึงทำให้รู้กันจนทั่วเมือง
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน จวนเยี่ยนอ๋องก็มีแขกเหรื่อไปมามากมาย บรรดาฮูหยินที่ไปมาหาสู่กันนั้นล้วนส่งของบำรุงร่างกายมากมายมาเยี่ยมเยียน ในเวลาเดียวกัน ก็ได้บอกสูตรลับในการรักษารอยแผลเป็นไม่น้อย ทางด้านเยี่ยนหวังเฟยก็มัวแต่ยุ่งกับการรับแขกและส่งแขกมากมาย
ได้ยินมาว่าหลังจากหันหมิงชั่นกลับจวน นางเองก็รู้สึกคิดมากขึ้นมา ทว่ากลับยากที่จะพูด ทำได้เพียงสั่งให้คนมาเยี่ยมเยียนอวิ๋นยั่งทุกๆ สองถึงสามวัน ถามนางเพียงว่าบาดแผลบนดวงหน้าเป็นเช่นไรแล้วบ้าง ด้วยความที่อวิ๋นยั่งอายุยังน้อย นางจึงไม่ได้คิดสิ่งใดมากมาย ทว่าอวิ๋นซีและอวิ๋นเคอกลับรู้แก่ใจเป็นอย่างดี พวกนางเองก็คาดหวังในยาขี้ผึ้งไข่มุกของเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นมาทันที
[1] กู่ไผ แผ่นกระดานชนิดหนึ่งขนาดเล็กที่ทำจากไม้และมีการแกะสลักแต้มเอาไว้ ซึ่งก็คือเกมโดมิโนในยุคปัจจุบัน