“นี่…หมายความว่าอะไร” เหยาเยี่ยนอวี่มองหน้าเปื้อนเลือด ผมยุ่งเหยิงเล็กน้อยของชายหนุ่มที่สวมใส่ชุดนักรบสีเขียวเข้ม นางได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่โชยมาจากร่างของเขา ทำให้นางจับประเด็นไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น
ซูอวี้เสียงหายใจแรงๆ ไปสองครั้งด้วยความกระอักกระอ่วน และปรับจังหวะการหายใจให้นิ่งลง จากนั้นจึงเดินหน้าไปดึงตัวหันซังเย่ว์ที่ยังค้อมตัวประสานมือคำนับอยู่ ทว่าคุณชายรองหันกลับคงท่าทีเช่นนั้นดั่งภูเขาที่ไม่ขยับ แม้นคุณชายสามซูจะออกแรงดึงมากเพียงใดก็ดึงเขาให้ลุกขึ้นไม่ได้
ช่างเถอะ เจ้าอยากจะโค้งตัวคำนับต่อก็ทำไป จากนั้นซูอวี้เสียงจึงยิ้มให้เหยาเยี่ยนอวี่พลางถามขึ้น “น้องรอง เจ้ารู้วิธีต่อกระดูกและเชื่อมเส้นเอ็นหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกตกตะลึงในใจ ไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไรดี ทว่าพอเห็นคุณชายรองหันทำท่าทางเช่นนี้ ก็รู้ว่าพี่ใหญ่ที่เขาเอ่ยถึงต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน ผู้ที่เป็นหมอก็มีจิตใจเหมือนเป็นบิดามารดา ชาติก่อนเหยาเยี่ยนอวี่เกิดเป็นหมอ ชาตินี้นางยังคงรักเดียวใจเดียวกับการเป็นแพทย์ไม่เปลี่ยน สิ่งที่นางไม่อาจทนดูก็คือคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย
ทว่า สองคนนี้มาหานางได้อย่างไร?!
นี่ก็น่าแปลกเกินไป?! ใช่ไหม
แม่นางอย่างข้าได้ปกปิดความลับที่ตนเองเป็นหมอไว้เป็นอย่างดี ผู้ใดกันที่ปากโป้ง แม้กระทั่งเรื่องของแม่นางอย่างข้าที่มีทักษะการต่อกระดูกและเชื่อมเส้นเอ็นยังบอกเล่าให้ผู้อื่นรู้?!
ไม่ใช่สิ! แม่นางอย่างข้ามีชีวิตจวบจนถึงตอนนี้ ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ยังไม่เคยต่อกระดูกหรือเส้นเอ็นให้ใครหน้าไหนเลย?!
“คุณหนูเหยา ได้โปรดช่วยรักษาพี่ใหญ่ของข้าด้วย ขอเพียงท่านรักษาแผลของพี่ใหญ่ของข้าหาย ข้าหันซังเย่ว์จะขอเป็นทาสให้แม่นางเรียกใช้ตลอดชีวิต!” หันซังเย่ว์กล่าวจบ ก็โน้มตัวคำนับอีกครั้ง
สุดท้ายเหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้สติกลับมา จากนั้นก็จับมือของเฝิงหมัวมัวลงจากตั่งไม้ที่แสนจะอบอุ่นนั่น แล้วยกมือขึ้นไปพยุงหันซังเย่ว์ พร้อมทั้งเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “คุณชายหันรีบลุกขึ้นเถอะ เยี่ยนอวี่มิบังอาจปล่อยให้คุณชายทำเยี่ยงนี้ต่อไปจริงๆ”
หันซังเย่ว์กลับไม่ได้เหยียดกายลุกขึ้นทันที แค่เงยหน้าขึ้นมองเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วพูดอย่างหนักแน่น “คุณหนู พี่ชายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณหนูอย่าได้ลังเล รีบตามพวกเราไปเถอะ?”
สุดท้ายเหยาเยี่ยนอวี่ก็ใจอ่อน บุรุษที่ยังหนุ่มยังแน่นและหล่อเหลากดเสียงต่ำคุยกับนาง นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ อีกอย่าง บุรุษท่านนี้เป็นพี่คนรองของหันหมิงชั่น และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บก็คือพี่ชายคนโตของหันหมิงชั่น นางเคยไปจวนเจิ้นกั๋วกง ถึงแม้จะไม่เคยเห็นองค์หญิงพระองค์ใหญ่ ทว่าหันหมิงชั่นก็ปฏิบัติตัวดีกับตนเอง พอนึกถึงเรื่องนี้ แล้วนางยังจะมีเหตุผลอันใดที่ไม่ช่วยเขาอีก
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปสั่งเฝิงหมัวมัว “เจ้าไปบอกชุ่ยเวยให้นางนำสิ่งของของข้าไปด้วย ส่วนพวกเจ้าสองคนก็ติดตามข้าไป”
“เจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวรีบขานรับแล้วหันหลังเดินออกไป เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือขึ้นพลางพูดว่า “คุณชายรองหัน พี่เขย ไปกันเถอะ”
“ไป!”
“ขอบคุณคุณหนูเป็นอย่างยิ่ง”
ซูอวี้เสียงและหันซังเย่ว์หันหลังแล้วเดินออกไป พอออกประตูไปก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาสองคนขี่ม้ามา พลันบอกให้ผัวจื่อที่เฝ้าเวรของเรือน “รีบเตรียมรถม้าให้คุณหนูของพวกเจ้าเร็วเข้า!”
เหยาเยี่ยนอวี่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำได้เพียงคลุมเสื้อคลุมขนปุยที่เพิ่งถอดออกตอนที่นางเข้าประตูไป จากนั้นก็เปลี่ยนรองเท้าออกเดินทาง
รถม้าที่เพิ่งถูกจูงเข้าไปในคอกม้า ยังไม่ทันได้ให้อาหารม้าก็ถูกจูงออกมาอีกรอบ
เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว ถนนหุบเขานั้นเดินทางไม่ง่ายเลย ทว่าหันซังเย่ว์กลับรู้สึกใจร้อนเหมือนหัวใจถูกแผดเผา ใคร่อยากจะไปให้ถึงวัดต้าเจวี๋ยใจจะขาด
ซูอวี้เสียงอดใจเตือนเขาไม่ได้ “ข้าว่าพวกเราช้าหน่อยเถอะ รถม้าที่ตามอยู่ด้านหลัง หากเร็วกว่านี้ก็คงจะล้มคว่ำ หากน้องสาวภรรยาของข้าล้มจากรถม้าขึ้นมา ก็คงไม่มีใครสามารถช่วยท่านจื่อซื่อได้แล้ว”
“รู้แล้ว” ถึงแม้ปากของหันซังเย่ว์จะเอ่ยเช่นนี้ ในมือยังคงใช้แส้ตีตูดม้าอยู่
“นี่! ข้าบอกว่า! ช้าหน่อย!” ซูอวี้เสียงกังวลจนต้องหันไปมองรถม้าด้านหลัง กีบม้าวิ่งไม่หยุด ตัวรถโยกเยกไปมา แล้วยังโดนกระแสลมที่ซัดเข้ามา เหมือนไม่ระวังก็อาจจะทำให้รถม้าพัดปลิวขึ้นกลางอากาศได้
แท้จริงแล้ว ทั้งสามคนที่อยู่ในรถม้ารู้สึกทุกข์ทรมานจริงๆ
เฝิงหมัวมัวที่มีอายุมากก็ยิ่งทนรับกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ไหว สองมือจับราวจับที่ผนังรถม้าไว้จนแน่น จากนั้นก็เปรยขึ้นไม่หยุด “ไอ้หยา โคลงเคลงไปมาจนจะทำให้กระดูกแก่ๆ ของข้าจวนจะหักเสียแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่เอนกายพิงอยู่บนเบาะนุ่มก็ค่อยยังชั่ว พอได้ยินคำพูดของเฝิงหมัวมัวจึงรีบหันข้างไป “หมัวมัวพิงมาที่ข้าเถอะ”
เฝิงหมัวมัวพลันตอบกลับ “ไม่ ไม่เจ้าค่ะ ! บ่าวคงทำไม่ได้ บ่าวแค่ต้องจับเอาไว้แน่นๆ ก็พอ รถม้าโยกเยกไปมาแรงจนสมองของบ่าวใกล้จะไหลออกมาแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่เริ่มจะคิดถึงเครื่องบินและรถยนต์ตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน ด้วยการเดินทางที่ทันสมัยวิสัยทัศน์ของมนุษย์ถึงได้กว้างขึ้น แต่เพราะว่ามีสิ่งเหล่านั้น จึงทำให้เกิดมลพิษทางอากาศและทางน้ำ ต้นไม้ยิ่งอยู่ยิ่งน้อยลง แบคทีเรียและเชื้อโรคกลายพันธุ์ระบาดเร็วขึ้น ทำให้โรคภัยไข้เจ็บนับวันก็ยิ่งมากขึ้น…
ตลอดทางที่กระแทกไปมา ทำให้นางนึกย้อนถึงความทรงจำที่ผ่านมาไม่ได้
จากบ้านนามู่เย่ว์ถึงวัดต้าเจวี๋ย ต่อให้เดินทางอย่างเร่งรีบก็ยังต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยาม รอให้รถม้าจอดอยู่ตรงไหล่เขา เฝิงหมัวมัวยังคงนิ่งอยู่ในตัวรถม้าโดยไม่กล้าขยับไปสักพักหนึ่ง ชุ่ยเวยก็ค่อยๆ เหยียดกายลุกขึ้น กระดูกทั้งร่างของนางคล้ายว่าถูกกระแทกจนหักไปเกือบหมด ตอนที่ลงจากรถม้าก็เกือบสะดุดล้ม
หันซังเย่ว์กระโดดลงจากหลังม้าแล้วไปรับเหยาเยี่ยนอวี่ที่ลงจากรถม้า ตอนนี้ชุ่ยเวยเองก็ยังยืนไม่นิ่ง ส่วนเหยาเยี่ยนอวี่เองทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงจับข้อมือของหันซังเย่ว์ไว้ แล้วค่อยๆ กระโดดลงจากรถม้า
“คุณหนูเหยา ระวัง” หันซังเย่ว์พยุงตัวของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้
“ไม่เป็นไร” เหยาเยี่ยนอวี่อดทนกับความปวดเมื่อยตรงเอวและขา แล้วดึงมือชุ่ยเวยไว้ “ไปกันเถอะ”
พวกเขาจึงได้เดินเข้าไปในเรือนที่หันซังเกอพักอาศัยหลังอุโบสถ เก๋อไห่พาหมอทหารหลูมาถึงแล้ว หมอทหารหลูก็ตรวจดูบาดแผลของหันซังเกอ จึงได้ให้ข้อสรุปเหมือนดั่งที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงกล่าวไว้
ดังนั้น เมื่อเหยาเยี่ยนอวี่ หันซังเย่ว์และซูอวี้เสียงเดินเข้าประตูมา ทุกคนจึงจับจ้องมาที่พวกเขา
“มาแล้ว?” อวิ๋นคุนไถ่ถามขึ้นก่อน
หันซังเย่ว์พยักหน้า แล้วเอียงตัวหลีกทางให้เหยาเยี่ยนอวี่ “นี่คือคุณหนูเหยา เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ดังนั้นจึงไม่มีเวลาพูดพิธีรีตองกันมากนัก คุณหนูเหยา เชิญ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าตั่งไม้เตี้ยอย่างใจเย็น ภายใต้สายตาของทุกคนที่กำลังจับจ้องนาง จากนั้นก็นั่งยองลงช้าๆ แล้วคุกเข่าตรงหน้าตั่งไม้ที่มีฟูกทรงกลมวางอยู่ ชุ่ยเวยตามไปแล้วเอากล่องในมือเปิดออก เหยาเยี่ยนอวี่เอาหน้ากากอนามัยที่ทำขึ้นเองมาสวม จากนั้นก็ใช้สุราที่ผ่านการต้มล้างมือ ชุ่ยเวยเอาหมวกผ้าต่วนสีฟ้าอ่อนมาสวมอยู่บนศีรษะของนางเรียบร้อยแล้ว ไรผมตรงหน้าผากของเหยาเยี่ยนอวี่จึงถูกบดบัง
เพราะได้ยินคำแนะนำของท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงว่าบุตรีของเหยาหย่วนจือ-ข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองมารักษาหันซังเกอ เหล่าองค์ชายที่พักอาศัยอยู่ตรงเรือนข้างๆ ต่างก็มาดูนาง พอเห็นท่าทีเช่นนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ แต่ละคนต่างก็แอบพูดในใจว่าแปลก
เหยาเยี่ยนอวี่ใช้สุราล้างมือเสร็จ จึงเอากรรไกรออกมาเช็ดด้วยสุรา จากนั้นก็ตัดรองเท้าหนังกวางและขากางเกงที่เปื้อนเลือดของหันซังเกอออก เผยให้เห็นแผลที่เริ่มตกสะเก็ด เพราะได้ทายาตรงแผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชุ่ยเวยรู้สึกตกใจเพราะแผลนี่น่าหวาดผวาจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเกือบจะกรีดร้องออกมา เหยาเยี่ยนอวี่จึงหันไปถลึงตามองนางอย่างไม่พอใจ ชุ่ยเวยพลันหลับตาลง แล้วค่อยๆ ทำใจให้สงบ
คนที่มุงดูอยู่รอบข้างก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึง
องค์ชายห้าและองค์ชายสามต่างตรัสขึ้นด้วยเสียงกระซิบ “คุณหนูผู้นี้ช่างใจกล้าเหลือเกิน เห็นแผลเช่นนี้กลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา”
องค์ชายสามขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม แล้วตรัสเสียงต่ำว่า “อย่ากล่าวมากความ”
เหยาเยี่ยนอวี่ตรวจดูลักษณะของแผล จึงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ปากของสัตว์ป่านั้นไม่สะอาด ทำให้แผลอักเสบ และเนื้อที่เริ่มเน่านี้ต้องตัดออก”