เหยาเฟิ่งเกอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ทำสีหน้าไม่ค่อยดี จึงทำได้เพียงปลอบโยนนางด้วยคำพูดที่อ่อนโยนเพียงสองสามคำ แท้จริงแล้วก็แค่ต้องการให้นางมองสถานการณ์ให้เข้าใจ ความสัมพันธ์ของแต่ละจวนในเมืองหลวงอวิ๋นนั้นแปลกประหลาดเล็กน้อย เรื่องเล็กเรื่องน้อยของสตรีก็อาจจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตระกูล และอยากให้เหยาเยี่ยนอวี่อย่าดื้อรั้น ต้องให้ความสำคัญแก่ส่วนรวม เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงตอบตกลงไปทีละคำขอ
เหยาเฟิ่งเกอเป็นสตรีมีครรภ์ สภาพร่างกายรับไม่ไหว หลังจากนั่งลงไปสักพักแล้วก็กล่าวอำลา เฟิงเซ่าอิ่งรั้งนางไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ทำได้เพียงลุกขึ้นแล้วส่งนาง
ซูอวี้เหิงคล้องแขนเหยาเฟิ่งเกออย่างประจบประแจง “พี่สะใภ้สามกลับเร็วเยี่ยงนี้ น้องยังไม่ได้พูดคุยกับพวกพี่สาวให้หนำใจเลย”
เหยาเฟิ่งเกอคลี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นคืนนี้เจ้าพักที่นี่เถอะ วันรุ่งขึ้นพอเจ้ากลับไปก็ค่อยน้อมรับการโบยตีจากองค์หญิงต้าจั่ง”
เฟิงเซ่าอิ่งคลี่ยิ้มตาม “องค์หญิงต้าจั่งรักใคร่และเอ็นดูคุณหนูสามมากเพียงนั้น จะโบยนางลงคอได้อย่างไร เมื่อครู่องค์หญิงใหญ่บอกให้คุณหนูเหยาอยู่ที่นี่ต่อ เช่นนี้แล้วคุณหนูสามก็พักอยู่ที่นี่คืนนี้เถิด จะได้อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูเหยาด้วย”
เดิมทีซูอวี้เหิงก็อยากจะใช้เวลาอยู่กับเหยาเยี่ยนอวี่อยู่แล้ว ประโยคนี้จึงเป็นความในใจของนางพอดี
เหยาเฟิ่งเกอจึงแค่กำชับเตือนสติขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถม้าแล้วจากไป
เหยาเฟิ่งเกอจากไป ซูอวี้เหิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที จริงๆ แล้วนางก็ไม่ใช่ว่าเกรงกลัวพี่สะใภ้สามหรอก แค่รู้สึกว่าพี่สะใภ้สามอยู่ เหยาเยี่ยนอวี่ดูอึดอัดไม่เป็นอิสระ ดังนั้นนางจึงไม่ได้เป็นฝ่ายชักชวนเหยาเยี่ยนอวี่ก่อน ครั้งนี้นางไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีก จากนั้นก็ยกจอกสุราหวานขึ้น แล้วกอดคอเหยาเยี่ยนอวี่พลางดื่มสุรากับนาง
เฟิงเซ่าอิ่งหาข้ออ้างแล้วเดินออกไป ในเรือนเหลือเพียงเหล่าคุณหนูสองสามคนที่ยังคงมีชีวิตชีวา หันหมิงหลังนั่งแทะเมล็ดทานตะวันไปพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน หันหมิงเจวี๋ยตามซูอวี้เหิงไปยกจอกสุราหวานให้เหยาเยี่ยนอวี่ดื่ม
หันหมิงชั่นปรายตามองอวิ๋นเหยาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพียงชั่วประเดี๋ยว แล้วแอบถอนหายใจออกมาพลางยกจอกสุราแล้วเดินมา
“เหยาเอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องอะไรในใจหรือ” หันหมิงชั่นยกเหยือกสุราขึ้นแล้วรินจอกสุราของอวิ๋นเหยาให้เต็ม
“ไม่มี” อวิ๋นเหยายังคงความนิ่งเฉย แล้วทำทีท่าไม่แยแสกับการเอาใจใส่ของหันหมิงชั่น
หันหมิงชั่นคลี่ยิ้ม แล้วยกจอกสุรายัดใส่ในมือของอวิ๋นเหยา พลางเอ่ยถาม “เช่นนั้นเหตุใดถึงดูไม่มีความสุขล่ะ ข้าเห็นเจ้านั่งอยู่ที่นี่แล้วไม่พูดไม่คุยและไม่ดื่มสุรา นี่เจ้ากำลังตำหนิที่ข้าต้อนรับไม่ดีหรือ”
“ไม่ใช่” อวิ๋นเหยารับจอกสุรานั่นมา แล้วจิบสุราดอกเหมยไปหนึ่งคำ
หันหมิงชั่นที่เป็นเจ้าบ้านไม่สามารถทิ้งลูกพี่ลูกน้องคนนี้ด้วยความเย็นชา และไม่อาจทำเป็นไม่สนใจลูกพี่ลูกน้องคนนี้ได้ แค่ต้องสรรหาเรื่องมาพูดคุยเท่านั้น อวิ๋นเหยายิ้มอ่อนๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองสุราในจอกพลางดื่มจนหมด จากนั้นก็ยกเหยือกสุราแล้วรินต่อ
“เจ้ากับคุณหนูเหยา…มีเรื่องอะไรที่ทำให้ขุ่นเคืองใจกันหรือ พูดออกมา พี่สาวคนนี้จะเป็นฝ่ายทำให้พวกเจ้าปรับความเข้าใจกันเอง”
อวิ๋นเหยาแสยะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอย่างดูหมิ่น “น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ข้ากับนางต่างคนต่างอยู่ แล้วจะมีเรื่องที่ทำให้ขุ่นเคืองใจกันได้อย่างไร”
“คุณหนูเหยาเป็นผู้มีพระคุณต่อพี่ใหญ่ของข้า บิดามารดาและทั้งตระกูลของพวกเราต่างก็ขอบคุณนางเป็นอย่างยิ่ง ถ้าพวกเจ้าสองคนไม่มีเรื่องบาดหมางใจกัน เช่นนั้นก็ถือว่าข้ามากความไปเอง หากมีเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เหยาเอ๋อร์ ได้โปรดเห็นแก่หน้าของมารดาข้า เรื่องอะไรก็ตามขอให้ปล่อยมือ ตกลงไหม”
“หึ หึ” อวิ๋นเหยายิ้มเยาะซึ่งถือได้ว่าเป็นการตอบสนองต่อคำขอของหันหมิงชั่น
หันหมิงชั่นยกจอกสุราขึ้น แล้วยิ้มอ่อนพลางเอ่ยขึ้น “พี่สาวขอบคุณล่วงหน้า”
อวิ๋นเหยาจึงชนจอกสุรากับหันหมิงชั่น แต่กลับไม่ได้ดื่ม แค่หรี่ดวงตากลมโตคู่งดงามนั้นลงแล้วถามหันหมิงชั่น “พี่รอง คุณหนูเหยาไม่ใช่ว่ามียาอัศจรรย์หรอกหรือ เหตุใดถึงยังไม่อาจรักษาแผลเป็นบนดวงหน้าของท่านให้หายล่ะ”
ใบหน้าของหันหมิงชั่นเย็นชา แล้วไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
“ข้ากล้ารับประกัน หากรอยแผลเป็นบนดวงหน้าของพี่รองสามารถหายได้ ท่านแม่คงจะให้แม่สื่อมาที่จวนกั๋วกง เพื่อที่จะมาสู่ขอท่านให้พี่ชายข้า ถึงเวลานั้นพี่รองก็จะได้สมดั่งปรารถนา” กล่าวจบ อวิ๋นเหยายกจอกเหล้าขึ้นและดื่มสุราในจอกจนหมด จากนั้นคลี่ยิ้มอ่อนๆ แล้วเหยียดกายลุกขึ้น “เวลาก็สายมากแล้ว ข้าไปดูก่อนว่าพี่ชายจะกลับหรือยัง”
หันหมิงชั่นจับจอกสุราแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นและไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้อวิ๋นเหยาเดินออกไปจากเรือนอั้นเซียงตามลำพัง
หันหมิงหลังและหันหมิงเจวี๋ย ทั้งสองพี่น้องกำลังคอยสังเกตการณ์ทางด้านนี้ พอเห็นอวิ๋นเหยาจากไป สีหน้าของหันหมิงชั่นก็ดูไม่ค่อยดี จากนั้นพวกนางจึงมองหน้ากัน แล้วหันหมิงหลังเป็นคนที่เหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินไปก่อน
“พี่หญิงรอง เหตุใดจวิ้นจู่ไปแล้วล่ะ” หันหมิงหลังเอาจอกสุราที่เป็นจอกเปล่าในมือของหันหมิงชั่นวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็กวักมือเรียกสาวใช้ให้รินน้ำชาร้อนและยื่นน้ำชาร้อนให้นาง
หันหมิงชั่นวางน้ำชาร้อนกลับลงบนโต๊ะ แล้วยิ้มเย้ยหยันพลางเอ่ยขึ้น “นางคือจวิ้นจู่ จะไปไหนมาไหนก็ได้อย่างอิสระ ข้ามีสิทธิ์ไปกล่าวมากความได้อย่างไร” พอกล่าวจบ จึงเหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปอยู่ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นก็สั่งสาวใช้ข้างกาย “ไปอุ่นเหล้ามาอีกเหยือก วันนี้พวกเราพี่สาวน้องสาวจะดื่มให้หนำใจ”
พออวิ๋นเหยาลุกจากไป สาวใช้ขั้นหนึ่งที่คอยปรนนิบัติรับใช้นางก็รีบตามไป จากนั้นก็กางเสื้อคลุมขนมิงค์สีขาวที่อุ้มอยู่ออกมา แล้วคลุมลงบนไหล่ของนาง จากนั้นเจ้านายและสาวใช้จึงเดินจากเรือนอั้นเซียงไปยังศาลาเซียงเสวี่ย หลังจากที่เดินไปได้ไม่ไกล ก็เจอกับเฟิงเซ่าอิ่งมาพร้อมสาวใช้สองคนเดินมาจากสวนดอกเหมย
เฟิงเซ่าอิ่งจึงเข้ามาถาม “จวิ้นจู่กำลังจะไปไหนหรือ”
“ข้ามีธุระ จะกลับก่อน” อวิ๋นเหยาทำสีหน้าเย็นชาแล้วกล่าวขึ้น
“ทว่าทางศาลาเซียงเสวี่ย ท่านซื่อจื่อและเหล่าคุณชายยังเสวนากันอย่างครึกครื้น เกรงว่าคงไม่มีทางแยกย้ายกันง่ายๆ”
“เช่นนั้นข้าจะไปบอกพี่ชายสักคำ ว่าจะกลับก่อน” อวิ๋นเหยาเอ่ยขึ้นแล้วเดินหน้าต่อไป
เฟิงเซ่าอิ่งเห็นนางเริ่มโมโห ทำได้เพียงสาวเท้าเดินตาม แล้วเกลี้ยกล่อม “ไม่เช่นนั้นให้ข้าส่งคนไปถามก่อนดีหรือไม่”
“ไม่จำเป็น” อวิ๋นเหยาถูกเฉิงหวังเฟยรักใคร่และตามใจมาแต่เล็ก จนกลายเป็นคนที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ ยามที่ในใจของนางกำลังโมโห ย่อมไม่มีสีหน้าที่ดีเวลาคุยกับใคร
เฟิงเซ่าอิ่งที่เป็นเจ้าบ้านกลับไม่สนใจนางไม่ได้ ทำได้เพียงอดกลั้นความไม่พอใจไว้ในใจ จากนั้นก็ตามนางไปศาลาเซียงเสวี่ยด้วยกัน
โชคดีที่ผัวจื่อข้างกายเฟิงเซ่าอิ่งเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม และก็ได้อ้อมไปอีกทางเพื่อไปส่งสารให้คนในศาลาเซียงเสวี่ยก่อนแล้ว
ทางฝั่งศาลาเซียงเสวี่ย รอบศาลาได้วางฉากกั้นและปิดอย่างมิดชิด ไม่ให้แม้แต่ลมพัดโชยเข้ามา ข้างในวางเตาไฟไว้สองเตา หันซังเกอที่บาดแผลแทบจะหายดีนั่งอยู่ตรงที่นั่งหลักโดยมีเสื้อคลุมขนนากคลุมบนไหล่ ด้านซ้ายคืออวิ๋นคุน ด้านขวาคือเฟิงเซ่าเชิน ส่วนตรงกันข้ามคือน้องชายหันซังเย่ว์ เว่ยจางและซูอวี้เสียงต่างก็นั่งอยู่ทั้งสองด้านของหันซังเย่ว์ ทั้งหกคนล้อมรอบโต๊ะกลมไว้อย่างอบอุ่น ต่างก็กำลังดื่มเหล้าของตนกันอย่างมีความสุข
เสี่ยวถงคนสนิทของหันซังเกอแอบเข้ามาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็กระซิบข้างหูหันซังเย่ว์ หันซังเย่ว์จึงตะลึงงันเล็กน้อย แล้วพูดพลางหัวเราะเบา ๆ “จวิ้นจู่ยังคงมีอารมณ์ร้อนแรงเช่นนี้”
ทันทีที่อวิ๋นคุนได้ยินก็รู้ว่ากำลังหมายถึงอวิ๋นเหยา เพราะเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “อวิ๋นเหยาหรือ”
หันซังเย่ว์คลี่ยิ้มและเอ่ยถึง “น้องอวิ๋นเหยากำลังโวยวายว่าจะมาที่นี่ให้ได้ และกำลังเดินมาอยู่”
อวิ๋นคุนจึงคลี่ยิ้มและส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ จากนั้นวางจอกเหล้าในมือลง แล้วเหยียดกายลุกขึ้นพลางเดินออกไปนอกศาลา ประจวบเหมาะกับอวิ๋นเหยาเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบพอดี พอเห็นอวิ๋นคุนจึงพูดขึ้น “พี่ชาย น้องจะกลับแล้ว พี่ชายจะกลับหรือยัง”
โชคดีผู้ที่นั่งอยู่ในศาลาต่างก็คือเครือญาติกันหมด นอกจากเว่ยจางเพียงคนเดียวที่ไม่ใช่ญาติของพวกเขา อีกทั้งกฎระเบียบในต้าอวิ๋นก็ไม่ได้เข้มงวดเกี่ยวกับการรักษาระยะห่างของชายหญิงเสียเท่าใด ทุกคนจึงไม่จำเป็นต้องหลบหน้ากัน จากนั้นก็มีเพียงเว่ยจางและซูอวี้เสียงค่อยๆ เหยียดกายลุกขึ้น
“เจ้าทำตัวเอาแต่ใจอีกแล้ว พวกเรากำลังสนทนาเรื่องสำคัญกันอยู่ มิเช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนไหม” อวิ๋นคุนเกลี้ยกล่อมน้องสาวด้วยเสียงทุ้มต่ำ