หันซังเย่ว์สบถพูดด้วยความไม่พอใจ “ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำลายชีวิตของสตรีไปชั่วชีวิตได้ ชีวิตของเขานั้นคือชีวิตคน แล้วชีวิตของสตรีไม่ใช่ชีวิตคนหรือไร”
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้!” เฟิงเซ่าเชินกล่าวด้วยความโกรธเคือง
“พอได้แล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าเอามาพูดได้” หันซังเกอขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “วันข้างหน้า ยามที่จะพูดจาเช่นไรต้องคอยระวัง การเสวนาเช่นนี้รังแต่จะทำให้คุณหนูเหยากระอักกระอ่วนมากกว่าเดิม”
“อืม ท่านซื่อจื่อพูดถูก” เฟิงเซ่าเชินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ทว่าภายในใจของเขามีความคิดอย่างอื่น
หันซังเย่ว์ฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ทว่าเขากลับทิ้งท้ายคำพูดที่เย็นยะเยือกเอาไว้ “ข้าจะไปบอกกับท่านแม่เดี๋ยวนี้”
“กลับมา” หันซังเกอพูดเสียงทุ้ม
“พี่ใหญ่!” หันซังเย่ว์หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมามองพี่ใหญ่ของตน “คุณหนูเหยาเป็นผู้มีพระคุณของพวกเรา ข้าไม่อาจทนเห็นนางถูกผู้อื่นคิดวางแผนจ้องทำร้ายนางได้”
“ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ใช่คนของตระกูลเรา และมิได้เป็นเครือญาติของพวกเรา แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่อาจเข้าไปข้องเกี่ยวเรื่องส่วนตัวของนางได้ พวกเราทำได้เพียงช่วยนางอย่างสุดความสามารถก็เท่านั้น เข้าใจหรือไม่”
หันซังเย่ว์เป็นบุรุษใจร้อน เมื่อได้ยินพี่ใหญ่กล่าวห้าม จึงกระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “เช่นนี้พวกเราจะช่วยนางอย่างไร ครานี้มีฮูหยินผู้เฒ่าห้ามปรามเอาไว้ แล้วคราหน้าเล่า ไม่แน่ว่าอาจจะมีตระกูลอื่นหมายปองไปแล้วก็ย่อมได้ ไม่ใช่ว่าทุกตระกูลจะมีผู้ที่เข้าใจผู้อื่นเฉกเช่นฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง อีกทั้ง หากไม่ใช่เพราะนางช่วยรักษาพี่ใหญ่ แล้วจะมีปัญหาตามมามากมายได้อย่างไร”
“ข้าจะคิดหาวิธี” หันซังเกอกล่าวพูด จากนั้นวางถ้วยน้ำชาลง ยกมือขึ้นจับไม้ค้ำ
“พี่ใหญ่ พี่มีวิธีอะไรหรือ”
“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าออกไปประเดี๋ยวหนึ่ง เจ้าอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนเซ่าเชิน” หันซังเกอพยักหน้าให้กับเฟิงเซ่าเชิน จากนั้นคว้าจับไม้เท้า แล้วเดินกะเผลกออกจากเรือนบุปผา
เฟิงเซ่าเชินและหันซังเย่ว์ยืนเคียงข้างกันอยู่ตรงหน้าประตูเรือนบุปผา มองดูม่านขนาดใหญ่และหนักที่ร่วงลงมาปิดกั้นการมองเห็น อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแล้วกล่าวพูด “ท่านซื่อจื่อมีความคิดเช่นไรกันแน่”
หันซังเย่ว์ส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
ทางด้านหันซังเกอที่เดินออกมาจากเรือนบุปผา เดินกะเผลกไปนั่งบนเกี้ยวที่มีเก้าอี้ไม้ไผ่ บ่าวรับใช้ที่อยู่รอบๆ รีบนำผ้าห่มขนสุนัขจิ้งจอกมาคลุมเท้าของท่านซื่อจื่อในทันที คุณหนูเหยาเคยกล่าวเอาไว้ว่า เส้นเอ็นที่ได้รับบาดเจ็บไม่อาจสัมผัสความหนาวเย็นได้ หากสัมผัสความหนาวเย็นจะทำให้ส่งผลต่อการฟื้นตัว ดังนั้นการทำให้อบอุ่นจึงสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
ขนหมาป่าห่อหุ้มเรือนร่าง ผ้าห่มหนังสุนัขจิ้งจอกคลุมเท้าอย่างมิดชิด หันซังเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ด้วยท่วงท่าที่สบาย พร้อมออกคำสั่ง “ไปพบท่านแม่”
“ขอรับ” บ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่แบกเกี้ยวขานรับ จากนั้นแบกเกี้ยวไม้ไผ่มุ่งหน้าไปยังประตูที่เชื่อมต่อระหว่างทั้งสองจวน แล้วตรงไปยังเรือนหนิงรุ่ยซึ่งเป็นเรือนขององค์หญิงใหญ่หนิงหวา
เวลานี้องค์หญิงใหญ่หนิงหวากำลังเล่นหมากล้อมกับหันหมิงชั่น เมื่อครู่หันหมินชั่นเพิ่งถูกมารดากินหมากไปสองตัว นางกำลังครุ่นคิดว่าควรจะทำเช่นไร ทางด้านองค์หญิงใหญ่หนิงหวากลับหันไปดื่มน้ำชาและคลายยิ้มบางๆ มองดูสีหน้าของบุตรีที่กำลังใช้ความคิด
หันซังเกอเดินเข้ามาพร้อมกับน้อมทำความเคารพมารดา องค์หญิงใหญ่เห็นเช่นนั้นจึงรีบบอกให้เขาลุกขึ้นแล้วไปนั่งบนตั่งไม้ พร้อมเอ่ยพูด “แม่รู้สึกว่าเจ้าเดินได้คล่องแคล่วมากยิ่งขึ้นแล้ว วันนี้ลูกเดินไปกี่ชั่วยาม”
“ยังคงเดินเพียงหนึ่งชั่วยามขอรับ มิได้เพิ่มแต่อย่างใด ท่านแม่เคยบอกเอาไว้ว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่อาจใจร้อนได้”
“อืม ลูกเชื่อฟังก็ดีแล้ว” องค์หญิงใหญ่พยักหน้าด้วยความพอใจ
ทางด้านหันหมิงชั่น ไม่ว่าจะคิดเช่นไรนางก็คิดไม่ออกว่าควรจะเดินเยี่ยงไร ด้วยเหตุนี้จึงกวักมือเรียกหันซังเกอ “พี่ชายใหญ่ รีบมาช่วยข้าเร็ว”
หันซังเกอยกยิ้มแล้วเอ่ยพูด “พี่เองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านแม่ เกรงว่าไม่อาจช่วยเจ้าได้”
“เช่นนั้นข้ายอมรับความพ่ายแพ้ไปเลยเสียยังดีกว่า” หันหมิงชั่นทิ้งหมากในมือของตนออกไป จากนั้นปรบมือด้วยความจำยอม แล้วหันไปขอน้ำชา
ทั้งสองมารดาและบุตร องค์หญิงใหญ่หนิงหวาและหันซังเกอมองสบตากันแล้วคลี่ยิ้ม ใบหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความรักใคร่เอ็นดู
มารดาและบุตรทั้งสองร่วมกันดื่มน้ำชา จากนั้นองค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงเอ่ยถามบุตรชาย “เหตุใดลูกจึงมาอย่างกะทันหันในเวลานี้”
หันซังเกอไม่เคยพูดอ้อมค้อมกับมารดาของตนมาก่อน อีกทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงพูดในสิ่งที่เฟิงเซ่าเชินกล่าวเมื่อครู่อีกหนึ่งรอบ พร้อมทั้งพูดเสริม “เหตุเพราะช่วยรักษาบาดแผลของลูก จึงทำให้คุณหนูเหยาพบเจอกับเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ สิ่งนี้ทำให้ลูกรู้สึกละอายยิ่งนัก ลูกรู้สึกว่าตระกูลของเหยาหย่วนจือก็มั่งคั่ง แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่าร่ำรวยมหาศาล ทว่าคุณหนูเหยาก็ไม่ได้ขาดเหลือแก้วแหวนเงินทองแต่อย่างใด ลูกเกรงว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ชีวิตที่เหลือของคุณหนูเหยาจะป่นปี้และถูกทำลายเพราะวาจาของคน ดังนั้นท่านแม่ต้องคิดหาวิธีหยุดเรื่องนี้”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาแย้มริมฝีปากแล้วพูดขึ้น “คุณหนูเหยาช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของลูกด้วยความหวังดี ทว่าคนเหล่านี้เพื่อผลประโยชน์ของตนกลับมีความคิดต่ำทรามสกปรก ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก”
หันหมิงชั่นเองก็กล่าวด้วยความขุ่นเขือง “เท่าที่ลูกรู้จักคุณหนูเหยานั้น นางมิใช่สตรีที่ละโมบโลภมากอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ นางเพียงแค่อยากจะมีชีวิตที่สงบสุขก็เท่านั้น ไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ใด ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวในใต้หล้า ทว่าคนเหล่านี้กลับไม่ให้นางมีชีวิตที่สงบสุข”
“ในใต้หล้านี้มีความสงบสุขที่แท้จริงเสียที่ใด” องค์หญิงใหญ่หนิงหวาทอดถอนหายใจแล้วกล่าวพูด “หากเจ้าต้องการเป็นอิสระจากการถูกคนเหล่านี้เหนี่ยวรั้งและสร้างความรำคาญ เจ้าก็ควรที่จะเข้มแข็งขึ้นมาเสียก่อน ดั่งคำที่กล่าวเอาไว้ ‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’ นางเป็นเพียงคุณหนูในตระกูลที่อยู่ไกลและมีที่พึ่งเพียงคนเดียวคือพี่สาวในเมืองหลวง ทว่าพี่สาวของนางสุขภาพร่างกายอ่อนแอไม่อาจพึ่งพิงได้เสียเท่าใด แล้วจะไม่ให้ผู้อื่นเอารัดเอาเปรียบได้อย่างไร”
หันซังเกอกล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้ลูกจึงมาหาท่านแม่เพื่อคิดหาวิธี เมื่อเข้าสู่เดือนสิบสอง ก็ได้เวลาที่เหยาหย่วนจือเข้ามารายงานเรื่องงานของเขาในเมืองหลวงแล้ว พวกเราต้องปกป้องนางเพียงแค่ครึ่งเดือนกว่าเท่านั้นขอรับ”
“อืม เรื่องนี้ลูกไม่จำต้องกังวลแล้ว” องค์หญิงใหญ่หนิงหวาพยักหน้า จากนั้นมองไปที่บุตรีของตน พร้อมพูดขึ้น “หากจะกล่าวเช่นนั้น ขอเพียงแค่หาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับนาง และตกลงกันในเร็ววัน เพียงแค่นี้คนเหล่านั้นก็ยอมแพ้แล้ว”
หันหมิงชั่นมององค์หญิงใหญ่ที่แย้มยิ้มเล็กน้อย พร้อมเอ่ยถามด้วยความตกใจ “ท่านแม่พูดเช่นนี้? ท่านแม่เองก็ชื่นชอบคุณหนูเหยา จึงอยากจะสู่ขอนางเข้ามาเป็นพี่สะใภ้ของลูกกระนั้นหรือ”
เดิมทีองค์หญิงใหญ่หนิงหวาครุ่นคิดถึงการสมรสของบุตรีที่ยังไม่ได้มีการตกลง แล้วนางจะมีใจคิดไปสนใจบุตรีของผู้อื่นได้อย่างไร ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าบุตรีจะเอ่ยพูดวาจาเช่นนี้ขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์หญิงใหญ่ไม่เคยคิดพิจารณามาก่อน ด้วยเหตุนี้นางจึงนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบมีสติกลับมา พร้อมกล่าวพูด “พูดเรื่อยเปื่อยอะไร ตระกูลของเรามีผู้ใดที่เหมาะสมกับนาง”
หันหมิงชั่นรีบปิดปากไม่กล้าพูดสิ่งใดให้มากความอีก นางมองไปที่หันซังเกอแล้วเล่นหน้าเล่นตา จากนั้นก้มหน้าลงจับถ้วยชาในมือเล่น
ทางด้านหันซังเกอก็นิ่งค้างกับคำพูดของน้องสาว ทว่าเขากลับหัวเราะขึ้นมา “คำพูดของน้องสาวเป็นการกล่าวเตือนข้า เวลานี้เหล่าแม่ทัพหนุ่มภายใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อที่ยังไม่ได้สมรสก็มีหลายคน เช่นนั้นท่านแม่ช่วยเป็นแม่สื่อให้กับคุณหนูเหยา ถึงอย่างไรย่อมต้องดีกว่าพวกคนที่ไม่น่าไว้ใจเหล่านั้น”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาครุ่นคิดอยู่นานครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าววาจา “เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ ในทางเดียวกันจะว่าเล็กก็เล็ก แม้ว่าคุณหนูเหยาจะเป็นบุตรีอนุภรรยา แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรีของเหยาหย่วนจือ อีกทั้งพี่สาวของนางก็เป็นถึงฮูหยินจวนติ้งโหว ด้านในนี้มีความเชื่อมโยงกันไม่น้อย จำต้องคิดอย่างรอบคอบ”
“ท่านแม่พูดถูก แต่เหตุเพราะเป็นเช่นนี้ ลูกจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีท่านแม่ออกหน้าให้จึงจะดีกว่า ขอรับ” นัยน์ตาของหันซังเกอเงียบสงบทว่ากลับเคร่งขรึม คำพูดเพียงไม่กี่คำกลับเปี่ยมไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาพยักหน้าช้าๆ ดวงหน้าของนางมีรอยยิ้มที่โล่งใจ พร้อมเอ่ยถามขึ้น “เจ้าคิดว่าในบรรดาแม่ทัพหนุ่มเหล่านี้ ผู้ใดมีอนาคตที่ดีมากกว่า”