เหมือนกัน? เว่ยจางหยุดเดินหนึ่งก้าว มองดูแผ่นหลังสูงโปร่งของอวิ๋นคุน พร้อมกับขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยังมีใครอีก หรือคนตรงหน้านี้ก็หมายปองในตัวนางเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งสบตาสื่อความนัยกับคุณหนูรองหัน…
อวิ๋นคุนสังเกตเห็นเว่ยจางเดินตามหลังไปหนึ่งก้าว เขาจึงหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับไปมองเว่ยจาง และได้เห็นคิ้วของเว่ยจางขมวดขึ้นมา อวิ๋นคุนจึงหัวเราะ “เป็นอะไรไป เจ้าไม่เห็นหรือว่าตอนที่เซ่าเชินเอ่ยถึงคุณหนูเหยา นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายแวววาวเช่นไร”
“คุณชายเฟิงเป็นเพียงเด็กหนุ่ม เกรงว่าความรู้สึกที่เขามีต่อคุณหนูเหยาจะไม่ยาวนาน” เว่ยจางยิ้มบางๆ
เว่ยจางมองออกนานแล้วว่าเฟิงเซ่าเชินมีใจให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ เพียงแต่เขาไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจก็เท่านั้น เขารู้สึกว่าจากอำนาจของตระกูลเฟิง ไม่มีวันให้หลานชายซึ่งเป็นบุตรภรรยาเอกของครอบครัวบุตรชายคนโตไปสมรสกับสตรีที่มีชาติกำเนิดเป็นบุตรีอนุภรรยาอย่างแน่นอน อย่าได้พูดถึงอัครมหาเสนาบดีเฟิงและหลิงซีจวิ้นจู่เลย เพียงแค่ท่านผู้มีอำนาจในวังในก็ไม่มีทางตกลงอย่างแน่นอน
ทว่าชั่วขณะที่อวิ๋นคุนถอนหายใจเบาๆ เมื่อครู่นั้น เว่ยจางก็ล่วงรู้ในหัวใจตนเองทันที ‘แม่นางเหยาเยี่ยนอวี่คนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นของเขา’
เหยาเยี่ยนอวี่และหันหมิงชั่นกลับไปเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่หนิงหวา เวลานี้ กำลังจิบน้ำชาในเรือนอั้นเซียง พวกนางถวายก้านดอกเหมยขึ้นไป องค์หญิงใหญ่หนิงหวายิ้มแล้วพูดขึ้น “เหตุใดจึงตัดกิ่งเล็กๆ เพียงกิ่งเดียวเล่า”
หันหมิงชั่นยิ้มแล้วตอบคำถาม “น้องเหยารู้สึกเสียดายกิ่งดอกเหมยเพคะ จึงไม่ต้องการตัดกิ่งดอกเหมยที่มีขนาดใหญ่ ลูกเองก็รู้สึกเช่นนี้ อีกทั้งกิ่งดอกเหมยเล็กๆ เช่นนี้ก็แลดูน่าสนใจไปอีกแบบ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวายังไม่ทันพูดสิ่งใด อวิ๋นเหยาเดินเข้ามาพอดี นางหัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้น “มันก็แค่กิ่งดอกเหมยเท่านั้น เดิมทีดอกเหมยเหล่านี้ก็มีเพื่อให้คนชื่นชม คนที่รู้จะบอกว่าผู้ที่ตัดกิ่งไม้เล็กๆ นั้นหวงแหนดอกไม้ ทว่าคนที่ไม่รู้ก็คงจะบอกว่าผู้ที่ตัดกิ่งไม้นั้นตระหนี่ ไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ ทุกคนที่นั่งอยู่ในเรือนล้วนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณหนูเหยาเป็นแขกของข้า เหยาเอ๋อร์อย่าได้เสียมารยาทสิ”
อวิ๋นเหยาเดินไปเบื้องหน้าองค์หญิงใหญ่หนิงหวา จากนั้นย่อตัวลงเล็กน้อย “เพคะ คำสั่งสอนของเสด็จป้า อวิ๋นเอ๋อร์จำเอาไว้แล้วเพคะ” พูดจบ นางก็หันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อย จากนั้นยกยิ้มอย่างทระนง “คุณหนูเหยา เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตั้งใจมีปัญหากับเจ้า เพียงแต่พูดไปตามความจริงก็เท่านั้น”
ไม่มีร่องรอยของการขอโทษหรือความละอายใจในดวงตาที่หยิ่งผยองของอวิ๋นเหยา ในทางกลับกันแววตาคู่นี้ยังคงแฝงไว้ด้วยความยั่วยุ
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าการถกเถียงกับสาวน้อยเช่นนี้ช่างน่าขัน หากตามอายุที่แท้จริง ตนสามารถเป็นมารดาของนางได้แล้ว พวกนางทั้งสองต่างชั่วอายุคนกัน! ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ้มอย่างไม่แยแส “ไม่เป็นไร เป็นเพียงแค่การหยอกล้อเท่านั้น หากนำทุกเรื่องมาคิดเป็นจริงเป็นจัง เกรงว่าคงจะเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก”
สีหน้าของอวิ๋นเหยาเปลี่ยนไปในทันที แววตาของนางจ้องเขม็งไปยังเหยาเยี่ยนอวี่ ขณะที่นางกำลังจะพูดขึ้นนั้น ก็ถูกหันหมิงชั่นห้ามปรามด้วยการรั้งนางไว้ “อวิ๋นเอ๋อร์ มานี่เถอะ”
“เจ้าทำอะไร!” อวิ๋นเหยาสะบัดมือออกจากหันหมิงชั่นด้วยความโมโห
“เหยาเอ๋อร์!” สีหน้าของหันหมิงชั่นเย็นยะเยือก นางรู้ดีว่าอวิ๋นเหยาดูแคลนเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าในจวนองค์หญิงใหญ่นั้น เหยาเยี่ยนอวี่ถือเป็นแขกคนสำคัญ แม้อวิ๋นเหยาจะสูงศักดิ์เพียงใดก็ต้องตระหนักถึงเกียรติของจวนองค์หญิงใหญ่ นางกระทำเสียมารยาทเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นองค์หญิงใหญ่ในสายตา
อวิ๋นเหยาถูกหันหมิงชั่นตำหนิเสียงเบา ภายในใจของนางรู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก ทว่าก็ไม่อาจทำสิ่งใดกับหันหมิงชั่นได้ นางทำได้เพียงสะบัดมือทิ้งแล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง
ทุกคนที่นั่งอยู่ภายในเรือนต่างก็รับรู้เป็นอย่างดี ทว่าเห็นแก่หน้าของทั้งสองฝ่ายจึงยากที่จะพูดสิ่งใด เหยาเฟิ่งเกอลอบถอนหายใจเงียบๆ แล้วเปรยในใจ เหยาเยี่ยนอวี่ทำให้อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ขุ่นเคืองถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาวางถ้วยน้ำชาในมือลง จากนั้นค่อยๆ เหยียดกายลุกขึ้น นางกวักมือเรียกอวิ๋นเหยา แล้วพูดขึ้น “เอาล่ะ อวิ๋นเหยาออกไปเดินเล่นกับข้า แม้ว่าเวลานี้ดอกเหมยกลีบเลี้ยงเดี่ยวยังไม่ผลิบานทั้งหมด ทว่าดอกเหมยเหลืองได้ผลิบานไปกว่าครึ่งแล้ว พวกเราไปดูทางด้านนั้นกันเถอะ ส่วนพวกเจ้าเองก็ทำตัวตามสบาย ไปเดินเล่นในสวนได้ ไม่ต้องมากพิธีอะไร”
แม้ว่าอวิ๋นเหยาจะดื้อดึงเพียงใดก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นกับองค์หญิงใหญ่ นางทำได้เพียงคล้องแขนขององค์หญิงใหญ่หนิงหวาเพื่อพยุงนางเอาไว้ สองป้าหลานค่อยๆ เดินออกไปจากเรือนอั้นเซียง
เฟิงเซ่าอิ่งยิ้มให้เหยาเฟิ่งเกอและพูดว่า “ข้าจะไปดูว่างานเลี้ยงตอนเที่ยงจัดเตรียมไว้อย่างไรน้องสาวกำลังท้องและทนหนาวไม่ไหวหรอก ดังนั้นเจ้าจงนั่งที่นี่อย่างสบายใจเถิด”
แน่นอนว่าเหยาเฟิ่งเกอต้องตอบรับด้วยรอยยิ้มอยู่แล้ว นางพูดกับเฟิงเซ่าอิ่งด้วยความสุภาพ จากนั้นส่งเฟิงเซ่าอิ่งออกไปด้านนอก
ทางด้านหันหมิงชั่นนั่งอยู่ข้างๆ เหยาเยี่ยนอวี่ นางปลอบเสียงเบา “ไม่เป็นไร นางเพียงแค่ปากร้ายก็เท่านั้น ความเป็นจริงนางไม่ใช่คนที่จิตใจไม่ดีแต่อย่างใด เจ้าอย่าเก็บเอาไปใส่ใจ”
เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า “พี่หันอย่าได้เป็นกังวลเลย ข้าไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด” ถึงแม้ว่าข้าจะคิดมาก ข้าก็ไม่อาจพูดได้ นางเป็นจวิ้นจู่ที่เป็นราชนิกุล ส่วนตนเป็นข้าราชบริพารและเป็นเพียงบุตรีอนุภรรยา สถานะของทั้งสองก็แตกต่างกันมาก แม้ว่าตนจะถูกรังแกก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
หันหมิงชั่นเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด อีกทั้งนางยังเติบโตในวงสังคมของเหล่าราชนิกุล อายุของนางก็มากกว่าสตรีอื่นถึงสองปี จะมีเรื่องใดที่นางมองไม่ออกเล่า ด้วยเหตุนี้นางจึงจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้ แล้วพูดเสียงเบา “วางใจเถอะ เสด็จแม่ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าถูกรังแกอย่างแน่นอน”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มแล้วพยักหน้าอีกครั้ง “เจ้าค่ะ ข้ารู้ องค์หญิงใหญ่ดีกับข้ามาก”
“เรือนบุปผาที่อยู่ทางด้านนั้น เป็นเรือนปลูกดอกเหมยกลีบเลี้ยงเขียวเอาไว้ ไปกันเถอะ ข้าพาเจ้าไปดู” หันหมิงชั่นพูด จากนั้นดึงตัวเหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้น
ซูอวี้เหิงเดินเข้ามา “พี่หญิง ข้าไปด้วย”
เหยาเยี่ยนอวี่หันกลับไปมองสายตาของเหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นตบเบาๆ ที่มือหันหมิงชั่น แล้วพูดขึ้น “พี่หันกับเหิงเอ๋อร์ไปกันก่อนเถอะ เมื่อครู่ข้าเดินวนไปหนึ่งรอบแล้ว เวลานี้รู้สึกหนาวเล็กน้อยเลยไม่อยากออกไปอีกแล้ว”
“หินหมิงชั่นจนปัญญา ทำได้เพียงเรียกหันหมิงหลังและหันหมิงเจวี๋ยสองพี่น้องที่เป็นบุตรีอนุภรรยา “พวกเจ้าอยู่พูดคุยกับคุณหนูเหยา ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว”
แน่นอนว่าสองพี่น้องหันหมิงหลังย่อมเห็นด้วย หันหมิงชั่นถูกซูอวี้เหิงลากไปยังเรือนกระจกที่อยู่ด้านหลัง เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเหยาเฟิ่งเกอ นางคุกเข่าลงช้าๆ จากนั้นรินน้ำชาให้กับเหยาเฟิ่งเกอ
ก่อนหน้านี้องค์หญิงใหญ่อยู่ด้วย แน่นอนว่าคำพูดมากมายที่อยู่ในใจของเหยาเฟิ่งเกอไม่อาจพูดได้ เวลานี้องค์หญิงใหญ่และทุกคนได้ออกไปข้างนอกแล้ว ข้างกายมีเพียงบุตรีอนุภรรยาตระกูลหันสองคนเท่านั้น เหยาเฟิ่งเกอจึงไม่ได้สนใจมากมายเท่าใด นางจับมือเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้ แล้วเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าและอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่”
“ข้าเองก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำผิดอะไรต่อจวิ้นจู่ผู้หยิ่งทะนง การที่นางคอยหาเรื่องตนเช่นนี้ทำให้นางไม่เข้าใจยิ่งนัก
“เฮ้อ!” เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจลึกๆ แล้วพูดด้วยเสียงเบา “จวนเฉิงอ๋องไม่อาจเทียบกับตระกูลอื่นได้ เฉิงอ๋องเป็นถึงพระอนุชาของฮ่องเต้ อยู่ใต้บังคับบัญชาคนเพียงหนึ่งเดียวทว่าอยู่เหนือคนนับหมื่น อีกทั้งอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ก็เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของท่านอ๋อง เจ้ารู้หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “ข้ารู้”
เหยาเฟิ่งเกอพูดกำชับอีกครั้ง “ประเดี๋ยวองค์หญิงใหญ่และจวิ้นจู่กลับมา เจ้าต้องพูดจาให้อ่อนโยน”
“เจ้าค่ะ พี่สาววางใจเถอะ ข้าจำเอาไว้แล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่รับปาก ทว่าภายในใจของนางกลับหงุดหงิดยิ่งนัก นางกำลังสงสัยว่าตนเองมาทำสิ่งใดที่นี่ หรือเพียงมาคอยชดเชยให้จวิ้นจู่ผู้นั้น
เหยาเฟิ่งเกอบอกกับเหยาเยี่ยนอวี่ถึงความสำคัญในการผูกมิตรกับจวนเฉิงอ๋องไม่กี่ประโยค จากนั้นพูดเสียงเบา “เยี่ยนอวี่ ถ้าเจ้าจะช่วยจับชีพจรให้ข้า?”
เหยาเยี่ยนอวี่ชะงักงัน จากนั้นเอ่ยถามด้วยความตกใจ “พี่สาวรู้สึกไม่สบายหรือ”
“มิใช่” เหยาเฟิ่งเกอหัวเราะเสียงเบา “ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าทารกในครรภ์ของข้าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง น้องสาวมีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ช่วยจับชีพจรให้ข้าที พี่จะได้รู้ว่าควรทำเช่นไร”