เหยาเยี่ยนอวี่และหันหมิงชั่นเดินตามซูอวี้เหิงเข้าไปตรงประตู ซูอวี้เหิงเห็นพวกนางทั้งสองจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดขึ้นมา “พวกเราพี่สาวน้องสาวทั้งสามคนดูเหมือนจะติดเข้าด้วยกันและไม่สามารถแยกจากกันได้”
ซุนฮูหยินน้อยจึงรีบเดินเข้ามาต้อนรับ พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ของซูอวี้เหิงจึงพูดขึ้น “น้องสามอย่าได้พูดจาขบขันเลย รีบเชิญคุณหนูเหยาเข้าไปในเรือนของฮูหยินท่านซื่อจื่อเถอะ ฮูหยินท่านซื่อจื่อเพิ่งจะเดินไม่ระวังจนหกล้ม ดูท่าจะไม่ดีเลย เมื่อครู่ก็ได้เชิญหมอหลวงมาแล้ว หมอหลวงกลับบอกว่า…” ขณะที่เอ่ยถึง ขอบตาของซุนฮูหยินน้อยก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันที จากนั้นก็อ้ำ อึ้งด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ทำได้เพียงขอให้คุณหนูเหยาผู้มากความสามารถช่วยชีวิตของพี่สะใภ้ใหญ่และทารกในครรภ์ของนางด้วยเถอะ!”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินจึงรู้สึกตะลึงงันจนพูดอะไรไม่ออก
ซูอวี้เหิงได้ยินจึงถามขึ้น “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ใช่ว่าใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาโดยตลอดหรือ”
ซุนฮูหยินน้อยถอนหายใจ “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่สามารถพูดอย่างกระจ่างชัดได้ ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ด้วย ตอนนี้ก็อย่าได้พูดอะไรให้มากความเลย รีบเชิญคุณหนูเหยาไปดูอาการพี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเรากันเถอะ”
เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะบอกว่าสตรีวัยสาวควรหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้ หันหมิงชั่นต้องการบอกว่า เหยาเยี่ยนอวี่เป็นเพียงเด็กผู้หญิง แล้วนางจะมีวิธีแก้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ อย่างการคลอดบุตร? แต่หันหมิงชั่นก็รู้ด้วยว่าตนเป็นแค่แขกในจวนติ้งโหว พี่สาวของเหยาเยี่ยนอวี่เป็นภรรยาคุณชายสาม นางส่งคนไปหาเหยาเยี่ยนอวี่ตามหลักแล้วก็ต้องการให้มาช่วยชีวิตคน สำหรับเรื่องที่จะช่วยได้หรือไม่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ตนสามารถกล่าวมากความได้ จึงได้แต่ยื่นมือไปหาซูอวี้เหิงและชักชวน “เหิงเอ๋อร์ อย่าได้ไปวุ่นวาย”
เหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังว้าวุ่นใจอยู่ก็ถูกซุนฮูหยินน้อยลากตัวเข้ามาในเรือนชิงผิงทันที
ตอนนี้เรือนชิงผิงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวาย ลู่ฮูหยินนั่งควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง หมอหลวงทั้งสองคนกำลังปรึกษาหารือว่าจะใช้ยาสมุนไพรชนิดไหนดี กะละมังที่บรรจุน้ำที่ปะปนไปด้วยเลือดก็ถูกยกออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า และกะละมังทองแดงที่ใส่น้ำร้อนไว้ก็ถูกยกเข้ามาไม่หยุด ทั้งเรือนจึงฟุ้งกระจายไปด้วยกลิ่นคาวของเลือด ต่อให้เหยาเยี่ยนอวี่ที่เคยเป็นแพทย์ผ่าตัดหัวใจให้กับคนไข้ พอได้กลิ่นคาวเลือดก็ยังรู้สึกอยากจะอาเจียนเลย
ซูอวี้ผิงเดินไปมาในสวนหย่อมด้วยความกระวนกระวาย พอหมุนตัวกลับมาก็มองเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ ทันใดนั้นเขาก็ไม่ทันสนใจเรื่องกฎระเบียบและมารยาท ก็รีบเดินเข้ามาทำมือคารวะ “คุณหนูเหยา เจ้ามาเสียที! ไม่ว่าอย่างไร ได้โปรดช่วยชีวิตภรรยาของข้าไว้ด้วยเถอะ! ข้าขอร้อง!”
“ท่านซื่อจื่ออย่าทำเยี่ยงนี้เลย! เยี่ยนอวี่จะพยายามสุดความสามารถแน่นอนเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่พูดเช่นนี้ แต่กลับลอบถอนหายใจในใจ แค่ได้กลิ่นคาวเลือดที่แรงเยี่ยงนี้ เกรงว่าทารกในครรภ์ของเฟิงฮูหยินน้อยคงจะไม่รอดชีวิตแน่นอน
ซุนฮูหยินน้อยพาเหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปทำความเคารพกับลู่ฮูหยินก่อน ลู่ฮูหยินที่กำลังมีสีหน้าที่ดูซีดหมอง พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น แล้วกล่าวขึ้น “คุณหนูผู้แสนดี ข้าต้องรบกวนเจ้าแล้ว ขอให้เจ้าคิดหาวิธีช่วยชีวิตของพวกนางสองแม่ลูกไว้ด้วยเถอะ…ข้าจะขอบคุณเจ้าล่วงหน้าเป็นอย่างมาก!”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วพลางกล่าว “เยี่ยนอวี่จะพยายามสุดความสามารถ”
“เด็กดี ลำบากเจ้าแล้ว” ลู่ฮูหยินถอนหายใจ
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปเรียกชุ่ยเวย “เอาเข็มเงินมา เจ้าก็ไม่ต้องเข้ามาแล้ว”
ชุ่ยเวยก็เป็นสตรีอยู่แต่ในเรือนผู้หนึ่ง นางจะเผชิญกับสถานการณ์อันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร ขาทั้งสองข้างของนางอ่อนแรงไปนานแล้ว ภายในใจก็รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก
เหตุเพราะการแท้งบุตรเป็นเคราะห์เลือดตกยางออก จึงไม่เหมาะแก่การรักษาตัวในเรือนนอน ดังนั้นตอนนี้เฟิงซื่อจึงอยู่ในเรือนข้าง
ซุนฮูหยินน้อยพาเหยาเยี่ยนอวี่ออกจากห้องโถงหลักแล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนข้างทิศตะวันตก จากนั้นก็มีสาวใช้เลิกม่านประตูขึ้น ซุนฮูหยินน้อยและเหยาเยี่ยนอวี่เดินตามกันเข้าไป ภายในเรือนจุดเตาถ่านไว้ จึงทำให้อากาศในเรือนร้อนระอุ กลิ่นคาวของเลือดนั้นแรงกว่าเดิม เฟิงฮูหยินน้อยมีสีหน้าที่ขาวซีดเหมือนดั่งกระดาษกำลังนอนอยู่บนตั่งไม้แคบ ข้างบนร่างกายถูกคลุมด้วยผ้าห่มและผ้าปูที่นอนฝ้ายสีเข้มที่รองร่างกายส่วนล่างเปียกโชกไปด้วยเลือด
ทารกในครรภ์ที่เจริญเติบโตเป็นรูปเป็นร่างเพิ่งจะไหลออกมา และกำลังถูกผัวจื่อเอาผ้าห่อหุ้มไว้ พอเห็นว่าซุนฮูหยินน้อยเข้ามา ผัวจื่อผู้นั้นจึงย่อตัวน้อมคำนับและไม่ได้เอ่ยพูดอะไร
“เป็นเช่นไรแล้วบ้าง” ซุนฮูหยินน้อยเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ผัวจื่อผู้นั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “เรียนซุนฮูหยินน้อย ทารกเจริญเติบโตเป็นรูปเป็นร่างของเพศชายแล้วเจ้าค่ะ”
ซุนฮูหยินน้อยขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ “น่าเสียดายจริงๆ!”
เหยาเยี่ยนอวี่ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไรมากมาย ก็ต้องสะดุ้งด้วยเสียงอุทานจากด้านใน
“เร็ว! ฮูหยินซื่อจื่อกำลังตกเลือด! รีบเชิญหมอหลวงมาเร็ว!” สาวใช้คนสนิทของเฟิงฮูหยินน้อยนามเฉินซินเปรยขึ้นอย่างเสียงดัง “รีบเชิญหมอหลวงมา! เร็วเข้า!”
ซุนฮูหยินน้อยรีบจับมือเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ แล้วพูดขึ้นด้วยความประหม่า “น้องสาว เจ้ารีบคิดหาวิธี! อาการตกเลือดรุนแรงเช่นนี้ หมอหลวงทั้งหลายก็จนปัญญาจริงๆ!”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วขึ้น “อย่างไรก็ตาม ก็ต้องเชิญหมอหลวงเข้ามาก่อน เพราะข้าก็ไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อน!”
ซุนฮูหยินน้อยจึงพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “ใช่! ใช่! รีบเชิญหมอหลวงมา!”
หมอหลวงที่อยู่ด้านนอกพอได้ยินเสียงจึงเข้ามาในเรือน หนึ่งในหมอหลวงที่มีอายุราวๆ ห้าสิบปีที่ไว้เคราแพะก็เงยหน้าขึ้น พร้อมกับเหลือบตามองเหยาเยี่ยนอวี่พลางขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นก็เดินเข้าไปจับชีพจรให้กับเฟิงฮูหยินน้อย
เฟิงฮูหยินน้อยที่ตกเลือดมากเกินไป และรวมไปถึงการมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ เวลานี้นางสูญเสียความคิดแทบจะไม่มีชีวิตชีวาในเรื่องใด ทั้งยังนอนอยู่บนตั่งไม้อันคับแคบอย่างสะลืมสะลือ หยาดเหงื่อและน้ำตาบนใบหน้าไม่สามารถแยกแยะได้ บางทีอาจเป็นเพราะความเจ็บปวดทำให้มีเสียงครวญครางออกจากปากเป็นครั้งคราว แต่น้ำเสียงก็อ่อนแรงเช่นกัน
แววตาของเหยาเยี่ยนอวี่จับจ้องเลือดสีแดงคล้ำไหลออกมาจากใต้ผ้าปูที่นอนไม่หยุด และเริ่มหยดลงสู่พื้น
ทันใดนั้น เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเพียงว่าศีรษะของนางเต้นตุบๆ ขึ้นมาทันที ภายในใจก็ว้าวุ่นยิ่งนัก
ขณะเดียวกัน นางก็แอบเตือนสติตัวเอง ตนคือแพทย์คนหนึ่งที่ได้ผ่านการผ่าศพมาสิบกว่าศพ และก็ผ่านการผ่าตัดมามากมาย การเผชิญสถานการณ์แบบนี้ ตนไม่ควรตื่นตระหนกหรือประหม่า นี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต้องสงบสติอารมณ์! สงบสติอารมณ์! สงบสติอารมณ์!
หมอหลวงที่ไว้เคราแพะที่เข้าไปตรวจชีพจรให้กับเฟิงฮูหยินน้อยก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็ส่ายหัว แล้วเหยียดกายลุกขึ้นพลางเดินออกไปข้างนอก
เฉินซินเห็นจึงตะโกนขึ้นอย่างเจ็บปวด “หมอหลวง! ได้โปรดช่วยฮูหยินของข้าด้วยเถิด! ได้โปรด! ต้องช่วยฮูหยินของข้า!”
หมอหลวงที่ไว้เคราแพะจึงถอนหายใจอีกครั้ง “ฮูหยินท่านซื่อจื่อเกิดอาการตกเลือดหลังแท้ง อย่างไรก็เตรียมจัดงานศพไว้แต่เนิ่นๆ เถอะ”
หมอหลวงอีกคนส่ายหน้า แล้วก็ตามหมอหลวงที่ไว้เคราแพะออกไปข้างนอกอย่างไม่พูดไม่จา
เฉินซินจึงหมุนตัวพุ่งเข้ามาหาเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นก็จับมือนางพลางร้องขอความช่วยเหลือ “คุณหนูเหยา! ท่านช่วยฮูหยินของพวกบ่าวด้วย! ฮูหยินของพวกบ่าวเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีและทานมังสวิรัติมาโดยตลอด ไม่เคยไปคิดร้ายกับใคร สวรรค์ไม่ควรทำเช่นนี้กับนาง!”
เหยาเยี่ยนอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นผลักมือของเฉินซินออก แล้วเดินไปตรงหน้าตั่งไม้ของเฟิงฮูหยินน้อย จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับชีพจรของเฟิงฮูหยินน้อยด้วยความตั้งอกตั้งใจ และรีบเปิดถุงเก็บเข็มเงินออก แล้วสั่งการสาวใช้สกุลเฉินด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เปิดผ้าห่มออก”
เฉินซินยังคงนิ่งงันแล้วไม่ตอบสนองใดๆ
ซุนฮูหยินน้อยสะกิดนาง แล้วสั่งการกับเหล่าผัวจื่อที่อยู่ข้างๆ “ทุกคนรีบมาเป็นผู้ช่วยของคุณหนูเหยา เร็วเข้า!”
เฉินซินได้สติกลับมาทันที จากนั้นรีบหันไปเปิดผ้าห่มลายกล้วยไม้บนร่างของเฟิงฮูหยินน้อยออก
เหยาเยี่ยนอวี่พยายามตั้งสติ และเปิดกระเป๋าเก็บเข็มออกอย่างสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็จับเข็มเงินออกมาแล้วบิดเข็มเงินค้นหาจุดหยิน จุดเสวียไห่ [1]จุดเก๋อซู [2]และจุดซี[3]ของเส้นลมปรานหยิน จากนั้นก็ฝังเข็มด้วยวิธีการรมยาแบบไท่อี่อย่างฉับไว
เวลาผ่านไปเพียงชั่วพริบตา เข็มเงินนับสิบกว่าเข็มทิ่งแทงไปตามจุดต่างๆ บนร่างกายของเฟิงฮูหยินน้อย อาการตกเลือดตรงท่อนล่างของนางจึงค่อยๆ หยุดลง
เดิมทีหมอหลวงที่ไว้เคราแพะได้เดินไปตรงหน้าประตู พอเห็นท่าทีของเหยาเยี่ยนอวี่จึงได้หยุดฝีเท้าลง เวลานี้เขาก็รู้สึกตกตะลึงจนถึงกับพูดอะไรไม่ออก
การฝังเข็มไม่ใช่วิชาที่น่าอัศจรรย์ในสำนักหมอหลวง ทว่าการฝังเข็มเช่นนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ กลับทำให้คนรู้สึกว่าช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก
[1] จุดเสวียไห่ เป็นจุดฝังเข็มบริเวณหัวเข่า
[2] จุดเก๋อซู เป็นจุดฝังเข็มบริเวณกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นจุดสนธิของพลังแห่งโลหิต
[3] จุดซี เป็นจุดที่เลือดและชี่จากเส้นลมปราณไหลเวียนมาสะสมรวบรวมอยู่