“ท่านแม่ทัพขอรับ” จ้าวต้าเฟิงก้าวมาข้างหน้าสองก้าว แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “จวนติ้งโหวเกิดเรื่องแล้วขอรับ”
“หืม?” นัยน์ตาของเว่ยจางแปรเปลี่ยนไปทันที แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
จ้าวต้าเฟิงกดเสียงต่ำลง แล้วพูดขึ้น “วันนี้ฮูหยินท่านซื่อจื่อแห่งจวนติ้งโหวแท้งบุตรขอรับ”
เว่ยจางนิ่งงันไปทันที จากนั้นก็แสยะยิ้ม “จ้าวต้าเฟิง ยิ่งอยู่เจ้าก็ยิ่งมีพฤติกรรมย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ! เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าเจ้ากลายเป็นสตรีที่ชอบซุบซิบเรื่องของผู้อื่น! เรื่องยุ่งๆ เช่นนี้ เจ้ากลับเห็นว่ามันเป็นธุระสำคัญหรือไร ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
“ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านแม่ทัพ!” จ้าวต้าเฟิงเห็นเว่ยจางกำลังหันหลังเดินกลับเข้าเรือน จึงรีบเดินตามไป แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพไม่ถามหรือว่าเรื่องดำเนินต่อไปอย่างไร เรื่องมันเกี่ยวข้องกับคุณหนูเหยาเลยนะขอรับ!”
เว่ยจางหยุดชะงักฝีเท้า แล้วเหลือบตามองจ้าวต้าเฟิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นยกมือขึ้นพลางโยนดาบยาวไปกระแทกบนร่างของจ้าวต้าเฟิง แล้วก็ก่นด่าขึ้น “มีอะไรจะพูดก็พูดมา อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นั่นแหละ!”
“ฮ่าฮ่า! บ่าวรู้ดีว่าพอเอ่ยถึงคุณหนูเหยาทีไร ท่านก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคนทุกที” จ้าวต้าเฟิงยกมือพลางรับดาบยาวเอาไว้ในมือ จากนั้นก็เดินตามเว่ยจางไปที่ประตู พร้อมกับกล่าวซุบซิบต่อ “ข้าได้ยินมาว่าตอนที่ฮูหยินท่านซื่อจื่อแท้งบุตรได้ตกเลือดเป็นอย่างมาก ปรมาจารย์ด้านสูตินรีเวชในสำนักหมอหลวงยังจนปัญญา และให้แนะนำให้จัดเตรียมงานศพแต่เนิ่นๆ ยังดีที่คุณหนูเหยาผู้ไร้เทียมทานทางวิชาการแพทย์ยื่นมือออกมาช่วยเหลือ นางใช้วิชาการฝังเข็มมาช่วยชีวิตฮูหยินท่านซื่อจื่อเอาไว้ขอรับ”
เว่ยจางขมวดคิ้วเป็นปม แล้วเอ่ยถาม “นางไม่ได้อยู่ที่จวนองค์หญิงใหญ่หรือ เหตุใดถึงได้วิ่งไปอยู่ที่จวนติ้งโหว”
“ระหว่างทางที่นางเดินทางกลับบ้านนา ได้ยินว่าฮูหยินน้อยสามจวนติ้งโหวส่งคนไปเชิญนาง คราวนี้คุณหนูเหยาคงจะมีสถานะที่น่าเกรงขามแล้ว นางสามารถอยู่เหนือกว่าหมอหลวงผู้เฒ่าคนนั้น ได้ยินมาว่าตอนที่ผู้เฒ่าคนนั้นออกจากจวนติ้งโหว สีหน้าดูย่ำแย่ยิ่งนัก…”
“ตอนนี้ล่ะ”
“ตอนนี้? แน่นอนว่าตอนนี้คุณหนูเหยากลับบ้านนาลิ่วหรูของท่านไปแล้วขอรับ”
“เหลวไหล! ที่นั่นไม่ได้เรียกว่าบ้านนาลิ่วหรูแล้ว”
“อ้อ! ใช่ขอรับ” จ้าวต้าเฟิงหัวเราะแห้งๆ จากนั้นก็ตบหน้าผากของตัวเอง “บ่าวลืมไป ตอนนี้บ้านนานั้นเป็นของคุณหนูเหยาไปแล้ว เรียกว่าอะไรนะขอรับ เรียก…‘บ้านนาน้อยวัวจวู’ ฮ่าฮ่า! คุณหนูเหยาก็จริงๆ เลย เอาตัวเองไปเปรียบเปรยอะไรก็ได้ กลับเอาไปเปรียบเป็นหอยทากตัวน้อย! นางช่างเป็นคนที่ตลกดีจริงๆ”
“หุบปาก!” เว่ยจางตำหนิด้วยเสียงโมโห
“ขอรับ!” จ้าวต้าเฟิงอดกลั้นความอยากหัวเราะเอาไว้ จากนั้นก็หุบปากด้วยความเชื่อฟัง
ภายในใจของเว่ยจางรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา ถ้าหากเหยาเยี่ยนอวี่ไปผิดใจกับหมอหลวงจางในสำนักหมอหลวง ไม่รู้ว่าวันข้างหน้านางจะต้องพบเจอกับปัญหาอะไรอีก
เพียงแต่ว่าสำนักหมอหลวงเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ทรงควบคุมอย่างเข้มงวดที่สุด อย่าว่าแต่เหล่าขุนนางเลย แม้กระทั่งจวนอ๋องหรือจวนอัครเสนาบดียังไม่สามารถเข้าไปข้องเกี่ยวได้ หากหมอหลวงจางจะแก้แค้นเหยาเยี่ยนอวี่จริงๆ ตนก็มีวิธีช่วยนางอยู่บ้าง
ความรู้สึกไร้อำนาจที่ไม่สามารถควบคุมได้ตีเข้าสู่หัวใจของเว่ยจางอีกครั้ง เขาค่อยๆ กำหมัดแน่นและแอบขำตัวเอง ทำไมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่นางผู้นี้ ตนจะต้องตื่นตระหนกมากขนาดนี้?
ตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ฉังเหมาก็เดินมาจากด้านหลัง พอเห็นจ้าวต้าเฟิงส่งสัญญาณให้เขาอย่างเงียบๆ ‘มีกิจสำคัญอะไรเกี่ยวกับทางการทหารหรือ’ จ้าวต้าเฟิงโบกมือแล้วเผยยิ้มกวนๆ ในใจของฉังเหมารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ดังนั้นจึงเดินเข้าไปรายงานความคืบหน้า “ท่านแม่ทัพ น้ำอุ่นเตรียมเสร็จแล้ว เชิญท่านแม่ทัพอาบน้ำได้ขอรับ”
เว่ยจางหมุนตัวแล้วมองจ้าวต้าเฟิงที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น แล้วพูดขึ้น “ได้ เจ้าก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
จ้าวต้าเฟิงขานรับแล้วเดินออกไปข้างนอก ก่อนที่จะเดินออกไปก็ยังคงมองเว่ยจางอย่างกังวลใจ จากนั้นก็พึมพำอย่างเงียบๆ แท้จริงแล้วเรื่องนี้คือเรื่องดีนี่ เหตุใดท่านแม่ทัพเซ่าจึงทำสีหน้าที่เยียบเย็นเช่นนี้ นี่เขากำลังดูเหมือนไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
ค่ำคืนในเหมันต์ฤดู หลายๆ คนก็รู้สึกมีความสุข และอีกหลายๆ คนก็รู้สึกเศร้าหมอง
เช้าตรู่วันที่สอง เหยาเยี่ยนอวี่ลืมตาที่รู้สึกแสบเล็กน้อยขึ้น จากนั้นก็หันไปเหลือบมองหันหมิงชั่นที่ยังคงหลับใหลอยู่ จึงค่อยๆ เปิดผ้าห่มลงจากเตียงอย่างเงียบๆ สวมเสื้อผ้าแล้วออกจากห้องนอน
ชุ่ยเวยเห็นจึงรีบเดินหน้ามาปรนนิบัติรับใช้ และเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “คุณหนูหันยังหลับอยู่หรือเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “เมื่อคืนพวกเราพูดคุยกันจนดึก พวกเจ้าอย่าเพิ่งไปปลุกนางเด็ดขาด พี่สาวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ตอนกลางคืนหลับได้สนิทดีหรือไม่”
ขณะที่ชุ่ยเวยช่วยเหยาเยี่ยนอวี่ผูกเชือกเสื้อผ้า ก็ได้เอ่ยขึ้น “เมื่อครู่บ่าวเห็นพี่ซานหูออกมาแล้ว ตอนนี้คุณหนูใหญ่ก็คงจะตื่นนอนแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเราไปดูกัน” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไปพลางเดินไปยังเรือนฝั่งตะวันออก
เหยาเฟิ่งเกอเพิ่งตื่นนอน และยังนอนอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่เข้ามา สีหน้าของนางก็เจือด้วยความมีชีวิตชีวาทันที จากนั้นนางค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งพิงเตียง “น้องสาวตื่นเช้ายิ่งนัก”
เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปตรงหน้าเตียงนอนแล้วมองสีหน้าของเหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ “สีหน้าของพี่สาวยังคงดูดีอยู่ เมื่อคืนหลับได้ดีหรือไม่”
เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า “บ้านนาแห่งนี้ของเจ้าถือว่าเงียบสงบยิ่งนัก เมื่อวานข้าเลยหลับสนิทมาก”
“เป็นเช่นนี้ก็ดี ข้ายังกังวลว่าพี่สาวจะไม่คุ้นเคยกับที่นี่เสียอีก” เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นเสื้อคลุมผ้าต่วนสีเขียวให้เหยาเฟิ่งเกอ
“ทีแรกข้าก็นึกว่าบ้านนาแห่งนี้มีสิ่งไม่อำนวยความสะดวกอยู่มากมาย จะทำให้รู้สึกไม่คุ้นเคย วันนี้พอมาดูๆ แล้ว สิ่งอื่นใดคงไม่สำคัญเท่า ‘ความเงียบสงบ’ ข้าเหมือนจะไม่ได้นอนหลับอย่างสนิทและสบายใจเช่นนี้มานานแล้ว” เหยาเฟิ่งเกอรับเสื้อคลุมแล้วเอามาคลุมบนเรือนร่างของตัวเอง จากนั้นก็เหยียดกายลุกขึ้นจากเตียง
ซานหูพาสาวใช้คนใหม่ทั้งสองคนเดินเข้ามาปรนนิบัติเหยาเฟิ่งเกอให้เปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างหน้าให้นาง ส่วนเหยาเยี่ยนอวี่ก็ถือโอกาสสั่งให้ชุ่ยเวยนำเครื่องใช้ที่ใช้ล้างหน้าและแต่งกายของตนเข้ามาด้วย
ประจวบกับตอนที่เฝิงหมัวมัวเข้ามาพอดี หลังจากที่เอ่ยถามถึงอาหารเช้าที่เหยาเฟิ่งเกออยากกิน แล้วยังบอกกล่าวเหยาเยี่ยนอวี่ถึงการตระเตรียมอาหารเช้าประเภทใดให้หันซังเย่ว์ที่อยู่ข้างนอกบ้าง เหยาเยี่ยนอวี่มองชุ่ยเวยที่กำลังหวีผมผ่านคันฉ่อง ขณะที่นางก็เล่นที่ติดผมดอกไม้ปลอมไปด้วยแล้วฟังเฝิงหมัวมัวกล่าวจนจบ จึงค่อยสั่งการเพิ่มสองสามประโยค เฝิงหมัวมัวก็ขานรับแล้วจากไป
เหยาเฟิ่งเกอฟังเหยาเยี่ยนอวี่มอบหมายงานได้อย่างรอบคอบและเข้มงวดอยู่ข้างๆ อีกทั้งนางยังดูสุภาพเรียบร้อยและสง่างาม ทุกๆ ท่าทีของนางไม่แย่ไปกว่าตนเองเลย ทันใดนั้นนางจึงรู้สึกสะเทือนใจด้วยความเสียดาย นางเสียดายที่น้องสาวที่ทำงานประณีตนี้ไม่มีมารดาผู้ให้กำเนิดคนเดียวกันกับตนเอง แม้ว่าพวกนางจะเป็นพี่สาวน้องสาว แต่ก็น่าเสียดายที่มีผนังท้องของมารดาคนละคนเป็นสิ่งแบ่งกั้น
ไม่ว่าสถานการณ์ในจวนติ้งโหวจะวุ่นวายมากเพียงใด และไม่ว่าบรรยากาศในจวนแม่ทัพติ้งหย่วนจะอัดอั้นตันใจมากเพียงใด บ้านนาน้อยวัวจวูยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่มีแขกเหรื่อเพิ่มขึ้นสองคนเท่านั้น ด้านอาหารการกินและที่พักอาศัยของเหยาเฟิ่งเกอ มีหลี่หมัวมัว ซานหูและคนอื่นๆ ที่ติดตามมาด้วยคอยตรวจดูความเรียบร้อยทุกอย่าง เฝิงหมัวมัวจึงไม่ต้องกังวลใจ เหยาเยี่ยนอวี่เองก็ยิ่งเฉยเมยมากขึ้น
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่ก็สั่งให้ชุ่ยเวยเอามีดผ่าตัดพวกนั้นไปต้มกับน้ำเดือด จากนั้นก็ให้เตรียมผ้าตาข่ายที่มีเนื้อผ้าละเอียด แล้วยังเตรียมพวกผงยาสมุนไพรอะไรพวกนั้นไว้ด้วย
หันหมิงชั่นเห็นมีดใบเล็กที่แหลมคมเหล่านั้นจึงค่อนข้างหวาดผวา ทว่าพอนึกถึงคำพูดเย้ยหยันของอวิ๋นเหยาและสายตาอันแปลกประหลาดที่มองตนของเหล่าสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลราชนิกุลและตระกูลชั้นสูงในเมืองอวิ๋น สุดท้ายนางก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด แล้วนอนลงบนตั่งไม้ที่เหยาเยี่ยนอวี่จัดเตรียมไว้ให้นาง แล้วค่อยๆ หลับตาลง
เหยาเยี่ยนอวี่ใช้วิธีการฝังเข็มทำให้เส้นประสาทตรงส่วนขากรรไกรล่างของหันหมิงชั่นรู้สึกชา และก็ทำให้รอยแผลเป็นที่อยู่บริเวณคางของหันหมิงชั่นชาจนไร้ความรู้สึกด้วย จากนั้นก็จับเข็มเงินหนึ่งเข็มขึ้นแล้วพูดขึ้น “พี่หัน หากรู้สึกเจ็บ ก็ให้ยกมือขึ้น”
หันหมิงชั่นไม่สามารถพูดอะไรในตอนนี้ ทำได้เพียงกะพริบตาเพื่อบอกว่าตนเองรู้เรื่องแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่ใช้เข็มหัวแหลมทิ่มแทงเข้าไปตรงใต้ผิวหนังที่เป็นรอยแผลเป็น แล้วถามขึ้น “เจ็บหรือไม่”
หันหมิงชั่นส่ายหน้าเล็กน้อย
เหยาเยี่ยนอวี่ลองอีกสองที แล้วเอ่ยถาม “เจ็บไหม”
หันหมิงชั่นยังคงส่ายหน้า
หันซังเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ ก็มองด้วยความตื่นเต้น พอเห็นว่าน้องสาวของตนไม่รู้สึกเจ็บ จึงถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ