ตอนที่ 160 บางคนช้ำใจ บางคนซาบซึ้งใจ (1)
เหยาเยี่ยนอวี่หมุนตัวเดินไปตรงข้างหน้าฟูบหนังสุนัขจิ้งจอกที่ซูอวี้เหิงนั่งก่อนหน้านี้ แล้วนั่งคุกเข่าลง จากนั้นก็นำพิณจีนวางบนตัก แล้วใช้นิ้วดีดก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อลองเสียงดนตรีอย่างเบามือ หลังจากที่ลองเสร็จก็ดีดขึ้น
ตอนแรก นางดีดได้ไม่คล่องแคล่ว ระหว่างนั้นยังมีติดๆ ขัดๆ บ้าง หลังจากที่ดีดไปสองครั้ง บทเพลงถึงจะบรรเลงอย่างไหลลื่น จากนั้นก็ได้ปรับอารมณ์ความรู้สึกอีกครั้ง ก็มีความตั้งใจดีดขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในจวนข้าหลวงใหญ่ เหยาหย่วนจือก็ได้เชิญอาจารย์ฝึกสอนมาให้กับบุตรีทั้งสามคน จึงได้ฝึกจุตภาพศิลปะทั้งสี่จนหมด แค่เหยาเยี่ยนอวี่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในระดับธรรมดามากๆ อีกอย่างบทเพลงโบราณแบบดัhงเดิมนั้นต่างก็มีความหมายอันลึกซึ้ง นางก็ได้ถามตนเองแล้วว่าไม่มีใจในด้านนั้น เลยทำได้เพียงฝึกฝนเป็นบางครั้งบางคราว
วันนี้นางเล่นบทเพลงที่เป็นบทเพลงเปียโนในสมัยปัจจุบัน ‘เมืองในแผ่นดินสวรรค์’
บทเพลงเปียโนใช้พิณจีนในการบรรเลง รวมไปถึงเหยาเยี่ยนอวี่ที่ไม่ได้ดีดมานาน รู้สึกค่อนข้างห่างเหินกับทักษะการดีดและการบรรเลงบทเพลง ดังนั้นสองรอบแรก ฟังเหมือนจะอึมครึมเล็กน้อย ทว่าพอถึงรอบนี้ที่เป็นรอบด้านหลัง เสียงเพลงที่บรรเลงจึงไหลลื่น แล้วยังมีความหนักแน่นและเย็นชาที่มีอยู่ในเสียงพิณจีนเท่านั้น รวมไปถึงเสียงพึมพำต่ำๆ ของเหยาเยี่ยนอวี่ ทำให้เนื้อเพลงชวนผู้ฟังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ระดับเสียง เสียงพิณจีนและเสียงขับร้องจะไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ กลับเป็นการบรรเลงที่สูบวิญญาณของผู้ฟังอย่างมาก
ใครกำลังรอดาวตกบนท้องฟ้าตอนกลางคืนอันห่างไกล แล้วเฝ้ามองเขาที่กำลังส่องแสงให้กับหนทางของใคร ใครจะเดินเข้าไปในฝันของใคร
ใครใช้รอยยิ้มอันแสนสดใสวาดสายรุ้งบนสุดขอบฟ้า เสียงเพลงที่ขับร้องขึ้นอย่างแผ่วเบาของใครกำลังถูกใครฟัง จิตใจที่อ่อนโยนกำลังเต้นแรง
เมืองจินตนาการที่อยู่เหนือสายรุ้ง เหมือนกำลังมุ่งหวังในความรัก ฝันของใคร ใครกำลังลุ่มหลงและใครที่กำลังแตกตื่น ใครกำลังหัวเราะ และใครกำลังรู้สึกเจ็บปวดใจ…
เหยาเยี่ยนอวี่ขับร้องจบไปหนึ่งรอบ ก็ดีดทำนองเพลงหลักอีกหนึ่งรอบ จากนั้นก็ค่อยซ้ำเนื้อเพลงที่ด้านหลัง ‘ใครจะยืนอยู่นอกเมืองเพื่อรอคอยข้า ใครจะรอคอยเจ้าอยู่ในเมืองหลวง ฝนตกพรำๆ ลงมาจากเมืองในแผ่นดินสวรรค์ การเปียกโชกคือการจากลา…’
ซูอวี้เหิงนั่งอยู่บนราวของศาลาเล็กๆ ฟังไปๆ ก็รู้สึกแก้มเริ่มเย็นยะเยือก แม้กระทั่งตนเองยังไม่รู้ว่าน้ำตาได้ไหลรินลงมาแล้ว
ส่วนด้านล่างของภูเขาลูกเล็กนั้น ข้างต้นเหมยอันเก่าแก่ที่ลำต้นมีขนาดที่เหมาะแก่การโอบกอด มีคนยืนเคียงไหล่กัน เว่ยจางและซูอวี้ผิงที่กำลังเสวนาด้วยเสียงต่ำ ต่างก็ลืมว่าเมื่อครู่นี้พูดอะไรออกมา ต่างคนต่างก็หมกมุ่นอยู่ในความคิดของตนเอง
เสียงขับร้องของเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้สูงลิ่ว เสียงพิณจีนก็ค่อนข้างทุ้มต่ำ พออยู่ห่างไกลออกไปก็คงไม่มีทางได้ยินอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
ทว่าเว่ยจางและซูอวี้ผิงเป็นผู้ที่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้อยู่ประจำ จึงมีทักษะการฟังที่ไม่เหมือนคนทั่วไป รวมไปถึงพวกเขาที่กำลังตั้งใจฟัง กลับทำให้บทเพลงนี้เข้าไปในหัวใจโดยที่ไม่หลุดแม้แต่คำเดียว
กระทั่งเสียงพิณจีนหยุดลงไปตั้งนาน ซูอวี้ผิงถึงจะถอนหายใจด้วยเสียงแผ่วเบา “นี่เป็นบทเพลงจากแม่นางจากจวนใดกัน กลับเป็นเสียงอันเสนาะหูที่เหมือนมีเวทมนต์”
เว่ยจางคลายยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “ไปกันเถอะ” ใครเป็นคนเล่นบทเพลงนี้แม่ทัพเว่ยจางก็มีคำตอบในใจ แค่ภายในใจลึกๆ ของเขายังคงวนเวียนและก้องกังวานด้วยเสียงๆ นั้น ทำให้เขาไม่อยากมากความแม้แต่คำเดียว
แน่นอน เว่ยจางจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่เป็นเช่นไร ในจวนติ้งโหวที่มีเนื้อที่หนึ่งหมู่สามเฟิน[1][2] ท่านซือจื่ออยากรู้อะไรจะสืบหาไม่เจอได้อย่างไร
อีกอย่าง เรื่องนี้ก็มีคนไปสืบหาโดยเฉพาะแล้ว ซูอวี้ผิงเดินอยู่บนถนนหินกรวดอันกว้างขวางเส้นหนึ่ง ก็เห็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้ซูอวี้เหิงเสี่ยวเสวียนกำลังเดินหน้ามา ดังนั้นจึงไม่รอให้สาวใช้ตัวน้อยๆ คนนี้น้อมคำนับก็เอ่ยถามขึ้น “บนเขาคุณหนูสามอยู่กับใคร”
เสี่ยวเสวียนรีบโค้งลำตัวพลางตอบกลับ “เรียนท่านซื่อจื่อ คุณหนูสามกับคุณหนูเหยาอยู่ข้างบนเจ้าค่ะ บ่าวถูกฮูหยินสามสั่งให้มาตามคุณหนูทั้งสองท่านกลับไปเจ้าค่ะ”
“อืม รีบไปเถอะ” ซูอวี้ผิงผายมือ แล้วมองสาวใช้สาวเท้าจากไปโดยเร็ว นัยน์ตาของเขาเคล้าด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับพูดกับเว่ยจาง “คนที่ดีดพิณจีนเมื่อครู่นี้ต้องเป็นคุณหนูเหยาแน่นอน”
เว่ยจางคลายยิ้ม และไม่ได้ปฏิเสธ
ซูอวี้ผิงหันไปมองศาลาจุดชมทิวทัศน์ที่ตั้งอยู่บนภูเขาเล็กๆ เพียงพริบตาเดียว แล้วอุทานด้วยเสียงเบา “คุณหนูเหยาช่างแตกต่างจากผู้อื่นจริงๆ”
แน่นอนว่านางแตกต่างจากผู้อื่นอยู่แล้ว เว่ยจางก็อดใจไม่ได้ที่จะหันไปมองศาลาเล็กๆ นั่น พอมองจากมุมของเขา เหตุเพราะเนินเขามีกิ่งไม้ของต้นไม้เช่นต้นเฟิงชี[3][4]บดบังอยู่ ทำให้แทบจะมองไม่เห็นคนที่อยู่ในศาลา ทว่าเขายังคงจินตนาการถึงใบหน้าทรงกลมอันอ่อนหวานของเหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังเคล้าด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ
ตอนที่อยู่ตัวคนเดียวในหลายๆ ครั้ง เว่ยจางอดไม่ได้ที่จะจัดการมุมมองและความคิดที่มีต่อเหยาเยี่ยนอวี่
คนอย่างนาง เหมือนจะมอบความจริงใจให้กับทุกคนตลอดมา ทว่ากลับไม่เหลือเยื่อใยให้คนสักคน
นางทั้งจริงใจ กลับทั้งเลือดเย็น
เหมือนใครก็คือสหายของนางไปหมด ทว่าไม่มีใครสามารถเดินเข้าไปอยู่ในใจของนางอย่างแท้จริง
เหมือนนางสามารถจากไปอย่างสง่างามตลอดเวลา ทว่าหากตอนที่นางตัดสินใจจะจากไป ก็ไม่เกิดการลังเลใจแม้แต่เพียงน้อย
นางใช้ประตูอันหนักและหนา ปฏิเสธทุกคนให้อยู่นอกประตู
นางเหมือนดั่งนกนางแอ่นหนึ่งตัวที่บินตามลำพัง ถึงจะอ่อนแอกลับเข้มแข็ง
ซูอวี้ผิงมองนัยน์ตาอันลุ่มลึกของเว่ยจาง จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปตบไหล่ของเขา จากนั้นก็คลายยิ้มพลางพูดด้วยเสียงทุ่มต่ำ “เสี่ยนจวิน สายตาของเจ้าช่างไม่เหมือนใครเลยจริงๆ”
เว่ยจางคลายยิ้ม แล้วหันกลับมาพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะ”
วันนี้ซูอวี้ผิงนัดเว่ยจางมาโดยเฉพาะ ก็แค่ต้องการสร้างโอกาสให้เขา ในมุมมองของเขา เว่ยจางเป็นมิตรสหายที่ดีมากยิ่ง เดิมทีเขาก็ชื่นชอบมากอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้อยากจะให้ซูอวี้เหิงสมรสกับเขา ทั้งสองตระกูลจะได้กลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน ทว่าช่างน่าเสียดายที่องค์หญิงต้าจั่งทรงไม่เห็นด้วย ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกกลบไป วันนี้เว่ยจางโปรดปรานในน้องสาวของน้องสะใภ้สาม ก็ถือว่าสามารถสานความสัมพันธ์ห่างๆ อีกอย่างคุณหนูเหยาเป็นแม่นางที่ดีและยากที่จะพบเจอ หากสามารถสมรสกับมิตรสหายที่ดีของตนเอง เขาก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่สามารถช่วยได้ก็จะช่วย
“คุณหนูเหยาท่านนี้ได้ข่าวว่าอายุของนางก็ไม่น้อยแล้ว นี่ก็ได้เวลาอันสมควรที่จะพูดคุยถึงเรื่องงานสมรส ช่วงก่อนบิดาของนางเข้าเมือง เจ้าก็เคยไปสู่ขอนางเองแล้วมิใช่หรือ”
เว่ยจางคลายยิ้มบางๆ แล้วพูดอย่างประหม่า “ท่านกั๋วกงเคยสู่ขอกับเขาด้วยตนเองมาแล้ว”
“ไม่หรอกกระมัง เขากลับไม่ตอบตกลงนั้นหรือ” ซูอวี้ผิงรู้สึกคาดคิดไม่ถึง
“เขาบอกว่างานสมรสของบุตรีของเขาจะให้นางเป็นคนตัดสินใจเอง”
“ฮ่า! ตัดสินใจเอง?” ซูอวี้ผิงเหมือนได้ยินเรื่องที่น่าขบขันที่สุดในพิภพนี้ “งานสมรสของบุตรีเอกของเขายังไม่ให้ตัดสินใจเอง หรือว่าพอมาถึงบุตรีอนุภรรยา เขาข้าหลวงเหยาจะเอาอกเอาใจบุตรีจนยกชูขึ้นฟ้า?”
เว่ยจางคลายยิ้ม แล้วไม่พูดไม่จาอีก
“โธ่ เช่นนั้นเจ้าคงต้องรีบแล้วแหละ” ซูอวี้ผิงตบไหล่ของเว่ยจาง เหมือนเป็นพี่ใหญ่ที่รู้ใจเขา “คุณหนูเหยามีทัศนคติที่ถือว่าไม่เลวกับเจ้า ครั้งที่แล้วนางรักษาบาดแผลให้เซียวจือ เจ้าก็ส่งมีดชุดนั้นให้กับนาง ข้าเห็นว่านางโปรดปรานยิ่งนัก เจ้าเองก็ถือว่ามีใจจริงๆ ลองคิดหาวิธีเยอะๆ แค่แม่นางตัวน้อยๆ ก็คงจะเกลี้ยกล่อมง่ายอยู่แล้ว…”
เว่ยจางไม่รอให้ซูอวี้ผิงกล่าวจบ กลับเอ่ยถามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ “เจ้านึกว่านางเกลี้ยกล่อมง่ายนั้นหรือ”
“เรื่องนี้…” ซูอวี้ผิงก็ไม่รู้จะพูดอะไร เหยาเยี่ยนอวี่ไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ วิธีการเกลี้ยกล่อมแม่นางพวกนั้นของพวกเขา เกรงว่าคงใช้ไม่ได้ผลกับนาง
“ช่างเถอะ ค่อยเป็นค่อยไป” เว่ยจางถอนหายใจ แท้จริงแล้วหากเขาตั้งใจใช้วิธีที่เด็ดขาดอย่างจริงๆ ไม่กี่วิธี ไม่ถึงสามเดือน เหยาเยี่ยนอวี่ต้องออกเรือนให้กับท่านแม่ทัพติ้งหย่วนอย่างเขาและกลายเป็นผู้หญิงของเขาเว่ยจางอยู่แล้ว แค่ว่า…วิธีเหล่านั้น เขาไม่อยากใช้กับนาง
เขาอยากให้นางออกเรือนกับเขาด้วยความเต็มใจ และกลายเป็นผู้หญิงของเขา
อย่างไรก็ต้องมีสักวัน ที่นางจะกลายเป็นแสงสว่างอันเจิดจ้าอยู่กลางฝ่ามือของเขา
ไม่นาน ซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่ก็ลงมาจากศาลาชมทิวทัศน์ อารมณ์ของพวกนางทั้ง
[1] หนึ่งหมู่สามเฟิน หมู่และเฟินเป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีน หนึ่งหมู่ เท่ากับ 666.66 ตารางเมตร ส่วนหนึ่งเฟินเท่ากับ 6 ตารางจ้าง ซึ่ง 1 ตารางจ้างเท่ากับ 3 เศษ 1 ส่วน 3 ตารางเมตร
[3] ต้นเฟิงชี คือ ต้นเมเปิ้ล